วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Race 112 อัมพวา ที่รัก

Race 112  ดรุณานารี มินิฮาล์ฟ มาราธอน




        อำเภอ อัมพวา ดินแดงแห่งธรรมชาติ ที่มีอาณาบริเวณติดแม่น้ำ แม่กลอง มีหิ่งห้อย เป็นสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่น และยังเป็นสถานที่สำคัญที่กล่าวถึงในนวนิยายแนวโศกนาฏกรรมและวีรคติ ที่มีบทประพันธ์ โดย ทมยันตี นั่นก็คือ คู่กรรม
        ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 56 จังหวััดสมุทรสงคราม ในอำเภอที่ติดกันกับอัมพวา ได้มีการจัดกิจกรรมวิ่ง ขึ้นที่ อาสนวิหารแม่พระบังเกิด อำเภอบางคนฑี  ซึ่งทุกปี ก่อนวันงาน 1 วัน ของประเพณีการวิ่งที่นี่  ก็จะมีการจัดงาน ที่อุทยาน ร.2 มีการจัดแสดงโขน  ปีนี้ก็เป็นอีกปีที่มีการจัดแสดงโขน ซึ่งในนั้น ก็มี ตอนจองถนน ซึ่งเป็นชื่อตอนเดียวกับที่ได้แสดงไปที่ศูนย์วัฒนธรรม ไปแล้ว แต่ไม่รู้เนื้อหาจะเหมือนกันประการใดหรือไ่ม่

        สำหรับงานดุรณานารี ปีนี้ ถือเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่ตัวข้าพเจ้าได้มาวิ่งที่นี่ หลังจากปาวนาตัวเข้ามาสู่วงจรของนักวิ่ง ข้าพเจ้าเลือกมาวิ่งที่นี่ไม่ได้เกิดจากความสนิทสนมกับผู้จัด หรือ มีความหวังในการคว้าถ้วยเหมือนชาวบ้านคนอื่น  แต่เหตุผลที่เลือกมาที่นี่ทุกครั้งที่มีโอกาส เกิดมาจากความประทับใจทางความรู้สึก ซึ่งคงไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำใดๆ ที่สวยหรู เพื่อเชิดชู สถานที่ หรือการจัดงานที่นี่ แต่มันเกิดจากประทับใจในวิถีในการดำรงค์ชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ตลอดเส้นทางที่ได้วิ่งผ่านมาตลอดทุกครั้ง

      3 ครั้งที่ ผ่านมา  วิ่งปีแรก  ลงระยะมินิ  ปีต่อมา แกร่งขึ้นหน่อย ก็ขยับ มาลงระยะฮาล์ฟ  ส่วนที่ 3 ปรับทัศนคติในการใช้ร่างกายใหม่ จึงวิ่งในระยะมินิ

     สำหรับในครั้งที่ 4  จากทัศนคติที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ประัทับใจในการวิ่งที่ระยะ 10 กม. มากกว่า และกอปกับ โฟกัสในการซ้อมตอนนี้อยู่ที่ การทำเวลา 10K ให้พัฒนาขึ้น ซึ่งเป้าหมายอยู่ที่ปลายปีนี้จะต้องลดเวลาลงให้เหลือ 42 นาทีให้ได้ (เป่าครกขึ้นภูเขาชัดๆ)

    ตารางซ้อมที่ถูกออกแบบโดยโค๊ชสถาวร ตั้งเป้าการทำเวลาให้ดีขึ้นในสนามเป้าหมาย สนามล่าสุดคือ สนามพันท้ายนรสิงห์  แต่เนื่องจากข้าพเจ้ารู้ถึงสภาพสนามที่นั่นเป็นอย่างดีจึงปรับเป้าหมายการแข่งเพื่อทำเวลาให้เร็วขึ้นหนึ่งสนาม และ ขยับสนามพันท้าย เป็นสนามซ้อม เพื่อรักษาสภาพร่างกายในพร้อมในออกกำลังกายต่อไป

     หลังจากได้รับรองเท้ามิซูโน่ จากสปอนเซอร์ผู้ใจดีมา  รองเท้าคู่นี้ ลงทำการแข่งขัน 2 สนาม สามารถทำสถิติใหม่ สำหรับตัวเอง ได้ทั้ง 2 ครั้ง คือ ระยะ ฮาล์ฟ ที่บางขุนเทียน และ มาราธอนที่ จอมบึง จึงทำให้เป้าหมายวันนี้ เป็นการสนองตัณหาของตัวเอง ที่ตั้งเอาไว้ เพื่อเป็นจุดมุ่งหมายของวันนี้ คือทำสถิติ ระยะ 10K ให้ต่ำกว่าเดิม และสามารถแซงกลุ่มนักวิ่ง สถาวรรุ่น 1 ที่ทำไว้โดยพี่ย้ง ที่ 46.12 ลงให้ได้

     ปีนี้ สำหรับการแข่งวิ่งที่นี่ ปีนี้คู่หูหนีไปลงสนามระยะฮาล์ฟ แทน เพราะต้องการวิ่งยาว  ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าต้องหันไปหาคู่แข่ง ในสนามแทน  อากาศ ณ เวลาปล่อยตัวของวันนี้ ไม่ได้เย็นอย่างที่ตั้งความประสงค์ไว้  เพราะเป็นระดับอุณหภูมิ ระหว่าง 25-27 องศา  จากที่ตั้งความหวังไว้ว่าจะได้พบกับหมอก และความเย็นที่ระดับ 20-22 องศา  ซึ่งก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา การกำหนดจังหวะการวิ่งในวันนี้ด้วย

       สำหรับการวางแผนการวิ่งในวันนี้ คือรักษาระดับการวิ่งที่ 5 กม แรก ให้คงที่ และ 5 กม หลังให้เร็วขึ้นเล็กน้อย หรือที่ฝรั่งเค้าเรียกการวิ่งแบบนี้ว่า negative run  ทำไมถึงต้องวิ่ง 5 กม หลัง ให้เร็วกว่า กม.แรก จากความเข้าใจส่วนตัวของข้าพเจ้าคิดว่า การที่พยายามย้ำคิดย้ำทำให้กับร่างกาย ให้รู้จักการสร้างความอดทนและพยายามมากขึ้น จากสภาวะที่อ่อนล้าบ่อยๆ จะเป็นการทำให้เกิดการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจให้ยกระดับขึ้น การกระทำเช่นนี้ ควรทำตลอดการซ้อมและการแข่งให้สม่ำเสมอ
      
     สิ่งเซอร์ไพรส์เล็กน้อย จากจุดปล่อยตัว ระยะมินิ มาราธอน วันนี้ น่ารักมาก มีการจุดคบเพลิงที่กระถาง เฉกเช่นงานพิธีเปิด โอลิมปิคอย่างไร อย่างนั้น นอกจากนี้ ยังมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟ ชุดใหญ่ เพื่อแสดงถึงความอลังการ ของการจัดงาน (แต่ความเห็นข้าพเจ้า คิดว่าสิ้นเปลืองและสร้างมลภาวะ)

    วันนี้ ที่จุดปล่อยตัว ได้ออกสตารท์ ณ จุด กลางๆ ของกลุ่มนักวิ่ง ซึ่งวันนี้ คะเน ด้วยสายตาแล้ว น่าใจหายเพราะว่า นัำกวิ่งในวันนี้ น้อยกว่า ทุกๆ ครั้งที่ได้มาเยี่ยมเยือน  หลังจากผ่านซุ้มสตารท์ ก็กดปุ่มสตารท์ เพิ่มเริ่มตั้งเวลาในการวิ่งครั้งนี้  ยอมรับเลยว่ากดดันเ็ล็กน้อย จากความคาดหวังของตัวเองในวันนี้
    การจับจังหวะวิ่ง เหมือนที่ซ้อมคอร์ท 1K มา เป็นจังหวะวิ่งที่เร็วเกินไปกับการวิ่งต่อเนื่อง 10K จึงปรับจังหวะลงให้การวิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 4.45 ต่อ กม. ซึ่ง ใช้ ระยะทาง 200 เมตร เป็นตัวประเมินจังหวะ ซึ่งเมื่อจับจังหวะได้แล้ว จึงเริ่มปรับและประคองจังหวะวิ่งแบบนี้มาเรื่อยๆ

    การซ้อมตามตารางซ้อม ตามคอร์ทต่างๆ ที่ได้รับ บอกได้เลยว่าส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ และฟรี ๆ  เพราะการซ้อมตามจังหวะความเร็ว ก็มักจะส่งผลให้ร่างกายบอบช้ำกว่าปกติ  ซึ่งตัวนักวิ่งเอง ต้องขีดเส้น แยกให้ออกว่าจุดที่ปริ่มของร่างกายตัวเองอยู่ที่จุดใด และพยายามอย่าไปล้ำเส้นนั้น
     
    เสน่ห์ของการวิ่ง ณ สนามนี้ คือ สะพาน ข้ามคลองใหญ่ ตอนขาไป และขากลับ  และสะพานเล้กๆ น้อยๆ ระหว่างทาง  เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อส่วนบน โดยแท้ ทำให้ย้อนคิดกลับไปถึงงานวิ่ง บนวงแหวนอุตสาหกรรม ที่เนินทั้งยาว ทั้งชัน  วิ่งจบหมดสภาพไปเป็นอาทิตย์
     
    เมื่อวิ่งครบ 2 กม แรก  จุดให้น้ำแรก ซึ่งจำไม่ได้ว่า เป็น กม. ที่เท่าไหร่ เพราะความมืดตลอดเส้นทาง และการโฟกัสที่จังหวะวิ่ง เลยไม่ได้สนใจเวลาและระยะทางที่ข้อมือเท่าไร  หลังจากรับน้ำเสร็จ ก็ขำ กร๊าก ขึ้นมาทันที เพราะไม่ได้ดูคว้าถ้วยขึ้นมา และบรรจง ป้อนเข้าทางปากน้อยๆ ของข้าพเจ้า ถึง กับชนจมูก  อันเนื่องมาจากน้ำที่แจกตรงจุดตั้งโต๊ะ เป็นน้ำแบบ บรรจุเป็นถ้วยแพ็ค   ว่าจะหันกลับไปถามที่จุดตั้งโต๊ะ ว่าหลอดอยู่ไหน ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่ออกห่างจากจุดนั้นมาพอสมควรแล้ว จึงได้แต่ตัดสินใจไป วิ่งไป ว่าจะใช้นิ้วไหน จิ้ม ดี

     เมื่อดื่มน้ำเสร็จ รู้สึกถึงความสดชื่่นที่ได้รับเพิ่มขึ้น ทำให้จังหวะการวิ่งเร็วขึ้นเล็กน้อย แบบไม่รู้ตัว จนกระทั่ง เสียงนาฬิกาเตือนที่ข้อมือ ว่าวิ่งเร็วกว่าที่ตั้งใจ ไปเกือบ 10 วินาที จึงปรับจังหวะลงให้เท่าเดิม เพื่อที่จะประคอง จังหวะการวิ่ง 5 กม แรก ให้มีความเสถียร

     23:25  คือ เวลาที่แสดง ณ หน้าปัดนาฬิกา เมื่อระยะการวิ่งครบที่ 5 กม. วิญญาณ นักคณิตศาสตร์เข้าสิงในบัดดล 46:50 คือ เวลา 10K ที่น่าจะทำได้ ถ้าสามารถวิ่งจังหวะเดิมได้  และยังสามารถทำลายสถิติเดิม ที่อยู่ค้างมานาน ที่ 46:57 ได้สักที  แต่เป้าหมายของข้าพเจ้าวันนี้หาได้สิ้นสุดที่ตัวเลขที่คำนวณออกมา  เพราะเป้าหมายถัดมาคือ การทำเวลาให้ได้ต่ำกว่า 46:12   นั่นหมายความว่าข้าพเจ้าจะต้องวิ่ง 5 กม หลัง ให้ต่ำกว่า 22:47 นาที  ซึ่งเป็นอะไรที่ท้าทายมาก

      หลังจากวิ่งข้ามสะพานมาหลายเนิน จนเริ่มรู้สึกตึงหน้าขาด้านบนเล็กน้อย  ณ เวลานี้ ท้องฟ้าเริ่มส่องประกายที่ขอบฟ้าเล็กน้อย  ชาวบ้านเริ่มออกมาทำมากินตามวิธีชีวิตประจำวัน  กลิ่นข้าวหลามที่ถูกย่าง ส่งกลิ่นหอม อวล ชวนชิมยิ่งนัก  จิตใจ ณ ขณะวิ่งเริ่มวอกแวก ไม่มีสมาธิอยู่กับตัว เริ่มแทรกเข้ามา ซึ่งก่อนที่จะเตลิดไปกว่านี้ มองไปไกล ๆ ก็เห็น น้องเต๋อวิ่งอยู่ด้านหน้า จึงทำให้สมาธิการวิ่งกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม

    สำหรับ น้องเต๋อ เป็นน้องที่ซ้อมอยู่ที่เดียวกัน เป็นคนที่มีน้ำอดน้ำทนในการซ้อมมากๆ แต่ช่วงหลังด้วยภาระกิจทางบ้าน จึงซ้อมน้อยลง  จึงทำให้ข้าพเจ้าสามารถวิ่งเข้าก่อนได้ 2 ครั้ง ล่าสุด คือที่ บางขุนเทียน และจอมบึง  เต๋อ จึงเป็นเป้าหมายในวันนี้ที่ข้าพเจ้าจะต้องพิชิตให้ได้เช่นกัน
     หลังจากเพียรพยายามในการ วิ่งดูด  (ไม่ได้ไปดูดอะไรส่วนไหนตรงไหนของเต๋อนะครับ หมายถึงดร้าฟ์ วิ่งตามหลังไป อาศัย ให้น้องวิ่งนำแหวกอากาศไป เราจะได้ลดการใช้พลังงานให้น้อยลง) สเต็ปการวิ่งเริ่มร้อนขึ้นจากการติดเครื่อง จึงเริ่มฉีก และวิ่งหนีไป ด้วยอัตราความเร็วเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้โอกาสเต๋อตั้งตัวและวิ่งไล่ทัน จนทำให้ความทะเยินทะยานของข้าพเจ้าหมดสิ้นไป   

       ไม่มีเสียงใดๆ ตามมา ภาระกิจ เมื่อตะีกี้ผ่านไปได้ด้วยดี  และเมื่อมาถึงจุดรับน้ำจุดที่ 3  ข้าพเจ้าถึงกับอยากจะก้มลงไปกราบ และีรอฟังคำอนุโมทนาจากโต๊ะให้น้ำในบัดดล  เพราะอะไรที่ข้าพเจ้ามาำพร่ำเพ้อ พรรณา  ก็อยากจะบอกว่า  ผ่านมา 3 โต๊ะ ให้น้ำ  3 โต๊ะ นี่ ไม่มีอะไรเหมือนกันสักโต๊ะ เดาทาง งานวิ่งปีนี้ ยากจริงๆ

    ขวดน้ำสีขุ่น เล็กๆ  ถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ เพื่อนๆที่นึกภาพไม่ออก ให้ลองตั้งจินตนาการ ในระหว่างออกไปทำบุญตักบาตรพระตอนเช้า หลังจากที่ได้ถวายอาหารคาว อาหารหวานเรียบร้อย ก็ต้องถวายน้ำดื่ม   น้ำดื่ม ไซส์นั้น สีนัี่น แหละ ที่ตั้งวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ณ ขณะนี้ ข้าพเจ้าบรรจงเคว้าขวดแล้วรีบวิ่งออกมา ก่อนที่น้องๆ ที่อยู่ข้างโต๊ะ จะท่องบทสวด หรือกล่าวอะไรออกมา

      แต่จะว่าไปการแจกน้ำขวดแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ (เหน็บแนมเค้าไปแล้ว จะมาหลอกชม) เพราะว่าทำให้เราสามารถกักเก็บน้ำ นำไปใช้ชดเชยความกระหายที่ด้านหน้าได้ เฉกเช่น อูฐที่มีโหนก รักษาและกักเก็บน้ำไว้  เพราะว่าหลังจากที่จิ๊บไปเล็กน้อย จึงตัดสินใจถือขวดน้ำนั่นวิ่งไปด้วย กับระยะทางที่เหลืออยู่   เมื่อวิ่งไปได้ 8 กม. ความท้อแท้เริ่มเกิดขึ้นในจิตใจ เพราะความอ่อนล้า จาก สะพาน และ เนิน ลูกแล้วลูกเล่า  จนทำให้คิดไปว่า แค่ new pb ก็พอแล้ว วิ่งประคองไปแบบนี้ยังไงก็ได้ ไม่ต้องไปคิดทำเวลาให้ต่ำกว่าสถิติของพี่ ในกลุ่มหรอก   อะไรต่างๆ นาๆ เริ่มพลุดเข้ามาในหัวสมอง จนกระทั่ง เจอพี่รัตน์ ที่วันนี้วิ่งฮาล์ฟ  และระยะทางการวิ่งมาทับกันตรงจุดนี้พอดี  ทำให้เกิดแรงฮึดก๊อกสองขึ้นมา เพื่อไม่ให้ขายหน้า ว่าวิ่งเร็วแล้วหมดแรง จึงปรับท่าและจังหวะการวิ่งแบบที่เคยนำมาใช้ ทำให้ความเหนื่อยน้อยลง (ถามว่าแล้วทำไม ไมใช่ท่าวิ่งนี้ ตั้งแต่แรก ซึ่งจริงๆ ก็อยากใช้ แต่ท่าวิ่งนี้ มันเหมื่อย)

    2 กม. สุดท้าย น้ำที่เหลืออยู่ในขวดเริ่มนำมาใช้  การหายใจทางเหงือก เอ้ยทางปาก เริ่ม มีออกมาแล้ว การเค้น 2 กม.สุดท้าย เป็นอะไรที่สุดยอดมาก อาจถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชา ที่ตารางซ้อมของอาจารย์สถาวร พยายามปลูกฝังให้นักวิ่งที่ซ้อม ต้องบรรจุไว้ในหัวสมอง

      ในการซ้อม บางครั้งข้าพเจ้าสามารถ เขยิบเวลา วิ่ง 1k ลงไปได้ ถึง 4.05 เลยทีเดียว แต่นั่นคือการซ้อมที่มีการวิ่งเร็วและ recovery ตลอดตารางการซ้อม ซึ่งแตกต่างจากการวิ่งแข่งที่ต้อง วิ่งลากระยะตั้งแต่ต้นจนจบ  การที่พยายามจะทำให้ได้เหมือนซ้อม นั้น คงเป็นอะไรที่เหมือนกับเด็กสายพาณิชย์ จะไปสอบเอ็นทราน เข้ามหาวิทยาลัย อย่างไรอย่างนั้น

      การวิ่งแบบมีจังหวะ มีสติ และรู้สภาพตัวเอง ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ ซึ่ง ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจหัวอกของนักวิ่งแนวหน้าขึ้นมาทันที ว่า กว่าที่เค้าจะเป็นแบบนี้ได้ คงต้องผ่านการบ่ม การฝึกฝน มาเป็นระยะเวลานาน  ขนาดข้าพเจ้า วิ่งมา 4 ปี แล้ว ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลย

        กม.ที่ 9 ข้าพเจ้า จบที่เวลา 41.53  ซึ่งเมื่อประเมินแล้วว่าถ้าจะทำเวลาให้ผ่านเกณ์ฑ์ กม. สุดท้าย จะต้องวิ่งให้ได้ไม่เกิน 4.21   เมื่อเป้าหมายถึงบรรจุลงสมอง สมองก็เริ่มสั่งการณ์ ไปยังประสาทเท้าทุกส่วน ในการควบให้ได้เวลาตามเป้า สมองเริ่มสั่งการณ์อีกครั้งไปยังดวงตา ที่ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนน ก่อนขึ้นสะพานและเข้าบริเวณจัดงาน รถบรรทุกหลายคัน เริ่มวิ่งผ่านเข้ามา จน สมองซีกซ้ายของข้าพเจ้าสั่งการณ์ ให้วิ่งชิดขวาของสะพานไว้ โดยตั้งละทิ้งจากภาระกิจ การถ่ายรูป เอาไว้ เพราะถ้ามัวแต่จะถ่ายรูป อาจพลาด ในการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองในครั้งนี้ได้

      ซึ่งหลังจากวิ่งผ่านช่างภาพไปแล้ว และกำลังจะวิ่งลงทำให้รู้เลยว่าสภาพร่างกาย ถ้าจะทำ New PB 10 กม แรก แบบนี้ คงไม่มีทางทำได้แน่นอน เพราะเวลาค่อนข้างยาก จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็น 10K ตลอดเส้นทาง จึงจำเป็นต้องประคองจังหวะความเร็วนี้ ไปจนเข้าเส้นชัย
     
        จุดให้น้ำจุดสุดท้าย อยู่ที่หัวโค้งก่อนเข้าเส้นชัย (มาตั้งทำไมแถวนี้เนาะ) ข้าพเจ้าใจอยากจะรับน้ำมาก พยายามยืดมือออกไปรับน้ำที่เจ้าหน้าที่จะหยิบยื่นให้ แต่ทว่า ด้วยจำนวนนักเดิน นักเรียน ที่เดินหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยที่หารู้ไม่ว่ามี นักวิ่งที่ กำลังทำความเร็วอยู่ท่านนี้ กำลังแข่งขัน กับ my best time ของตัวเองอยู่  ครั้นจะตัดหน้าเข้าไปรับน้ำ ก็เกรงว่าจะเกิดอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น จึงได้แต่เพียงคว้าลม มาเชยชม ก่อนที่จะตัดสินใจวิ่งผ่านไปและเข้าเส้นชัย ด้วยการสปีด เฮือกสุดท้าย

จนจบได้ที่ เวลา 47.35  ระยะ 10.28    สามารถทำเวลา new pb 10K ที่ 46.08  ถึงแม้จะไม่ใช่ 10K นับแต่สตาร์ท  แต่ข้าพเจ้าก็ภูมิใจกับมัน  และหวังว่า สนามต่อไปที่ข้าพเจ้าคิดจะทำเวลาอีก จะสามารถทำลายมันลงได้อีกครั้ง

ขอบคุณ  อาจารย์ สำหรับการฝึกซ้อม
ขอบคุณ มิซูโน่ สำหรับ รองเท้าที่มีคุณภาพ