วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 44 เปิดหน้าแข่ง อย่างเป็นทางการ

Race 44 โยนออฟอาร์คบริหารธุรกิจ มินิฯ

วันนี้นัดคู่แข่ง บอย มาประเดิมสนามที่เดียวกัน ณ สนามที่เคยมาวิ่งแล้วครั้งหนึ่ง ในงานตรีมิตรมินิมาราธอน เมื่อปีก่อน


อากาศในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ นักวิ่งมีความสุขกับมันมาก อากาศเย็นที่มาระลอกแล้วระลอกเล่า ทำให้ชีวิตนักวิ่งสนุกกับมัน เพราะการวิ่งในอุณหภูมิอากาศที่เย็นทำให้เหนื่อยยากมาก

การแข่งขันครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกรายการที่ผ่านมา คือ ไม่ได้หวังว่าจะได้รางวี้รางวัลอะไรกับเค้าแค่มาร่วมสนุกก็เพียงพอแล้ว  แต่ครั้งนี้พิเศษกว่าเดิมตรงที่ว่า มีการท้าประลองกันนอกสนาม จากเพื่อนใหม่ ที่ไซส์ใกล้เคียงกัน

ซึ่งวันนี้คิดในใจว่าจะต้องเอาคืนจากความพ่ายแพ้ครั้งแรกที่ี่ รพ นครธน ให้ได้ ดังนั้น เมื่อสิ้นเสียงปล่อยตัว การสับฉีกหนีคนจึงได้เริ่มต้นขึ้น  2 กม แรก ทั้งผม และ บอย พยายามฉีกหนีผู้คนที่มาร่วมงานกันทีละคนสองคน สามารถแซงได้แม้นกระทั่ง น้องเต๋อ ที่ปกติแล้วเราวิ่งช้ากว่าเขามากมาย  แต่การออกตัวที่เร็วเกินกำลังตน เพราะตลอดการซ้อมในชีวิตนักวิ่ง ไม่เคยรู้จักการลงคอรท์เร็วเลย เพราะกลัวการบาดเจ็บจึงปฏิเสธถึงองค์ความรู้ในส่วนนี้

2 กมแรก จากป้ายและนาฬิกาตนเองทำให้รู้ว่า วิ่งผ่านมาใช้เวลาไปไม่ถึง 9 นาที ซึ่งตลอดชีวิตการวิ่งไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้  ซึ่งจากปัจจัยนี้แหละทำให้เกิดอาการว่าจะจุก เลยต้องผ่อนแรงลงเพื่อให้ร่างกายปกติ ซึ่งทำให้ น้องเต๋อฉวยโอกาสนี้แซงคืนทันควัน

ผมกับบอย ยังวิ่งประคองสลับกันนำ สลับกันตามอย่างสนุกตลอดทาง  ผมมักจะฉีกขึ้นไปนำก่อนแทบทุกครั้ง ก่อนที่จะโฉบเข้ารับน้ำ ซึ่งบอยก็อาศัยช่วงนี้ ไม่รับน้ำ วิ่งสปริ๊นท์ หนีออกไปทุกครั้ง

จนกระทั่ง ถึงสะพานสุดท้าย ก่อนเข้าเส้นชัย  พละกำลังจากการลงวิ่งมาราธอน เมื่อสองอาทิตย์ก่อน นั้นส่งผลให้การวิ่งในวันนี้เป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่จุก คราวแรก และปรับสปีดลงมาในระดับที่ทนได้ ก็ยังไม่มีความรู้สึกเหนื่อยอีกเลย  จึงอาศัยช่วงขึ้นสะพาน สปรินท์หนีบอย และ โกยหน้าตั้งเมื่อลงสะพาน อย่างสะใจ  ทำให้วันนี้สามารถสร้าง NEW PB ได้ที่ เวลา  0:51:09  ระยะเวลา 10.52 กม



สรุป   การแข่งขัน 1-1

ไช้
30 มกราคม 2011

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 43 เรื่องวิ่งเรื่องกล้วย

Race 43  ไทยซิกซ์ มินิมาราธอน ครั้งที่ 18

หลังจากจอมบึงมาราธอนมา การซ้อมก็ได้หยุดลงโดยสิ้นเชิง เพราะ ตลอดระยะเวลา 3 วัน นั้นการก้าวขาแทบจะไม่ได้ การเดินขึ้นลงบันได เป็นอุปสรรคมาก ยิ่งตอนไปออฟฟิศ ต้องเดินขึ้นชั้น 3 โอ้วมันเป็นอะไรที่ทุเรศนัยตาตัวเองมากๆ ในช่วงนั้น  นี่หรือพิษสงของมาราธอน

หลังจากผ่านพ้นมาราธอนมา ในช่วงนี้ผมรู้สึกสนใจในเทคโนโลยีของ GPS มาก ยิ่งเข้าไปค้นหาในเว็บแล้วมีผู้มาโพสต์บอกระยะทางไว้ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นไปอีก

เหตุผลเพราะผมต้องการรู้ศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร เพราะลำัพังจะพึ่งข้อมูลจากสนามซ้อมหรือสนามแข่ง คงไม่ได้เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้มาตรฐานในการทำงานของพวกเขาเหล่านั้น  

การหาข้อมูลเทคโนโลยี GPS ได้เริ่มขึ้น  ซึ่งทำให้พบว่า มีนาฬิกาที่สามารถรองรับ เรื่องนี้ และนอกจากนี้ ยังมีโทรศัพท์มือถือ ที่รองรับ GPS ที่สามารถนำมาใช้ได้ ผ่านโปรแำกรม Endomondo ที่เป็นชุมชนของการออกกำลังกาย  แต่สำหรับนาฬิกานั้นจะต้องซื้อที่ต่างประเทศเพียงอย่างเดียว อันนี้คงหมดสิทธิ์ เพราะไม่ได้มีญาติโก โหติกา ที่อยู่ต่างประเทศเหมือนคนอื่นเค้า

เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน




กลับมาที่งานวิ่งไทยซิกซ์ งานนี้เป็นวิ่งมินิครั้งแรกในรอบปี 11  ซึ่งไม่ได้ซ้อมเลยหลังจากจอมบึง จึงออกมาวิ่งงานนี้เพื่อยืดเส้น ยืดสาย  โดยในครั้งนี้ได้ร่วมวิ่ง กับ หนึ่ง มาตลอดทาง  ซึ่งการปิดถนนทำได้ยอดเยี่ยมสมกับที่เศรษฐีจัดงานวิ่ง ตำรวจปิดกั้นรถ ได้อย่างดีเยี่ยม

ซึ่งเมื่อวิ่งเสร็จ ก็รีบกลับไปรับ โล่ห์ที่ระลึก จากงาน วิ่งเพื่อพ่อ รพ กล้วยน้ำไท ที่ไปวิ่งไว้เมื่อปีก่อน ที่ยังไม่ได้รับ   จากนั้นจึงเดินไปรับประทานอาหารตามปกติ อาหารในงานดูน่ากินไปทุกอย่าง แต่เพิ่งจะทราบความจริงว่า งานไทยซิกซ์ นั้นไม่เลี้ยงอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นในงานจึงมีแต่อาหารมังสวิรัติ โอ้โน้วววววว

ระยะวิ่ง 10.8 กม  ใช้เวลา  1:01:04

ไช้
23 มกราคม 2011

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 42 เพื่อ 42.195 ในชีวิต

Race 42  จอมบึงมาราธอน

สุดยอดสนามมาราธอนที่เป็นหนึ่่งในสนามที่ดีที่สุดในสยาม คงจะต้องมีชื่อ "สนามจอมบึง อยู่ในลิสต์" อย่างแน่นอน


การเตรียมความพร้อมในการซ้อม และ รู้จักประมาณในต้นทุนตัวเอง นั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงวิ่งมาราธอนครั้งแรกของชีวิต  ซึ่งในครั้งนี้ชมรม มีคนลงมาราธอนครั้งแรก กันทั้งหมด 3 คน ได้แก่ ตัวผม พี่รัตน์ และ น้องยุ้ย  ซึ่งเราทั้งสามคน ได้ตกลงว่าจะร่วมวิ่งไปด้วยกันตลอดทาง และ จะใช้วิธี การวิ่ง และเมื่อถึงจุดให้น้ำ จะเดินประมาณ 500 เมตร แล้วค่อยวิ่งต่อ

นี่คือกลยุทธ์ของผมและทีม ในการพิชิตมาราธอนแรก เป้าหมายใช้เวลา ไม่เกิน 6:00 ชม

การแต่งตัววันนี้ คือสิ่งที่ผมเตรียมมานาน อันนี้เป็นบุคลิคส่วนตัวมาหลายสนามแล้ว ว่า ถ้าลงระยะมินิ จะใส่ที่รัดกันเหงือ 1 ข้าง  ถ้าลงครึ่งมาราธอน ใส่ 2 ข้าง

และ้ถ้าลงมาราธอนจะใส่หมวก พร้อมอุปกรณ์ครบเซ็ต กระเป๋าคาดเอว บรรจุช็อคโกแลต ซองเกลือแร่ และที่สำคัญ คือ สตางค์เผื่อฉุกเฉิน  นี่คือการเตรียมตัวของนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง

มีหลายคนถามว่า ทำไม ไม่เตรียมพาวเวอร์เจล หรือ พาวเวอร์ บาร์ไว้ด้วยเพื่ิอเสริมพลัง

ผมมีทัศนคติแบบนี้  ว่าสิ่งเหล่านั้นคือยาโด๊ป ที่ให้ร่างกายขับเคลื่อน ไป เพราะไม่ใช่สิ่งที่ปกติที่ใครเค้าจะกินกัน   ถ้าผมจะวิ่งมาราธอนแรก ผมขอผ่านมันด้วยขาของผมเอง  ผมจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด 

ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่สนามจอมบึง เพื่อรับเบอร์ และชิพ นั้น  ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 4 ท่าน คือ ผม  ,  บอย ที่จะลงสนามฮาล์ฟเป็นสนามแรก , เต๋อ ที่เปลี่ยนใจจากเต็มมาลงแค่ครึ่ง และ น้องนุชคนสุดท้อง คือ น้องยุ้ย หญิงแกร่ง ที่ชอบความท้าทาย

ในครั้งนี้ใช้รถผมในการเดินทาง  โดยที่พักได้รับการอนุเคราะห์จากท่านประธานช่วยจองให้่ที่ค่ายทหาร ซึ่งห่างจากสนามแข่งประมาณ 25 กม  การเดินทางออกจากกรุงเทพ บ่ายสามโมง ถึงที่งานก็เริ่มค่ำพอดี หลังจากที่ปฏิบัติภาระกิจ เรียบร้อยแล้ว  

ประธานให้คำแนะนำว่า ให้ซื้อข้าวหลามไปกิน พรุ่งนี้จะได้มีแรงเหลือเฟือ  ซึ่งครั้งนี้เราน้อมรับคำแนะนำและซื้อกลับไปจัดการในมือค้ำของวันนั้น



เช้าวันแข่งขัน อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การวิ่งมาก เมื่อเดินทางออกจากที่พัก ถึงสนามแข่ง ก็ใกล้เวลาปล่อยตัวแล้ว จึงได้ฝากกระเป๋ากับกุญแจรถไว้ให้บอยจัดการให้

วันนี้เราเดินไปอยู่แถวหลังสุดในการปล่อยตัว เพราะตั้งใจวิ่งตามกลยุทธที่วางกันมา แต่บระเจ้า เพื่อนหายไปหมด เหลือเราอยู่หลังเพียงคนเดียว ยังไม่ทันที่จะเริ่มเดินหา เสียงแตร ก็ดังขึ้น นั่นหมายความว่า นี่คือการเริ่มต้น สร้าง ชีวิตใหม่ของเราอีกครั้ง    

    "If you want to run, run a mile. If you want to experience a different life, run a marathon "

การออกตัวของระยะมาราธอน นั้นไม่บ้าคลั่งดังเช่นระยะมินิ  เกือบทุกๆ คน ค่อยๆ เริ่มขยับร่างกายไปทีละน้อย ก้าวย่างแต่ละก้าว ก้าวไปด้วยสมาธิและความตั้งใจจริง  ท้องฟ้ามืดมิด และเมื่อพ้นเขตเมืองเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน  ถนนก็มืดสนิท  การก้าวแต่ละก้าวตอนนี้ ต้องใช้สายตามองรองเท้าคู่หน้าอย่างเดียว เพราะปัญหาเรื่องสายตา ของตน  การวิ่งโดยประมาณความรู้สึกว่าน่าจะเกิน 4 กม แล้ว

แต่ทำไม ไม่พบจุดให้น้ำจุดแรก   ทราบทีหลังว่าไปวางจุดให้น้ำไม่ทัน   ดี่ที่อากาศเย็นมาก ทำให้ยังไม่รู้สึกกระหายน้ำ แต่ก็ได้ยินเสียงบ่น ถามถึงจุดให้น้ำกันประปราย  ระหว่างวิ่ง ก็พยายามมองหา พี่รัตน์กับน้องยุ้ย ตลอดทาง แต่ก็ไม่พบ  สงสัยว่าจะวิ่งไปกันเร็วแน่ๆ เลย

ซึ่งกว่าจะเจอกันก็ ก.ม.ที่ 8  แต่พอเจอกันได้แป๊ปเดียว ก็ได้ความว่า อยากเข้าห้องน้ำ เลยต้องขอเข้าที่บ้านของชาวบ้านแถวนั้น  ซึ่งผมก็ไปต่อแถวด้วยเป็นคิวที่ 4  คิว 1 และ 2 พี่และน้องเรา เรียบร้อย จึงกลับไปวิ่งต่อ  คิว 3 ผมไม่รู้จัก  ก็เข้าแถวต่อ ปรากฏว่านานมาก  ซึ่งทำให้ผมที่ไม่ได้ปวดหนัก ยืนรอจนปวด เลยต้องเข้าไปเอาออกเหมือนกัน  ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง ที่รู้สึกเร็ว และไม่ไปรู้สึกกลางทาง (ปล พยายามเข้าห้องน้ำตอนเช้าแล้ว แต่ไม่สามารถ เพราะผิดเวลา)

เสียเวลาตรงนี้ไปเกือบ 10 นาที  ทำให้การวิ่งต่อมาทำให้ต้องเร่ิงเพื่อให้ทันกับกลุ่มที่ออกตัวไปก่อน ซึ่งกว่าจะตามทัน ก็เกือบ กม ที่ 14 และเมื่อเจอกันถึงจะได้เริ่ม วิ่งตามที่วางแผนไว้ คือ วิ่ง สลับเดินตอนกินน้ำ  ซึ่งทำแบบนี้ไปได้ถึง กม 28  ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ช็อคโกแลต ถูกแกะออกมาแจกให้ในกลุ่มได้สัมผัส ความหอมหวานของมัน ในยามที่ร่างกายโหย  ซึ่งมันช่วยเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายอย่างฉับพลัน เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก  และเมื่อการวิ่งผ่านไปถึง กม ที่ 32 ท้องสว่างทั่วฟ้า เวลา ณ ตอนนั้นวิ่งมาที่ 4 ชม พอดี  จึงเริ่มคิดแผนการณ์ร้ายขึ้นมา

เพราะคิดว่า ตัวเองแรงยังเหลือ เพราะวิ่งประคองมาตลอด  กับระยะ 10 กม กับเวลาไม่ถึง ชั่วโมง  จะทำให้เราจบมาราธอนแรกต่ำกว่า 5 ชม แน่นอน  ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดเพราะแผนการณ์ที่ต้ั้งไว้นั้นเป็นแผนที่ดีอยู่แล้วที่จะให้จบมาราธอนแบบไม่สะบักสะบอม แต่ความโลภก็ยังมีอยู่ในตัวมนุษย์คนนี้ การเปลี่ยนจังหวะการวิ่ง และการกล่าวร่ำลากลุ่มที่วิ่งอยู่ได้เกิดขึ้น

จังหวะการวิ่งมินิที่คุ้นเคย ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาใช้ในการนี้เป็นการด่วน  หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะมาวิ่งเร็วขึ้น จาก กม 32 ผ่าน กม 34  ผ่านผู้คนที่รู้จักและแซงเรามาตลอดทาง  ความรู้สึกในตอนนั้น กระหยิ่มยิ้มย่องมาก ที่สามารถแซงแต่ละท่านได้ หาได้พึงสังวรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเส้นทางข้างหน้า

ปีศาสมาราธอน กม 35 เป็นเสียงเล่าลือ ที่เป็นตำนาน ที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ก็ได้มาสัมผัสในครั้งนี้  เมื่อวิ่งผ่านหลัก กมที่ 35  ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของกล้ามเนื้อและชีิวิตการวิ่งก็ได้สำแดงเด็จ ออกมา ในครั้งนี้  อยู่ๆ กล้ามเนื้อที่เคยแข็งแรง เข่าที่เคยเจ็บและไม่เจ็บเลยตลอดเส้นทาง 35 กม นั้น ได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ออกมา

ตะคริวเริ่มกินที่น่องซ้าย  หัวเข่าขวาเริ่มเจ็บแปล๊บ  ทำให้เริ่มวิ่งไม่ได้ และลดความเร็วลงในที่สุด เมื่อจบที่ กม 36  ต้องหยุดเพื่อยืดเส้น ล้างตะคริวให้ออกจากขาให้เร็วที่สุด

เส้นทางวิ่งที่สนุกสนานตลอด 35 กม ที่รายล้อมด้วยกองเชียร์เจ้าถิ่น ทั้งตัวเล็ก และผู้ใหญ่ ที่ฝ่าลมหนาว ออกมาจุดไฟผิง และส่งเสียงเชียร์ และเต้นตลอดทางที่เห็น กับมืดสนิทไป

อารมณ์ในตอนนั้นฟุ้งซ่านมาก คิดตลอดว่า ไม่น่าเลย ถ้าไม่เริ่มเร่ิงวิ่งไปเรื่อยๆ ตะคริวคงจะไม่ขึ้นอย่างแน่นอน  แต่ทำยังไงได้ เมื่อเราระงับความโลภ ของเราไม่ได้ ก็ต้องรับผลกรรมเอง


นักวิ่งที่เราแซงมา เริ่มทยอย แซงคืน ทีละคนสองคน ในขณะที่เรายังคงทำได้แค่เดินประคองไปให้เร็วที่สุด

สาม กิโล ผ่านไป กับการใช้เวลา 30 นาทีในการเดิน ทำให้เหลือระยะอีกเพียง 3 กม เท่านั้นที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้

จึงเริ่มที่จะลองวิ่งอีกครั้ง ซึ่งวิ่งไปได้อีกประมาณ 500 เมตร อาการเดิมก็กลับคืนมาอีก จึงต้องกลับมาก้มหน้าเดิน ด้วยความผิดหวังอีกครั้ง

เวลายิ่งผ่านไป และเมื่อพ้น 5 ชม ที่เราเพิ่งคิดไว้ ยิ่งทำให้เกิดความเสียใจมากที่ ไม่ประมาณตนเอง และไม่ทำตามแผนที่วางไว้

40 กม มาถึง  เหลือระยะ 2.195  ก็ได้พบกับน้องพุช ที่วิ่งไล่ตามขึ้นมา จึงชวนวิ่งไปด้วยกัน "เอาว่ะ ลองอีกสักครั้ง" ปรากฏว่าเริ่มวิ่งได้ ตะคริวหายไปหมดแล้ว  แต่ด้วยอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ทำให้เกิดอาการโหยมาก ช็อคโกแลตที่เตรียมมาสำหรับคนเดียว ถูกแจกจ่ายไปใูห้ในกลุ่มหมด ทำให้พลังงานที่คำนวณไว้ไม่เพียงพอ  แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์โปรด  เมื่อมีป้า ชาวบ้านแถวนั้น ออกมาตั้งโต๊ะแจก เต้าหู้นมสด ให้กับนักวิ่ง ได้รับการแจ้งว่า ป้าไม่ว่างเข้าไปช่วยงาน เลยต้องเอามาแจกหน้าบ้านแบบนี้

คุณป้า รู้มั๊ยครับ ว่า เต้าหู้นมสด ของป้า ถ้วยนั้น ช่วยส่งต่อความฝันของผู้ชายคนนี้ ให้มีเรี่ยวแรงก้าวเดินต่อไป จนถึงจุดหมาย  ขอขอบคุณ น้ำใจในครั้งนี้ด้วย

ผมกับพุช จึงสามารถวิ่งต่อไปด้วยแรงที่มีเพิ่มขึ้น และวิ่งคู่กัน และไปแยกกัน ก่อนที่จะถึงพรม เพื่อแยกย้ายกันเก็บภาพส่วนตัวที่จะติดบนประกาศนียบัตรของงาน


มาราธอนแรก ในชีวิต
หลังสิ้นสุดพรมแดง อาการที่เก็บฝืนไว้จากเอ็นโดฟิน ก็พร่างพรู ออกมา ตะคริว ขึ้นที่ขาทั้งสองขาจนไม่สามารถยืนได้ทรุดลงไปที่พื้น แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของตนเองและเพื่อนที่วิ่งฮาล์ฟ และมารอรับอยู่ที่หน้าเส้นชัย


ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตัดชิฟคืนไป ผมก็พยายามนำร่างกายไปรับเหรียญที่ระลึกและเสื้อ Marathon Finisher จากงาน ตัวสีฟ้างดงาม

หลังจากนั้นก็เริ่มบำับัดร่างกายโดยการลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นที่ทางเจ้าภาพจัดไว้ให้


ซึ่งขอบอกมันสุดยอดมากครับ






ไช้  มาราธอน ฟินิชเชอร์
16 มกราคม 2011



วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 41 Final Training for Marathon

Race 41  ภปร สามพราน

คำว่าวิ่งช้าไม่เป็น  วิ่งเร็วไม่ได้ วลีนี้ดังก้องหูอยู่ตลอดเวลา ในการซ้อมตลอดเดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ของปีก่อน  การดึงจังหวะการวิ่งให้ช้าลง จากการวิ่งปกติ มันช่างเป็นอะไรที่ฝืนความรู้สึกมากๆ นอกจากนี้ยังมีการเย้ายวนจากเพื่อนๆ ที่มักจะวิ่งมาประกบแล้วยั่วให้เร่งอยู่เสมอ

การข่มใจในตนนั้นทำได้ยากเย็นยิ่ง  แต่สุดท้ายการระงับตนไม่ให้หลงไปกับเสียงยั่วยุ ก็ทำให้เราสามารถบรรลุผลในใจไปได้เปราะหนึ่ง

จากผลการดึงจังหวะช้าลง ยังทำให้สามารถเพิ่มโหลดการซ้อมให้ยาวขึ้นด้วย

สำหรับงาน ภปร สามพราน เป็นสนามที่ตั้งเป้าจะไปวิ่งดึงจังหวะ ในสถานการณ์จริง ซึ่งคิดว่าถ้าสามารถซ้อมจริงแบบนี้ได้ ครึ่งทางแล้ว  มาราธอนเราคงจบแบบถึงแน่ๆ

แต่ความหวังครั้งนี้ ก็ต้องมีเหตุให้ต้องรู้สึกประหม่าและตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย  เมื่อได้คุยกับประธานชมรม  เฮียแกเตือนมาว่า ถ้าจะไปลงมาราธอน อย่าไปซ้อมที่สนามนี้ ซึ่งเหตุผลที่เฮียให้น่าสนใจมาก

เฮียเล่าว่า สนามนี้ ถึงแม้จะเป็นต่างจังหวัด อากาศดี แต่สภาพสนาม 80% ไม่เหมาะกับการซ้อม เพราะถนนเต็มไปด้วยคอนกรีตแข็ง  อาจจะทำให้เราได้รับบาดเจ็บก่อนไปลงสนามจริง ถ้าอยากไปจริงๆ ขอให้ลงแค่ระยะมินิ พอ

นี่คือ เสียงคำเตือน จากผู้มีพระคุณ คนหนึ่่งในถนนการวิ่ง

แต่หาได้ว่าเสียงเตือน จะมาลบความตั้งใจจริงที่ตั้งใจไว้แต่แรก  การลงแข่งในครั้่งนี้ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นก่อนเสียงสัญญาณปล่อยตัว

ท้องฟ้าที่มืดสนิท เมื่อตัดกับแสงไฟประดับในงาน มันช่างน่าค้นหาเสียนี่กระไร

แต่ชั่วอึดใจต่อจากนี้ จะพบเจออะไรต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องนำพาตัวเราไปสัมผัส ทันทีที่สิ้นเสียงแตร ปล่อยตัว ระยะฮาล์ฟ ทุกคนทะยานออกจากจุดเริ่มต้น ตัดออกไปสู่ตัวถนน เลี้ยวขวา ทันใดนั้นแสงสว่างที่เคยมีกลับหดหายไปหมด  และยิ่งช่วงจังหวะวิ่งรอดใต้สะพาน ตรงนั้นเองที่ไม่สามารถมองเห็นใครเลย เพราะทางงานไม่ได้เตรียมไฟ บริเวณนั้นไว้   จากนั้นก็วิ่งผ่านเส้นทางเข้าวัดไร่ขิง


แต่แล้วก็มีเสียงตั๊ปๆๆๆๆมาเป็นกองทัพ ซึ่งรู้ความจริงที่หลังว่า ระยะมินิ ถูกปล่อยตัวหลัง ฮาล์พ ปล่อยตัว เพียง 5 นาที  ซึ่งระยะมินิเป็นระยะที่ทำความเร็ว  และความมืดระดับนี้เป็นเรื่องที่อันตรายต่อนักกีฬามาก

และแล้วสิ่งที่กังวล ก็เกิด เมื่อนักวิ่ง ระยะมินิ แนวหน้า วิ่งเบียด กลุ่มนักวิ่งพิการทางสายตา ทำให้ อ. คนนั้นสะดุด กับ สัญลักษณ์นูนๆ ที่อยู่บนถนน ล้มลง  ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก และกลุ่มนั้นก็ยังออกวิ่งต่อไป


สิ่งที่กังวลที่สอง จากคำเตือน นั้น เิริ่มส่งผลเมื่อวิ่งไปเกือบจะสุดทาง  อาการเจ็บหัวเข่าจากแรงกระแทก เกิดขึ้น ทำให้ต้องเบา ถึงขนาดต้องค่อยๆ เดิน เพื่อไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้  นี่หรือคือบทเรียน สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ที่เตือนมาด้วยความหวังดี

ถ่ายโดย ครูแสง


"บนเส้นทางนี้ ถึงแม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่การได้กลับมาเยือนถิ่นที่ตัวเองเคยรักเสมอ มันทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอม ในวันใจเป็นอย่างมาก"


หลังจบการแข่งขัน  ก็ลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
หาข้าวปลา อาหารกิน  เห็นแม่ค้าที่แจกมะพร้าวน้ำหอม แล้วก็รู้สึกประทับจริงๆ  การบรรจง สับและปอกมะพร้าว ลูกแล้วลูกเล่าให้กับนักวิ่ง จนเศษมะพร้าวและน้ำมะพร้าว ฉโลม อยู่เต็มหน้า  เรานักวิ่งคงแทนน้ำใจในครั้งนี้ได้เพียง กินน้ำและเนื้อมะพร้าวให้หมด ให้สมกับความตั้งใจในการให้ของพวกเขาเหล่านั้น

ระยะทาง 20.8 กม  ใช้เวลา 2:15:00

จบการซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนมาราธอน หลังจากนี้คือการหยุดพักเพื่อให้ร่างกายสดที่สุด นี่คือสิ่งที่คิดคำนวณไว้ แต่หลังจากจบการแข่งขัน ต้องเปลี่ยนเป็นว่า พัก 1 อาทิตย์ เพื่อให้เข่าที่บาดเจ็บ หายและไม่สร้างความกังวลในการแข่งขันแทน

ไช้
9 มกราคม 2011