วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Race 130 นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 6

พูดถึง รพ.นครธน ผมเชื่อว่า บรรดานักวิ่งทั้งขาเก่า และขาใหม่ คงจะคุ้นเคยก็ชื่อ โรงพยาบาลนี้แน่นอน แต่ก็อาจจะไม่รู้ว่า รพ.นครธน นี่ อยู่ที่ไหน  ทำไมถึงคิดว่านักวิ่งต้องรู้จัก โรงพยาบาลนครธน ที่ต้องกล่าวเช่นนั้น เพราะว่า เมื่อคุณไปงานวิ่งที่ใด ไม่ว่าจะเป็นงานที่จัดโดยออแกไนส์ จ้อคแอนด์จอย ที่มีงานเกือบทุกอาทิตย์ หรือ กระทั่งงานที่ ทางสมาพันธ์เดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทยสนับสนุน คุณก็จะเห็นโลโก้ โรงพยาบาลนี้แทบทุกครั้งไป นี่ยังไม่รวมถึง หน่วยพยาบาลที่ตั้งอยู่ในงาน และ รถแอมบูแลนซ์ที่เตรียมพร้อมให้บริการตลอดงาน

ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี ที่บรรดาเหล่านักวิ่งจะกลับมาตอบแทนน้ำใจที่ทางโรงพยาบาลมอบให้ ทุกวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เพราะทุกวันรัฐธรรมนูญ ถือเป็นประเพณีของโรงพยาบาลที่จะจัดงานวิ่ง และส่งต่อสิ่งดีดี ให้กับสังคมทุกครั้ง โดยในครั้งนี้ทางโรงพยาบาล ได้มีจุดมุ่งหมายในการร่วมส่งมอบรายได้ให้กับมูลนิธิ 17 มูลนิธิ เพื่อนำไปใช้ในเรื่องสาธารณะประโยชน์ต่อไป

สำหรับผมเอง หลังจากที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วในบล็อคเก่าๆ ว่า งาน นครธน ถือเป็นงานวิ่งงานแรกที่ข้าพเจ้าได้เข้าสู่วงการวิ่งอย่างเป็นทางการ คือตั้งแต่ นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 2 ที่เสื้อที่ระลึกในงานนั้นคือ ส้ม-เขียว  หลังจากนั้นก็เข้าร่วมงานนี้ไปตลอด และคิดว่าตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีแรงและมีกำลังทรัพย์ ข้าพเจ้าก็จะขอเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ตลอดไป

..............................................................

การกลับมาวิ่งในงานนี้อีกครั้ง ถือว่าเป็นการระเบิดปอด ตามเคล็ดลับของสถาวรรันนิ่งคลับ ที่ปรมาจารย์แห่งวงการวิ่ง โค๊ชสถาวร เคยให้เคล็ดลับมา  หลังจากที่วิ่งมาราธอนมา อีกอาทิตย์ต้องไประเบิดปอด ด้วยระยะ 10K ผมคิดว่าหลักการนี้ใช้ได้เฉพาะ ผู้ที่ผ่านมาราธอน ต่อปี ไม่เกิน 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าคุณวิ่งมาราธอนทุกอาทิตย์ขอให้มองข้าม บทความนี้ไป

ทำไมผมถึงศรัทธา กับเคล็ดลับนี้ ทั้งที่ไม่รู้ความหมายของการกระทำดังกล่าวเลย ว่าทำไปเพื่ออะไร แล้วจะได้อะไร แต่สิ่งที่ผมรู้ ก็คือ ผลลัพธ์ของมัน ออกมาดีทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความสม่ำเสมอ

................................................................
ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด การซ้อมเพื่อลงมาราธอนที่สิงคโปร เพิ่งจะมาเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน กับเวลา 30 วัน เพื่อผ่านมาราธอน แบบไม่เสียสมดุลย์ทางร่างกาย
โปรแกรมการซ้อมยาว ทุกบรรจุในตารางการซ้อมทุกกลางสัปดาห์และวันอาทิตย์ตลอดเดือน  นั่นรวมถึงการแอบไปซ้อมยาวที่งานกรุงเทพฯมาราธอน ที่ไปมีส่วนร่วมในการสร้างตำนานความเข้าใจผิดในโอเวอร์ออลหญิง ให้อายกันไปพักใหญ่

รูปแบบการซ้อมตลอดเดือนนั้นบรรจุเพียงสร้างความอึดในระยะทางที่เพิ่มขึ้น โดยปราศจากรูปแบบการซ้อมความเร็วทั้งปวง
...................................................................

ผลประกอบการของสิงคโปรมาราธอน ที่สามารถจบ ด้วยเวลา 4:58:17  ซึ่งต่ำกว่า 5 ชั่วโมงตามที่ได้แจ้งตอนสมัครไว้ รวมกับสภาพร่างกายที่หลังวิ่งมาราธอนจบ ได้ทำการคูลดาวน์โดยการสนับสนุนจากทางผู้จัดงานร่วม  6-7 กม ทำให้ร่างกายไม่ช้ำ ไม่โรย
....................................................................

เวลา 6.00 น พิธีกรบนเวที ให้สัญญาณในการปล่อยตัว บรรดาเหล่านักวิ่ง ได้เริ่มทยอยก้าวขาออกจากจุดที่่ตัวเองยืนอยู่ออกไปจนหายไปลับตา   แต่ตัวผมเองกับพี่ย้ง ยังคงยืนอยู่ในคอก เพราะวันนี้นัดเพื่อนๆ นักวิ่งที่สั่งจองเบอร์และเสื้อ ผ่านระบบออนไลน์มารับ ยังขาดเพื่อนอีกคนที่ยังไม่มารับเบอร์ไป ซึ่งผมได้โทรตามแล้ว แต่สงสัยว่าจะเข้าใจเรื่องสถานที่ผิดหรือ ติดที่ขบวนนักวิ่งเลยเข้ามาไม่ได้ เวลาผ่านไปเกือบ 2 นาที หลังจากปล่อยตัว จึงตัดสินใจฝากเสื้อและเบอร์ ที่เหลือไว้กับโค๊ช  ที่วันนี้ตัดสินใจไม่วิ่งเพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้าบริเวณบูธสมัครวารสารไทยจ็อคกิ้งไม่น่าไว้วางใจ ให้ช่วยส่งมอบแทน

เวลา 6:02 ผมจึงชวนพี่ย้ง ออกวิ่งตามบรรดานักวิ่งไป โดยความตั้งใจแรกจะวิ่งผ่านซุ้มปล่อยตัว แต่ทว่า ณ เวลานั้น กลุ่มเดิน เริ่มทยอยเข้าพื้นที่และจับจองพื้นที่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงตัดสินใจวิ่งออกไปทางถนนคู่ขนานแทน  ซึ่งนาทีนั่น คิดอย่างเดียวจะสับยังไงให้พ้นกลุ่มนักวิ่งที่เดินอยู่ท้ายแถว

ยังดีที่ในระหว่างที่รออยู่ในบูธ ผมได้ทำการวอร์มร่างกายด้วยการกระโดดให้เหงื่อพอซึม มีการยืดเหยียดในจุดที่พอจะทำได้ในบริเวณแคบๆนั่น จึงทำให้ร่างกายไม่น็อค จากการเริ่งสปีดตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มวิ่ง ซึ่งการวิ่งฝ่าฝูงชนกลุ่มใหญ่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากกายและลำบากใจ เพราะถ้าพูดกันตามตรง ถ้าคุณคิดจะวิ่งเร็ว เพื่อทำเวลาไม่ควรมาอยู่ด้านหลังเช่นนี้ เพราะลำบากกายมาก จากการที่ต้องวิ่งไปเบรคไป

จากบริเวณถนนพระราม 2 เลี้ยวซ้าย เพื่อเลาะขอบรั้วสำนักงานเขตบางขุนเทียนเข้าสู่เส้นทางวิ่งที่ตอนนี้ปิด 100% ไปเรียบร้อยแล้ว ก็พบ พี่ทนงศักดิ์ กับ บอย ที่วันนี้วิ่งคู่กัน นาทีนั้นหลังจากทักทายเรียบร้อย ผมก็รีบเร่งสร้างจังหวะหนีออกไป โดยคิดไว้ในใจ ถ้าสามารถ ไปถึงสะพานข้ามแยกถนนพระราม 2 เมื่อไหร่ คงวิ่งง่ายขึ้นเยอะกว่านี้ เพราะ คาดว่านักวิ่งคงจะชะลอความเร็วเมื่อเจอสะพานข้ามคลองในงานนี้

หลังจากข้ามสะพานข้ามคลองแรก ระยะทาง กม แรก ก็วิ่งมาครบระยะทาง ณ บริเวณแยก ที่ทางผู้จัดให้เลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนบางขุนเทียนชายทะเล  ในตอนนั้นความรู้สึกเริ่มกระหาย อยากอัดให้มากกว่านี้ เพราะต้องการชดเชยเวลาที่เสียไปใน กม.แรก ให้ค่าเฉลี่ยของการวิ่งวันนี้ให้ลดลง

ซึ่งเมื่อวิ่งเข้าสู่ถนนเส้นนี้ ข้าพเจ้าจึงปรับจังหวะให้ก้าวยาว และถี่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว เป้าหมายอยู่ทีึ่ค่าเฉลี่ย 4.30 ซึ่งเมื่อวิ่งจริง อากาศที่เป็นใจรวมกับความต่อเนื่องในการเพิ่มระดับความเร็วนั่นทำให้ ความเร็ว เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ ซึ่งค่าที่แสดงออกมาเมื่อครบ 2 กม คือ 4.20  ซึ่งรวมถึง การพบจุดให้น้ำแรกของงาน  ซึ่งจากเหตุการณ์ในปีก่อนจำได้ว่า จุดให้น้ำนี้จริงๆ เป็นจุดสุดท้ายของงาน  จึงทำให้ตัดสินใจไม่รับน้ำในจุดนี้ เพราะจำได้ว่าจุดให้น้ำแรกของปีก่อน อยู่ที่ บริเวณหลังลงสะพานข้ามถนนพระราม 2  จึงตัดสินใจประคองจังหวะความเร็ว เพื่อข้ามให้พ้นสะพานใหญ่ที่ถือเป็นอุปสรรคอันดับต้นๆในการวิ่งวันนี้  หลังจากลงสะพานมาเรียบร้อย แล้วผมจึงเริ่มมองหาจุดให้น้ำเมื่อปีก่อน  เห้ยไม่มี นี่คือสิ่งที่พลาดที่สุดจากการไม่ศึกษาเส้นทาง และจุดให้น้ำ เพราะความประมาทที่คิดว่าวิ่งที่นี่ทุกปี จึงทำให้นึกได้ว่า จริงๆ แล้วจุดให้น้ำหน้าปั้ม ปตท. เนี้ยเป็นจุดให้น้ำที่ทางเจ้าของมาตั้งเอง เพื่อช่วยงาน

ฮ่วย ต้องแบกความกระหายไปถึง 4 กม. แน่ๆ แบบนี้ ซึ่งแน่นอน ใน กม ที่ 4 เนี้ย มันถึง ซอยเทียนทะเล 7 เลย  จึงตัดสินใจเริ่มผ่อนจังหวะลง มิเช่นนั้น อาจเครื่องดับระหว่างทางแน่ๆ แต่ในขณะที่ผ่อนเครื่องลง วันนี้เห็นสาวเสื้อส้ม ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งไปเปิดซิงมาราธอนแรกที่สิงคโปร ด้วยเวลาที่ข้าพเจ้าวิ่งมา 5 ปี ยังไม่สามารถทำได้ อยู่ข้างหน้า  หลังจากที่วิ่งตามมาสักพัก จึงแน่ใจว่าวันนี้เธอไม่ปกติแน่ เพราะลักษณะท่าทางการวิ่ง วันนี้แปลกไปมาก ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดเพราะ มีอาการบาดเจ็บรบกวนเจ้าหล่อน จึงต้องวิ่งด้วยความเร็วที่ช้าลง   ผมจึงค่อยๆ วิ่งแซงไปและรักษาจังหวะจนกว่าจะเจอน้ำจุดที่ 2 ของงาน ซึ่งระหว่างทาง ก็เจอ เจ้าเอ้ เด็กน้อยแห่งเทียนทะเล ที่ช่วงหลัง ซ่าส์ ลงทั้งมาราธอนที่กรุงเทพ  ลง32เค ที่เขาชะโงก มาในฟอร์มยางแตก เพราะชวนวิ่งแล้วไม่ยอมวิ่งตามมา

เมื่อถึงจุดให้น้ำ จึงรีบจัดการกับน้ำที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหมายดับกระหาย แต่ดื่มมากไปจนรู้สึกจุก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิ่งระหว่าง กม ที่ 5 ไปด้วย  ระหว่างเส้นทางนี้รู้สึกเสียดท้อง จึงเบาความเร็วและเริ่มมองฝั่งตรงข้าม เพื่อดูว่าใครวิ่งกลับมาแล้ว ซึ่งแน่นอน ก็เป็นบรรดาเหล่าแน่หน้า  องศา สิงหา และเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแน่นอน วันนี้ ที่ตอนแรกนัดกับน้องแจงว่าจะช่วยวิ่งลากกัน  วันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เห็นน้องระหว่างงานและเส้นทางเลย   เพราะเริ่มเห็นแนวหน้าขาแรงหญิง ตั้งแต่เด็กน้อย พิกุล ทองลือ ที่วันนี้วิ่งนำมาเป็นโอเวอร์ออลหญิง  และกลุ่มสาวๆ ท่านอื่นที่วิ่งผ่านไป เลยเดาไปว่าอาจจะไม่มา

เป็นอีกเรื่องที่น่าชมเชย กับการปิดกั้นถนน ที่ ถนนเส้นทาง 5 กม ที่ผ่านมา จะเห็นเจ้าหน้าที่ตั้งกรวย กั้นรถ และมีเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกๆ 50 เมตร  เป็นงานวิ่งที่จัดกันเอง ที่ผู้จัดรายใหญ่ ต้องมาศึกษาเลยว่าเค้าทำกันอย่างไร หาเจ้าหน้าที่จำนวนมากขนาดนี้มาอำนวยความสะดวกได้อย่างไร บอกตรงๆ วิ่งแล้วอุ่นใจทุกครั้งที่นี่

เพลินดีกับการมองฝั่งตรงข้าม ถ้ารู้จักกัน เห็นกันก็ยกไม้ยกมือทักทาย ถ้าไม่รู้จัก แต่น้ำมาก็ปรบมือเชียร์ นี่คือเสน่ห์อีกอย่างของข้างทางวิ่ง  ไม่ว่าจะเป็นพี่หนิด และเป้ จากเซ็นทรัลพระราม 2 พี่หมู น้องแจ็ค จากสยามรันเนอร์ และหนุ่มๆ จากเทียนทะเล ที่วันนี้มากันพอสมควร ความเพลิดเพลินทำให้ลืมความจุก ความเหนื่อยไปได้ และวิ่งครบระยะ 5 กม. จนได้ที่เวลา 22:56  ซึ่งคลับคลายคลับคลา ว่าสถิติที่ดีสุดของระยะทาง 5 กม. ที่เคยทำได้เวลาน้อยกว่านี้ แต่มาถึงนาทีนี้แล้วอะไรก็หยุดไม่อยู่แล้วครับ เพราะผมเริ่มได้เป้าหมายในการออกไล่ล่าแล้ว เพราะฝั่งตรงข้าม สาวๆ หนุ่ม ๆ เสื้อส้มดำ จากชมรมวีเลิฟสถาวรรันนิ่งคลับ ต่างทยอยวิ่งผ่านไป ตั้งแต่คุณหนก อาปู น้องเส่ง และน้องบี ที่วิ่ง ตามกันมา ซึ่งคำนวณระยะทางแล้วน่าจะห่างอยู่ประมาณ 1 กม.

ในระหว่างที่เริ่มเร่งจังหวะในครึ่งทางหลัง กับเป้าหมายวันนี้ต้องวิ่งต่ำกว่า 50 นาทีให้ได้ ครึ่งทางแรก ทำได้แล้ว หากไม่ยางแตกไปซะก่อน วันนี้น่าจะผ่านได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่ว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีกหรือป่าว ระหว่างเส้นทางนี้ ก็พบ ทั้งพี่ทศ คุณไก่ พยัคฆ์ดำ ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า ซึ่งยังคงเอกลักษณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงกับการวิ่งชิวเคร้าเสียงเพลง

ความคิดแวบขึ้นมาในสมองบัดดล ว่าจะต้องวิ่ง 4.30  ใน 2 กม.ต่อจากนี้ แล้วค่อยไปผ่อนในจังหวะขึ้นสะพาน แล้วค่อยอัดให้หมดถัง เมื่อกลับตัวหลังลงสะพาน

นาทีนี้ จังหวะการเร่ง เป็นเท้าต่อเท้า เหมือนกงล้อที่กำลังถูกปลดปล่อยลงจากเขา การฉีกจังหวะแซงน้องบี สาวหมวกแดง ก็เริ่มขึ้น เมื่อจุดให้น้ำ กม ที่ 6  ยังเหลือเป้าหมายให้เกาะอีกหลายคนและหลายช่วงในวันนี้  จากการสังเกตุเมื่อกลับตัวมา  ระยะห่างแต่ละคนมีพอสมควร ที่จะให้สะสมพลังงานในการระเบิดฟอร์ม

นาทีนี้เหมือนเครื่องจักรสีแดง ที่พลังฟื้นกลับมา ไม่มีอาการจุก มีแต่ความสนุกทุกย่างก้าวที่ทะยานออกไป เริ่มร่นระยะห่าง กับ กลุ่มพลพรรค ส้ม-ดำ สองอาหลานลงมา จนกระทั่ง สังเกตุได้ว่า หนุ่มน้อยเริ่มออกอาการหล่น และเริ่มห่างจากคุณอา ทีละน้อย ผมจึงค่อยๆ เร่ง เพื่อหาจังหวะเกาะไปโดยไม่ลืมเป้าหมายของการคุมเพชเวลา 4.30 เพื่อถนอมแรงไว้สปีดในช่วงสุดท้าย กลับได้เจอกับน้องแจง ที่วันนี้เป็นสาวส้มดำ อีกคน จึงชวนให้วิ่งด้วยกัน แต่ได้รับการปฏิเสธ อย่างสิ้นเยื่อใย เพราะอาการป่วยอีกครั้ง

จุดให้น้ำจุดที่ 4  ที่ระยะ 8 กม. อยู่ข้างหน้า  มาถึงตอนนี้ เริ่มเจอเพื่อนๆ ที่คุ้นตากันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะพี่อำนวย เทียนทะเล ที่ตอนนี้ ออกสเตป วิ่งอยู่ในจังหวะและรัศมีเดียวกันกับเป้ เซ็นทรัลพระราม 2   ข้าพเจ้าจึงเร่ิมเร่งความเร็ว แซงคุณอา ยังสาวขึ้นไปก่อน ก่อนที่จะเร่งอีกจังหวะเพื่ิอแซงพี่อำนวย ที่ผมเพิ่งจะวิ่งแพ้ไปแบบสู้ไม่ได้เมื่องานวันอาทิตย์ ที่บางหญ้าแพรก ระยะฮาล์ฟที่ผ่านมา

หลังจากรับน้ำในจุดที่ 4 เรียบร้อย กินทางปาก และระบายความร้อนทางหัวเรียบร้อย ตั้งใจจะวิ่งเข้าไปใกล้เป้ให้มากที่สุดเพื่อดร๊าฟท์ ให้ใช้แรงน้อยลง ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ขึ้นสะพาน

ผลปรากฏว่าผมแรงเริ่มตก อาจจะมาจากจังหวะที่เร่งกระชากมาตลอดทาง และการไม่ได้ซ้อมลงคอร์ตใด ๆ ตลอดที่ผ่านมา  รวมกับเนินยาวๆ  แต่ดีที่ว่า ตอนนี้มีความอึดจากการซ้อมยาวมาตลอดเดือน จึงทำให้ไม่น้อค จึงต้องประคองจังหวะ ไม่คิดเร่งในจังหวะขึ้นสะพานนี้ ใช้กลยุทธ์ทุกอย่างที่รู้ ไม่ว่าจะโน้มตัวไปข้างหน้า ก้าวสั้น แต่ถี่ เพื่อประหยัดแรง แต่กลับเป็นว่า เป้ เกิดคึกอะไรไม่รู้ สปีดหนีไป ยิ่งช่วงลงสะพาน ยิ่งกระหน่ำหนีไปไกล เกือบ 200 เมตร  ผมเองจึงปล่อยไป ไม่คิดตามต่อ เพื่อสะสมพลังงานใหม่อีกครั้ง ทำให้ กม ที่ 9 เวลาวิ่งหล่นไป เกือบ 20 วินาที จากที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ยังสามารถวิ่งแซงเพื่อนนักวิ่ง ได้หลายคน ที่เริ่มถอดใจกับสะพานนี้ ด้วยการเดินเป็นแถว

เมื่อจะเริ่มกลับตัวหลังจากวิ่งดิ่งลงสะพานข้ามแยกมา ก็พบ พี่คำรณ ของสวนพฤกษ์ 99 ที่วันนี้มาวิ่งลากพี่นัท อีกครั้ง ซึ่งเป็นภาพที่คุ้นตา เหมือนที่เจอที่งาน PEA  พลางคิดในใจ ถ้ายัยแจงวิ่งเกาะมาวันนี้สนุกแน่ แต่ก็ได้แต่คิดเพียงเท่านั้น

พระเจ้า ในขณะที่กำลังจะวิ่งกลับตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ อพปร ปล่อยมอเตอร์ไซต์ที่กักอยู่ออกไป เพราะอาจเห็นว่าระยะคนสุดท้ายกับข้าพเจ้าห่างกันมาก แต่หารู้ไม่ว่าข้าพเจ้ากำลังสปีดเพื่อให้ทันกับจังหวะการกันรถ แต่ดีที่ว่า เจ้าหน้าที่สายตาไว จึงรีบออกมากันรถให้อีกครั้ง

ปราศจากความกลัวใดๆ จึงเริ่มเร่งสปีดอีกครั้ง เป้าหมายครั้งนี้ อยู่ที่ 4.20 นาที และใส่ให้หมดถังเมื่อ 500 สุดท้าย เมื่อข้ามสะพานเล็กข้ามคลอง มา เพื่อรับน้ำในจุดที่ 5 ซึ่งก็คือจุดที่ 1 ที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับนั่นเอง ระยะห่างจากเป้ เริ่มลดลง ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งสปีดอีกครั้ง เพราะรู้ว่า ถ้าไม่ใส่ตั้งแต่ตอนนี้ โอกาสที่จะทำสถิติใหม่ให้กับตัวเอง คงเกิดขึ้นอีกที อีกนานแน่ๆ

เครดิต ภาพ โปรรุจน์
ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวถนนพระราม 2 ก็สามารถวิ่งไล่แซงพี่สีฟ้า สาวแนวหน้าจากสยามรันเนอร์อีกท่าน และทัน หนุ่มน้อยจากเซ็นทรัลพระราม 2 ที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเอง พร้อมคว้าถ้วยอันดับ 4 ไปนอนกอดที่บ้านสมใจ จากงานบางหญ้าแพรก ที่ผ่านมา  ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าวันนี้ไม่ฟิต ไล่ไม่ทันแน่ เพราะการวิ่งวันนี้เจ้าเป้ วิ่งไม่มีตกเลย วิ่งจังหวะสม่ำเสมอมาตลอด ผมเลยแหย่ด้วยการเริ่มเร่ง เพื่อบิวท์กันเองให้ส่งแรงกัน ซึ่งได้ผล เพราะเมื่อผมเร่ง เป้ก็เร่งตาม ซึ่งถ้ากลับไปดูสถิติการวิ่งของเป้ จะเห็นได้ว่า เป้ประคองจังหวะได้สม่ำเสมอมาตลอดทาง จนกระทั่งผมมาล่อให้เร่ง 5555+

เมื่อเร่งขึ้นแล้ว มีการตอบรับ ยิ่งทำให้มันส์มากขึ้น ทำให้นึกไปถึงงานปลายปีเมื่อ 2 ปีก่อนที่ ถนนสายหนึ่ง ที่ผมกับบอย ผลัดกันนำ ผลัดกันแซง จนสร้างสถิติใหม่ตอนนั้นได้

นาทีนี้หยุดไ่ม่อยู่ใหญ่ เมื่อเห็นเป้าหมายสุดท้าย สาว ส้มดำ ที่วันนี้ นำม้วนเดียวจบในกลุ่มสมาชิก จึงเริ่มสปีดเพิ่ม เมื่อวิ่งไปถึงคุณหนก จึงชวนให้เร่งสปีด เพราะเห็นสาวโอ๋ ในกลุ่มอายุเดียวกันอยู่ข้างหน้า แต่เหมือนเจ้าตัวจะมีอาการอะไรสักอย่าง จึงไม่ได้ตามขึ้นมา จากจังหวะดังกล่าวส่งให้จังหวะการวิ่งขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับนักวิ่งเท้าเปล่าในคราบนักมวย ที่วิ่งด้วยกันสักพัก ก่อนที่จะมีภาพคู่กันในจังหวะที่โปรรุจน์ แห่งชัตเตอร์รั่นนิ่ง กดชัตเตอร์อยู่ ซึ่งเมื่อข้ามสะพานข้ามคลอง สะพานสุดท้าย ไปแล้ว ผมจึงเร่งอีกครั้ง เพื่อให้เข้าเส้นชัยเวลาให้ดีที่สุด เพราะโอกาสแบบนี้หายาก

ซึ่งก่อนที่จะเลี้ยวเข้าสู่ปลายทางของการแข่งขัน ก็มีโปรตุ้ม มาดักรอบันทึกภาพอยู่ จึงจัดท่านี้ให้พี่ไก่ เพื่อปลอบใจผลของแมนยูที่ผ่านมาให้
ขโมยท่ากางปีกจากผู้เฒ่าเต่ามา
เครดิตภาพ ตุ้มชัตเตอร์รันนิ่ง

จนสามารถผ่านจุด Finish ที่เวลา 50:17 นาที  แต่เมื่อกดนาฬิกาหยุดเวลาที่ข้อมือข้าพเจ้า มันหยุดที่เวลา 48:17 นาที  ซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญอันแรกคือ  วิ่งนครธนทุกปี เวลาต้องดีขึ้นทุกปี ไปจนได้

ซึ่งเมื่อมาตรวจผลการแข่งขัน ถึงแม้จะไม่ได้ถ้วยใดๆ จากการแข่งขัน แต่ พณ ท่านเอ็นโดมอนโด ก็ใจดีมอบถ้วยให้ 3 ใบ จากสถิติใหม่
10K  45:00
5K    22:21
3Mile  21:38

พบกันใหม่ปีหน้า ที่เวลาต่ำกว่า 48 นาที

1 ความคิดเห็น: