Race 105 เขาชะโงก
32 กม. ตามที่ใจปรารถนา เป็นสิ่งที่ค้างคาใจ เพราะจากปี 53 ที่ตัวเองไม่มีความกล้าที่จะลงวิ่งระยะนี้ในครั้งนั้น จากคำขู่เรื่อง เขา 2 ลูก ทั้งทุเรียนและอะไรอีกจำชื่อไม่ได้ บวกกลับสภาพและสี่หน้าเมื่อตอนเข้าเส้นของเพื่อนๆ แต่ละคนที่วิ่งเข้ามา ท่ามกลางแดดที่ร้อนแผดเผา จนคิดว่าเป็นการทรมานตัวเองเกินไปหรือไม่ ถ้าจะต้องลงรายการแล้วรู้สึกแบบนี้ แต่อีกฟากฝั่งของจิตใจก็คิดว่าน่าทดลอง นั่นคืออารมณ์ของข้าพเจ้าตอนที่ยังไม่เคยลงวิ่งระยะมาราธอนมาก่อน ณ ตอนนั้น
ปี 54 ก็มีอันแคล้วคลาดไม่ได้วิ่งเพราะเหตุการณ์ไม่ปกติทางธรรมชาติของประเทศ ยิ่งทำให้ความรู้สึกเริ่มค้างคาเพิ่มขึ้นไปอีก มาปีนี้ การวางแผน สำหรับการลงมาราธอนครั้งที่ 3 ในรอบปีส่งท้ายปีเก่า นั้น แผนกรกฏ เอ้ยแผนพิชิตมาราธอน โดยไม่สะบักสะบอม ได้บรรจุตารางการแข่ง 32 กม รายการนี้เข้าไปด้วย แต่ทว่า เดือนตุลาคมทั้งเดือน วิ่งยาวที่สุดคือ15 กม แล้วมันจะไปเหลืออะไร ยิ่งใกล้วันแข่งเข้ามา ก็ยิ่งร้อนรน จากการที่ไม่สามารถเพิ่มโหลดการฝึกซ้อมได้
จนต้องวางแผนโปรแกรมซ้อมใหม่อีกครั้ง ด้วยการวิ่งไม่เอาระยะ เน้นวิ่งให้นาน ช้าเท่าไหร่ก็ได้ เดินก็ได้ ซึ่งนำมาใช้ซ้อมในวันที่ 7 ก่อนการแข่ง 11 วัน ใช้เวลาซ้อมไป 3 ชม ได้ระยะทางเพียง 21 กม. ซึ่งคิดว่าจะต้องซ้อมแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายสามารถทนทานได้เกิน 3 ชมขึ้นไป สำหรับ เขาชะโงกครั้งนี้
เช้าวันอาทิตย์ที่ 11 ออกเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าสู่ประตูสวนลุม เพื่อทำภารกิจให้ผ่านไปให้ได้ เป้าหมายการซ้อมวันนี้ เน้นระยะทาง โดยตั้งใจไว้ว่าอย่างน้อยต้องได้ 10 รอบสวนลุมพินี เวลา 5.09 ฤกษ์ดีในการออกซ้อม 10 กม.แรกผ่านไปด้วยดี มีแถมสปรินท์ ช่วง กม ที่ 8-10 ก่อนที่จะพักกินน้ำแล้ววิ่งต่อ สภาพการณ์เหมือนจะจบได้สวย แต่ทว่า ความสวยงามที่วาดไว้หมดไป เมื่อวิ่งไปครบ 8 รอบสวนลุม ได้ระยะ 20 กม. ฝ่าเท้าบริเวณรองช้ำเกิดอาการแปลกๆ เหมือนจะมีอาการหนักขึ้น จนวิ่งแทบไม่ได้จึง
คูลดาวน์ และหยุดการซ้อมครั้งนี้ อยู่ที่ 21 กม เท่านั้น
อาการเจ็บครั้งนี้ มันมาแบบทำให้รู้สึกกังวลมาก ต้องขวนขวาย หาวิธีการรักษาอย่างเร่งด่วน จึงทำให้อาทิตย์ต่อมา ต้องไปซื้อรองเท้าบำบัดอาการรองช้ำมาใส่ ซึ่งคงจะได้กล่าวถึงในบทความต่อไป
จากอาการบาดเจ็บดังกล่าว ส่งผลให้ ต้องหยุดการซ้อมทั้งอาทิตย์ต่อมาทันที ฤานี่ จะเป็นการยุติการวิ่งเขาชะโงกปีนี้เสียแล้ว ฤา
แต่เนื่องจาก สถานที่พัก ได้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ถึงเจ็บวิ่งไม่ได้ก็คงต้องไปอยู่ดี เพราะนัดเพื่อนๆ ไว้แล้ว ถ้าอาการดีหน่อยก็อาจจะได้ลง 16 กม ถ้าเลวร้ายหน่อย ก็คงไปเดินเล่นอย่างเดียว และ สำหรับระยะ 32 กม. ตามความตั้งใจแต่แรก คงต้องเป็นหมันต่อไปอีกปี เพราะรู้ว่าถ้าฝันครั้งนี้ อาจจะต้องหยุดวิ่งยาวไม่มีกำหนดแน่นอน
เช้าวันเสาร์ที่ 17 การเดินทางมุ่งหน้าสู่ ประตูเมืองนครนายก ได้เกิดขึ้น เป้าหมายคือ เที่ยว ให้ดับทุกข์ กินให้มีความสุข ได้เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะสวนดอกไม้ย่านลำลูกกา ไหว้พระหลวงพ่อปากแดงที่เลื่องชื่อ ดื่มด่ำกับธรรมชาติบนสันเขื่อน ขุนด่าน กับอาหารกลางวันเลิศรส ที่ ปากทางเข้า เขาชะโงก ทำให้ลืมเรื่องการวิ่งไปเลยทีเดียว
กลับมาสู่เส้นทางนักวิ่งอีกครั้ง เมื่อได้เดินทางมาถึง บริเวณจัดงาน งานนี้ไม่มีอาการลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กับการสมัครวิ่งที่ระยะ 16 กม. ไม่มีเสียงเย้ยหยัน คัดค้านใดๆ จากคู่หู เนื่องด้วย เดี้ยงเหมือนกัน ฮ่าฮ่า
จากนั้นก็เริ่ม เดินชม ร้านค้าต่างๆ ที่มาจัดบูธ จนได้รู้จัก ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Phiten ทางร้านได้ยื่นสร้อยคอ ให้ข้าพเจ้ามาทดสอบ โดยให้ยกของด้วยมือเปล่า และเปลี่ยนให้ยกอีกครั้งพร้อมผลิตภัณฑ์ของเค้า เออแปลกดี ทำให้เที่ยวสอง ของถึงเบาได้ ทางร้านบรรยายสรรพคุณสินค้า ให้ฟังอย่างยาวเหยียด ซึ่งระหว่างฟัง ข้าพเจ้า พยามยามแอบมอง....... ราคาของผลิตภัณฑ์ จึงเห็นว่านี่มันสินค้าไฮโซชัดๆ โลโซอย่างเราไม่มีสิทธิ์ แต่ทางร้านค้า ยังใจดีแปะพลาสเตอร์ให้ ในบริเวณที่เจ็บรองช้ำ ในใจคิดก็ดีเหมือนกัน เผื่อได้ผล ก็มีทางเลือกในการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ให้หายไป
ในการวิ่งวันพรุ่งนี้ ได้เตรียมแผ่นรองเท้า ที่ไปทำมา เตรียมใช้ในงานครั้งนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือป่าว กับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยทดสอบ แต่นำมาใช้จริงเลย จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พักทันที
เช้าวันอาทิตย์ นี้ กับเมื่อ 2 ปีก่อน ตามที่สังเกตุ รู้สึกว่า งานนี้คนน้อยลงไปมาก อาจเป็นเพราะงานวันนี้จัดชนกับงาน BKK Marathon ก็เป็นได้ ระหว่างการวอร์มอัพ เท่าที่สังเกตุงานนี้มีแต่นักวิ่งหวังผล มาแข่งชันกัน เพื่อเข้าเฝ้ารับพระราชทานถ้วย จาก พระเทพฯ กันมากมาย อย่างว่าละครับ ผมว่าถ้วยใบนี้ ใครๆ ก็อยากได้ และคงมีค่ากว่าถ้วยรายการไหนๆ เป็นแน่
5.16 การปล่อยตัวระยะ 16K ก็เริ่มขึ้น นี่คือการวิ่งครั้งแรกในรอบสัปดาห์หลังจากบาดเจ็บ ช้าเข้าไว้ คือคำที่ข้าพเจ้าท่องไว้ในใจตลอด 2 กม แรก และเมื่อพ้น กม.ที่ 2 ก็เข้าสู่เขตเนินเขา เนินลูกแรก ความชันอยู่ที่ประมาณ 45 องศา เนินขึ้น 650 เมตร เนินขาลงประมาณ 700 เมตร และกลับสู่เส้นทางในระดับปกติ เมื่อพ้น ระยะทางที่ 3.5 กม จากการวัดโดย GPS ส่วนตัว หลงดีใจได้ไม่ถึง 5 นาที พ้น กมที่ 4 ก็มาเจอเนินลูกที่ 2 อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ดีหน่อย ที่เนินลูกนี้ ความชันอยู่ที่ประมาณ 7-8 องศา แต่เป็นเนิน สลับขึ้นสลับลง ไปจนถึง กม. ที่ 6 ซึ่งเป็นทางแยกที่ทาง ทหาร เปิดให้ขึ้นไปวิ่ง เนินนี่แหละที่ผมคิดว่าหินกว่าเนินแรกมาก
ถึงแม้ว่าความชัน จะอยู่ที่ 20-25 องศา แต่ระยะทางที่ต้องวิ่ง จาก กม ที่ 6 แล้วไปกลับตัวลงมา จบที่ กมที่ 11.5 รวมๆ แล้วต้องใช้พลังงานกับจุดนี้ เกือบ 5 กม. ซึ่งถือว่าสาหัสเอาการกับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บอย่างข้าพเจ้า
เมื่อเข้าสู่ หลัก กม.ที่ 12 เป็นต้นไป เส้นทางวิ่ง ก็เป็นเฉกเช่นการวิ่งทางราบในงานวิ่งอื่นๆ ทั่วไป เพียงแต่ว่าถนนช่วงนี้เป็นคอนกรีตล้วนๆ จนถึงเส้นชัย ซึ่งหลังผ่านการวิ่งมา 12 กม. อาการบาดเจ็บอาทิตย์ก่อนไม่มีปรากฏ เรียวแรงยังพอมีเหลือ จากการออมไว้ตั้งแต่แรก จึงเริ่มปฏิบัติการ หมาล่าเนื้ออีกครั้ง เผื่อว่าจะไล่คู่หูทัน แต่ปรากฏว่า ถ้าเริ่มเร่งเร็วกว่านี้ อาจจะไล่บอยทัน ซึ่งมารู้ความจริงอีกทีว่า บอย อยากได้ประกาศนียบัตรของงานนี้มาก จึง ซัดลืมอาการเจ็บ จนสามารถคว้าประกาศนียบัตรได้สมปรารถนา ซึ่งขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง ว่าแต่เดี่ยวนี้ตั้งแต่ประกาศเลิกแข่งกัน ไม่ค่อยได้วิ่งผลัดกันแซงเลย คิดถึงอารมณ์แบบนั้นอีกจัง
เมื่อเข้าเส้นชัยเรียบร้อย จึงไปคูลดาวน์ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บ ปรากฏว่าไม่มีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วง จากนั้นก็ลืมยืดเหยียด ไปเลย เพราะเร่งไปเชียร์เพื่อนๆ ที่แข่งในระยะ 32 กม ให้คว้าถ้วย
อากาศตอนนี้แหละที่เริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักวิ่งแต่ละท่านวิ่งเข้ามา ปากซีดกันเป็นแถว วันหลังอาจจะเตรียมลิปสติก ไปให้บริการเพื่อนๆ ดีกว่า
ในวันนี้ พี่ๆ ที่ชมรม สามารถ พาตัวเอง ไปสู่ห้องโถงสำหรับรับถ้วยพระราชทานได้ 2 ท่าน ได้แก่พี่ปุ๊กและพี่รงค์ แต่สมแล้วที่ทั้งสองท่านได้ เพราะขยันซ้อมมากๆๆ เห็นแล้วทึ่งจริงๆ
มองท้องฟ้า ออกไป หวังว่าไม่เกิน 10 ปี เราคงมีโอกาสนี้กับเค้าบ้างเนอะ เขาชะโงก
ระยะทางจริง 15.96 กม
ไช้ 1.32.20
บอย 1.26.36
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น