Race 111 จอมบึงมาราธอน Darkness Running
จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้ ก็ว่าจะวิ่งครั้งนี้ให้ต่ำกว่า 4 ชม. จนกระทั่งมีอาการบาดเจ็บขึ้นกระทันหัน จึงจำเป็นต้องเบนเป้าหมายมาเป็นวิ่งยังไงให้ถึง ต่ำกว่า สถิติครั้งก่อน และร่างกายไม่ให้บอบช้ำ
นี่คือปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง สำหรับการคำนวณแผนการวิ่งใหม่ จากยุทธภูมิที่เคยไปวิ่งที่นี่มาสองครั้งทำให้รู้ว่าตลอดระยะ 24 กม แรก เป็นทางวิ่งที่ค่อยๆ ขึ้นเนิน แต่ตอนที่เราวิ่งไม่รู้สึกตัวเพราะว่าเส้นทางที่มืดทำให้นักวิ่งไม่รู้ตัวว่าวิ่งขึ้นเนิน เคยอ่านบทความที่มีผู้ทดสอบให้คนปิดตาและวิ่งโดยมีคนนำ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ผู้วิ่งไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังวิ่งขึ้นเนิน สำหรับตัวข้าพเจ้า ก็รู้สึกเหมือนกันกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จนกระทั่ง ได้ขับรถมาสำรวจเส้นทางจึงรู้ว่าเป็นเนินจริง
ทำให้การกำหนดกลยุทธแรก โดย 24 กม แรก ต้องวิ่ง ช้ากว่า 18 กม.หลัง คือกลยุทธ์ที่ต้องการนำมาใช้จริงในวันนี้ ความเร็ว 24 กม แรก ตอนวางแผนตัดสินใจไม่ได้ เพราะเดิมทีตั้งใจวิ่ง 5.30 ตลอดเส้นทาง แต่เมื่อมีอาการเช่นนี้ จึงต้องอาศัยลองวิ่งจริงดูสัก 1-2 กม ก่อน ว่าจังหวะวิ่งแบบไหน ที่ทำให้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ
ส่วน 18 กม.หลัง ต้องเร็วกว่าครึ่งแรก แต่สังเกตุอาการห้ามรู้สึกถึงอาการเกร็ง มิเช่นนั้นตะคริวอาจจะมาอีกก็เป็นได้ เมื่อแผนการ เรียบร้อยแล้ว จึงเข้านอน ตั้งเวลาปลุกไว้ที่ 2.45 เพื่อมาเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ปรากฏว่าตื่นได้ตามแผนการณ์เป๊ะ แต่เข้าห้องน้ำแล้ว เอาไม่ออก "กลุ้มใจ ถ้ามากลางทางแบบริเวอร์แคว์ นี่เน่าสนิทเลย"
เพื่อนร่วมทางวันนี้ อาการไข้จากเมื่อวานยังไม่ดีขึ้น ได้ความว่า เมื่อคืนก็นอนไม่ได้ ไข้ขึ้น แต่ด้วยความที่รับปากไว้แล้ว จึงเดินทางมาร่วมวิ่งด้วยกัน ด้วยความรีบออกจากที่พักเพราะกลัวไม่ทัน ทำให้ลืมหยิบ heart Rate และถุงเสื้อสถาวรมา
เมื่อถึงสถานที่จึงเริ่มวอร์มได้เล็กน้อย อากาศวันนี้ถือว่าเป็นวันที่วิ่งแล้วอากาศเย็นที่สุด 17 องศา ดีนะที่ใส่เสื้อยืดมาด้วยไม่งั้นคงรู้สึกหนาวเป็นแน่แท้
แก้วโครงการ Green ที่ซื้อมา โดนยืดโดยน้องชาย เลยมีความจำเป็นที่จะต้องเอาขวดน้ำมาถือวิ่งแทน
ซึ่งต้องขอบคุณ ที่ทำให้เกิดทริคดีดีในการวิ่งครั้งนี้
4.01 การปล่อยตัวได้เริ่มขึ้น ปีนี้ ดูจากสายตาแล้ว ผู้ลงมาราธอนลดน้อยลงไปอย่างน่าใจหายจากการคาดคะเนด้วยสายตา อาจจะเป็นเพราะว่างานนี้ไม่มีเงินรางวัล หรือว่าปีนี้ มีงานที่จัดชนกับงานนี้หลายงานเหมือนกัน แน่แน่ แต่เมื่อไปเช็คผลจากชิฟ ทำให้ทราบว่าลดลงในจำนวนไม่กี่สิบคนเท่านั้น
จากจุดปล่อยตัว และสถานที่จัดงานที่เปลี่ยนไป ทำให้เส้นทางวิ่งมีทิศทางที่เหมาะมากไม่ต้องปล่อยตัววิ่งตามโค้งเหมือนครั้งเก่าๆ ซึ่งกลุ่มที่ทำเวลา ก็เร่งสปีดออกตัวไป สำหรับกลุ่มขามาราธอนที่ไม่แข่งขัน ก็วิ่งเยาะๆ ตามกันออกไป ตามจังหวะของตัวเอง
จังหวะการวิ่งที่ปล่อยออกมาทดสอบแล้วว่าวิ่งได้ไม่เร็วกว่า 6.30 ต่อ กม เพราะเมื่อเริ่มเร็วกว่า อาการขัดเข่าก็ส่งผล จึงต้องปรับจังหวะการวิ่งช้าลง เพื่อให้เกิดการรักษาสมดุลย์ วิ่งไปได้สัก 1 กม. หลังผ่านตัวมหาวิทยาลัย เข้าสู่ถนนตลาด ก็เริ่มมีกองเชียร์ ส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน แต่มาสะดุดกับเพลงเชียร์นี่แหละ ว่า "นักวิ่งเป็นตุ๊ด" ที่แรกก็ไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือป่าว จนกระทั่งมีนักวิ่งที่ถ่ายคลิปมา จึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด แล้วก็ไม่ได้เป็นตุ๊ด ..... 5555+ แหมหมิ่นเหม่แบบนี้ ถ้าเจอนักวิ่งซีเรียส เข้าจะมีการเคืองแน่ๆ ก็วลีดังกล่าว
อีกฟากฝั่งถนนรถติด ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการปิดถนน หรือพวกเค้าต้องการจอดรถ เพื่อส่งเสียงเชียร์นักวิ่งก็ไม่ทราบ เพราะตอนนั้นหูอื้อ เพื่อนข้าพเจ้ามาเล่าให้ฟัง เห็นพี่นง มายืนเชียร์อยู่ _/\_
มาวิ่งจอมบึง 2 ครั้งที่มา พอผ่านตัวเมืองเข้าหมู่บ้านทุกครั้ง ก็ต้องวิ่งท่ามกลางความมืดมิด อาจจะเป็น Darkness marathon อีกแห่งหนึ่งเหมือนที่เคยเจอๆมา แต่ ทุกครั้งที่ผ่านมา ท่ามกลางความมืดมิด ก็มีมิตรเป็นทีมจักรยาน ที่คอยปั่น ให้แสงสว่างเป็นระยะตลอดมา ก็เลยรู้สึกอุ่นใจ กอปกับมาราธอนล่าสุดที่บ้านเพมาราธอน บรรยากาศเรียกว่าคืนเดือนมืด แต่มีจักรยานขับประกบ เป็นระยะๆ ดังเสมือนตัวเองเป็นแนวหน้าอย่างไรอย่างนั้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจ โดยหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังมาเืยือนกลุ่มนักวิ่งโดยไม่รู้ตัว
เมื่อวิ่งมาสุดถึงทางแยกแรกของถนน เลี้ยวแรกของวันนี้ได้เกิดขึ้น เป็นการเลี้ยวซ้าย เพื่อมุ่งหน้าสู่เส้นทาง ถนนจอมบึงมาราธอน ตรงนี้ ยังมีแสงสว่างจากไฟทางเป็นระยะ ๆ จึงทำให้รู้สึกวิ่งไม่ได้เดียวดายจนเกินไป เมื่อผ่านจุดให้น้ำ ก็หยุดเติมน้ำให้เต็มขวด ก่อนที่จะวิ่งออกจากโต๊ะให้น้ำออกไป
การถือขวดน้ำวิ่ง ในความคิดแรกเหมือนจะเป็นภาระในการวิ่งอย่างมาก เพราะปกติถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากถืออะไรไว้ทั้งนั้น เพราะมันดูเกะกะในแง่ความรู้สึก ที่นี้พอมาคิดมามองในมุมกลับกันบ้าง ในแง่ของความลำบาก ก็สามารถสร้างแสงสว่างขึ้นมาได้เหมือนกัน น้ำที่ทางจอมบึงจัดให้ทุก 2 กม บ้าง 1 กม บ้าง ทำให้รู้ว่าน้ำที่นี่ไม่ขาด วิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะอดน้ำตายเหมือนงานที่ผู้จัดรายหนึ่ง ชอบทำเสมอๆ
ข้าพเจ้าจับจังหวะการวิ่งแบบนี้ คือ ดื่มน้ำทุก 2 กม จากหน้าปัดนาฬิกา และหยุดเติมน้ำที่จุดเติมน้ำเมื่อรู้สึกว่าน้ำพร่องเกินครึ่งขวด อาศัยวิธีนี้ในการวิ่งตลอดทาง ถึงแม้จะเสียเวลาในการเติมน้ำ 3 แก้วต่อ 1 ขวดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการพัก และคลายกล้ามเนื้อไปในตัว
กม ที่ 5 เป็นการวิ่งผ่าน ถนนที่ทางแยกที่จะเข้าไปที่ ที่พักของข้าพเจ้าในครั้งนี้ คือ ภูพนารีสอร์ท ทำให้รู้ว่า เส้นทางนี้ ถ้าเลือกเส้นทางในการวิ่งไปที่ ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ควร ไปเส้นทางที่เรากำลังจะผ่านไปดีกว่า เพราะระยะทาง ไม่ถึง 4 กม. จะถึงปลายทาง
เมื่อวิ่งมาถึง กม. ที่ 8 ที่แยกด่านทับตะโก เป็นเส้นทางที่ต้องเลี้ยวขวา มุ่งหน้าสู่ถนนเส้น 3274 เส้นทางแห่งความมืด ปีนี้ ถือเป็นปีที่ดีของการวิ่งสนามนี้ จากสภาพอากาศที่เย็นลง ทำให้สามารถวิ่งด้วยความสุข จากบรรยากาศกองเชียร์ที่อบอุ่น น้ำที่มีตลอดเส้นทาง บรรยากาศที่สนุกสนานเป็นกันเองระหว่างทางของเพื่อนนักวิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป คือ จักรยานที่ขับประกบ ปีนี้ แทบจะไม่เห็นเลย ในเส้นทางที่ยังสว่างนั้นยังไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดนั้นความรู้สึกต่างๆ ประดังเข้ามาเป็นระยะ ถ้าล้มลงไป ใครจะเห็นเราไม๊น้า เพราะแค่ข้าพเ้จ้าวิ่งตามเพื่อนนักวิ่งแค่ 3-4 ก้าว ก็มองไม่เห็นแล้ว รถพยาบาลก็ไม่เห็นเลย ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า การจัดงานในปีนี้ประมาทและไม่ใส่ในใจในเรื่องความปลอดภัยให้แก่นักวิ่งเลย ทางผู้จัดควรจะต้องหาวิธีการมาดำเนินการให้สมกับคำว่า จอมบึง 1 ในสนามมาราธอนที่ดีที่สุด เพราะเมื่อนำมาเทียบกับงานบ้านเพมาราธอน ที่ข้าพเจ้าไปวิ่งมาเมื่อปลายปี ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็ม 10 ในเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักวิ่งตลอดเส้นทาง
การวิ่งในช่วงนี้ยังเป็นไปในจังหวะแรกอย่างสม่ำเสมอ ตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่คาดหวังไว้ตอนกลับตัวที่จะเร่งความเร็วยังเป็นปริศนาอยู่ว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนการไปได้หรือไม่ ผ่าน 13 กม แรก ดูเหมือนสภาพร่างกาย เครื่องจะติด เมื่อวิ่งผ่านไป 1 กม จึงต้องเบรคความรู้สึกให้เบา ๆ ท่องไว้ "วิ่งช้าถึงเร็ว ถ้าวิ่งจะถึงช้า" ดังที่โฆษก ยุทธการ ประกาศก่อนปล่อยตัวมาราธอนวันนี้ เป็นการข่มความรู้สึกที่อยากปลดปล่อยพลัง เหมือนกับครั้งที่วิ่งมาราธอนที่บ้านเพ ที่วิ่งด้วยการข่มความรู้สึกอยากเร่ง ซึ่งสามารถทำได้และผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ
กม ที่ 15 เมื่อเลี้ยวเข้าสู่แยก เบิกไพร จึงได้พบ รถพยาบาล เป็นครั้งแรกของวันนี้ "เอ่อ ถ้าคนไปเจ็บกลางทาง เค้าต้องแบกร่างกลับมารักษาเองไม๊หนอ หรือว่าต้องไปเรียกเดนเด้ จากดาวนาแม็ก มาช่วยก็ไม่รู้" เอาว่ะ มีสักคันก็ยังดีกว่าไม่มี ใจคิดไปอย่างนั้นเพื่อสงบความโกรธาที่เกิดขึ้นชั่ววูบ หวังว่าจะไม่ได้เห็นภาพนักวิ่งที่โชกเลือด เหมือนเมื่อครั้งเขาชะโงก 53 นะ
ยิ่งวิ่งเข้าไปในส่วนถนนจอมบึงมาราธอน อากาศยิ่งเย็น ยังดีที่ว่าวันนี้ตัดสินใจใส่เสื้อยืดไว้ชั้นนึงก่อนเสื้อชมรม ทำให้ไม่รู้สึกเย็นจนเกินไป แต่หากมองในมุมกลับ ถ้าอากาศวันนี้ไม่เย็น คงเป็นการวิ่งที่ร้อนน่าดูเลย มนุษย์เรานี่ไม่มีความพอดีเลย อยากให้เป็นโน้น ให้เป็นนี่ ไปหมด
แปลกมาก วันนี้เพื่อนร่วมทาง บอย ซอยซีดส์ หายไปไหนไม่รู้ ไม่เห็นเลยหลังจากปล่อยตัว แว๊บเป็นนินจา ฤ ที่บอกว่าปล่อยจะเป็นกลยุทธ์มาทำให้เหยื่อตายใจ คิดในใจ เดี่ยวคงเจอตอนกลับตัวแน่ๆ
กม.ที่ 17 กลุ่มแนวหน้าผ่านไปแล้ว ด้วยความมืด เห็นแว๊บๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นน้องเบิรด์ แต่หลังจากนั้นมาคิดได้ว่า เมื่อคืนเห็นน้องเค้าออนเฟซ อยู่ที่สุราษฏร์อยู่เลย แล้ว เค้าคนนั้นคือใครกันแน่ เป็นที่ฉงนสงสัย (มารู้ความจริงเมื่อวิ่งเสร็จ คือพี่โอภาส ที่กลับมาวิ่งอีกครั้ง) จากนั้นก็เจอโชติ สิงหา ที่วิ่งผ่านไป โอ้วเราวิ่ง 17 กม แต่เทพทั้งหลาย ผ่าน 32 กม ไปแล้ว สงสัยข้าพเจ้าต้องไปฝึกอีกหลายชาติกว่าจะมีฝีเท้าจัดแบบนี้
กม ที่ 18-23 ยังต้องเป็นจังหวะวิ่งที่ยังต้องควบคุม ทั้งความเร็วและความอยากในจิตใจ ที่เห็นเพื่อนคนแล้วคนเล่า กลับตัวผ่านไป ในแสงไฟที่สลัว ที่เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เป็นการข่มความรู้สึกในด้านลบอีกครั้งของงานนี้ ซึ่งสามารถควบคุมตัวเองได้เพียง กม.ที่ 22 ความอยากก็สามารถเอาชนะมุมมองด้านบวกของข้าพเจ้าลงอย่างพังทลาย
สิ่งที่กังวลก็ได้พบจนได้เมื่อพบนักวิ่งหลายคนมีเลือดไหลออกมาจากเข่าและหัวไหล่ เดาว่าน่าจะสะดุดแล้วล้ม นี่เค้าจะต้องทนวิ่งท่ามกลางเลือดไปจนถึงตรงแยกเบิกไพร ซึ่งห่างจากที่นี่อีก 8 กม เลยหรือ
พยายามข่มใจทำเป็นไม่เห็น เพื่อสงบจิตสงบใจและตั้งสมาธิในการวิ่งใหม่ โดยไม่สนใจสิ่งที่ได้เห็น การเร่งจังหวะขึ้นเพื่อดูความสามารถควบคุมจังหวะของตัวเองที่จะต้องวิ่งต่อไปอีก 20 กม. แต่แปลกใจ ยังไม่เจอ บอย อีกเลย จนกระทั่งเลย กม ที่ 24 และกลับตัวมาได้ 200 เมตร ก็เจอกับบอยจนได้ ที่วิ่งตามหลังมา ก็เลยประหลาดใจว่าข้าพเจ้าแซงมาตอนไหน แต่ยังไม่ทันได้ถาม ก็ได้คำตอบมาโดยพลัน "ขี้แตก ท้องเสีย แวะ กม ที่ 15 อยู่" เป็นคำตอบที่ทำให้แทบจะสำลักออกมา เพราะข้าพเจ้าก็เคยเป็นและยังกลัวอยู่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวในวันนี้ เพราะภาระกิจในตอนเช้าที่จะต้องทำเมื่อตอนเข้าห้องน้ำ ล้มเหลว โดยสิ้นเชิง
แสงสว่างเริ่มรำไร เมื่อกลับตัวมา แสงแรกของวันช่างงดงามยิ่งนัก ยิ่งเมื่อมองผ่าน ไร่ สวน ของชาวบ้าน ผ่านช่องเขา ไป ที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มเบ่งบาน ความสดใน บวกกับอากาศที่เย็นสบาย ถือว่าเป็นเช้าที่งดงามน่าจดจำอีกวันหนึ่งในชีวิต
จุดที่ประทับใจในวันนี้ ที่่ต้องกล่าวคำว่าขอบคุณแรงๆ ให้กับคุณยาย ที่นั่งรถเข็นออกมาเคาะรถ เชียร์นักวิ่งที่ผ่านหน้าบ้านของคุณยาย ทำให้รู้ว่า น้ำจิตน้ำใจของคนที่นี่ ไม่มีวันเหือดแห้งไปจริงๆ วิ่งผ่านไปอาจมีน้ำตาคลอเบ้า ซึ่งคงไม่มีใครเห็น เพราะฟ้ายังสลัวๆ อยู่
ความเร็วหลังกลับตัวในวันนี้ อยู่ในช่วงค่าเฉลี่ย 5.35-5.45 ซึ่งเป็นความเร็วที่วิ่งแล้วไม่รู้สึกโหย ไม่รู้สึกเหนื่อย การกลับตัวและสามารถวิ่ง negative ได้ช่างเป็นอะไรที่สุขโดยแท้ หลังจากประสบการณ์ปีก่อนสอนให้รู้ว่า เร็วแต่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่อดทน สู้ช้าอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอไม่ได้
ปีก่อนหลังจากที่ตะคริวขึ้นที่ กม ที่ 37 แล้วต้องหยุดเพื่อเดิน โดยที่มีเพื่อนๆ วิ่งผ่านไปคนแล้วคนเล่า บ้างหันมาทัก บ้างหันมามอง มันช่างกัดกร่อนความรู้สึกในใจ เหมือนปมชีวิตที่เกิดขึ้น ที่จะต้องตัดปมนี้ออกไปให้ได้ในครั้งนี้
จังหวะการวิ่งในครั้งนี้สามารถ เร่งแซงเพื่อนนักวิ่งคนแล้วคนเล่า แต่เราจะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเป็นอันขาด จึงตัดสินใจไม่ทักใครเลย ถ้าเค้าไม่ทักเราก่อน ในช่วงที่วิ่งแซง ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ดี ที่รู้สึกไม่ทำร้ายใคร และยังทำให้ยิ่งฮึกเหิมในการวิ่งมาก ยิ่งวิ่งแรงแต่ความเร็วไม่ตก รู้สึกมันส์มาก แต่ระหว่างวิ่งก็ยังไม่ลืม กม ที่ 37 จนกระทั่งผ่านจุดนั้นไปได้
นาทีนี้ รู้แล้วว่า วันนี้ ตะคริว ไม่มาแน่ การวิ่งยาวเมื่อเดือนธันวาคม ส่งผลให้เกิดความแข็งแรงในวันนี้ บวกกับทัศนคติในด้านบวก และการประมาณตน ทำให้เริ่มคำนวณระยะทางและเวลาที่เหลือทันที โดยเป้าหมายที่แวบเข้ามาอยู่ที่การทำ New PB มาราธอนครั้งนี้ให้ได้ เพื่อที่จะได้ Record ว่าวิ่งมาราธอนที่นี่ เวลาดีขึ้นทุกปี ระยะทาง 37 กม กับ เวลา 3:49:00 นาที เป็นเวลาที่เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นเวลาที่แย่กว่ามากมาย 37 กม กับเวลา 3:37:00 นาที ซึ่งจริงๆแล้วปีที่แล้วเวลาควรน้อยกว่านี้อีก ถ้าไม่เบาเครื่องตรง กม ที่ 35 เพื่อยืดเมื่อเกิดอาการตึง ความต่างกันถึง 12 นาที
กลับมาที่ 5 กม ที่เหลือ กับ 30 นาที ถ้าเป็นครั้งก่อนในการวิ่งมาราธอน คงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในครั้งนี้ แรงยังเหลืออีกเยอะ จึงวิ่งคุมจังหวะที่ 5.50 ไป จน ถึง กมที่ 41 จึงเริ่มเร่งสปีดขึ้น เป้าหมายอยู่ที่สีเสื้อสีส้มดำ ซึ่งจำได้ว่าคือทีม สยามรันเนอร์ ทีมที่ซ้อมสนามเดียวกัน จึงเร่งๆ ๆ ไปจนทันเมื่อผ่าน กม ที่ 42 นิดๆ และสามารถแซงก่อนเข้าเส้นชัยได้อีกครั้ง ปรากฏว่าเป็นพี่บุ้ม น้องสาวพี่ฉิม นี่ตรู ชนะผู้หญิงอีกแล้วหรือนี่ ก่อนเข้าเส้นจริงๆ เห็นหนุ่ยกับพี่น้อง นั่งถ่ายรูปรออยู่ เลยโยนขวดน้ำที่ถือวิ่งไปให้หนุ่ยเก็บไว้ เพราะอยากมีรูปที่ไม่มีขวดโฆษณาให้เค้าบ้างในงานนี้
4.21.16 คือเวลาจากนาฬิกาตัวเองที่จับได้ กับระยะ 42.60 กม. เป็นมาราธอนที่ดี อีกมาราธอนหนึ่ง ทั้งในแง่ความรู้สึก และ เวลาที่ออกมา ถึงแม้ว่าจะวิ่งสู้เพื่อนๆ อีกหลายคนไม่ได้ แต่เราสามารถทำ My Best Time ของตัวเองได้ก็ดีแล้ว
สิ่งที่ผิดพลาดในครั้งนี้ คือ เรื่องของนาฬิกา GPS เพราะหลังจากจะนำไปโหลดเข้า Garmin Connect ปรากฏว่าโหลดไม่ได้ มี workout error อยู่ ดีที่ว่าทุกการวิ่งมาราธอน เราไม่เคยประมาท เพราะใช้มือถือเปิด Endomondo เพื่อ Record ควบคุ่ ไปด้วยกันเสมอ แต่ติดที่ว่าระยะจากโทรศัพท์มัน 42.80 จึงต้องแก้ไขให้ตรง เพราะข้าพเจ้าเชื่อถือนาฬิกามากกว่า
เมื่อเข้าสู่เส้นชัย และรับเหรียญที่ระลึก ทองอร่าม มิได้เป็นพระ เฉกเช่นปีก่อน ก็เข้าไปสู่บริเวณโซน นักวิ่งมาราธอนที่แยกไว้ต่างหาก รับกล้วยไม้มาคล้องคอและเสื้อผู้พิชิตเรียบร้อย จะเข้าไปหาของกิน ปรากฏว่า "หมด" เวรกรรม แล้วจะแยกซุ้มไว้ทำไมหนอ ยังดีที่ได้น้ำมะพร้าว กับ น้ำส้ม และถ้วยเขียวหนึ่งถ้วยมาดับกระหาย
เพื่อนที่วิ่งมาราธอน ถามผมว่า หมูหันย่าง ยังมีอยู่ไม๊ ผมหันไปมอง แล้ว ตอบว่า มันมีด้วยเหรอ ก่อนที่จะต้องก้มหน้า แบกท้อง ออกไป เผื่อรอสมาชิก ที่กำลังจะเข้ามาก่อนที่จะต้องไปหาอะไรบริโภค เพื่อเติมสารอาหารให้แก่ร่างกายให้ได้ก่อน 2 ชม. ให้ได้
ว่าจะให้อภัยและลืมๆ ไป อยู่แล้วเชียว งานนี้ ดันตายทั้งตอนเย็นวันเสาร์ ตอนวิ่ง และตอนวิ่งเสร็จ จนได้ จอมบึง 56
ระยะจริง 42.60
ไช้ ใช้เวลา 4:21:16
บอย ใช้เวลา 4:4X:XX
ไช้ 17 บอย 25 ใกล้เข้ามาอีกนิด ถึงแม้เพื่อนจะป่วย ผมก็นับนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น