วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

Race 103 Mizuno

Race 103 Mizuno River Kwai Mini Half Marathon 31st


การเดินทางไปงานวิ่ง หรือ ไปเที่ยว ที่ต้องเดินทางออกต่างจังหวัด มักเป็นอะไรที่ตื่นเต้นเสมอสำหรับข้าพเจ้า เพราะว่า ทุกครั้งที่ได้ออกไป มักจะได้พบมุมมองอะไรที่แปลกๆ และแตกต่าง จากที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเสมอ  และสำหรับในครั้งนี้เช่นเคย สารถี ประจำสำหรับทริป ต่างจังหวัด นั้นก็คือ บอย  คือเรามีข้อตกลงกันมาว่า ถ้างานวิ่งใน กทมและปริมณฑล จะไปด้วยรถข้าพเจ้า แต่หากเป็นถิ่นทุรกันดาล นอกเขตปริมณฑล จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านถนน เป็นผู้ดำเนินการแทน

เวลา 9:00 คือเวลาทำการปล่อยตัวจาก โรงพยาบาลนครธน มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี  วันนี้เราเลือกเส้นทางปิ่นเกล้า นครไชยศรี และเข้าสู่ ราชบุรี และ แยกไปทาง กาญจนบุรี ในขาไป

พรุ่งนี้เจอกัน ขอล้างตาหน่อย


วันนี้เป็นวันที่ทัศนวิสัย ของการขับขี่ไม่ดี เพราะมีฝนตกตลอดเส้นทาง รถติดมากตั้งแต่เข้ามาสู่ถนนใต้ทางยกระดับบรมราชินี   ซึ่งก็เป็นที่สงสัยว่า ติดอะไร ซึ่งคำถามที่คาใจ ก็ถูกเฉลยให้หายข้องใจ เมื่อขับผ่านจุดที่เกิดอุบัติเหตุ  ที่รถบัสชนกัน พิโธ่  รถบัสบริษัทเดียวกัน จุดหมายการนำเที่ยวไปที่เดียวกัน ชนกันเอง  มันน่าไม๊ครับ  สงสัยจะซิ่งกันมากไปหน่อย


พอหลุดเส้นทางนี้  รถก็สามารถขับขี่กันได้ตามปกติ   ในครั้งแรกตกลงกันว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน คือ ข้าพเจ้า  มิงค์หลานข้าพเจ้า บอย และ แฟนบอย  แต่ปรากฏว่าหลานงานเข้าติดงานที่โรงเรียน เลยอดไป 

อากาศที่นี่บริสุทธิมาก
สำหรับการเดินทางในวันนี้ แตกต่างจากปีก่อนที่จะต้องเดินทางไปหาที่พัก กันเอาดาบหน้า พร้อมด้วยแพ็คเกจการท่องเที่ยวเต็มอัตราศึกทั้งที่ปีก่อน จะต้องวิ่ง 30 กม  มาปีนี้ มาวิ่งด้วยคอนเซปต์ใหม่ "วิ่งไปด้วยความสงบ"  หลังจากที่มีที่พักแน่นอนแล้วจากการอำนวจความสะดวกจากพี่รัตน์ ที่ดำเนินการจองให้ที่ นงชนกรีสอร์ท  รีสอร์ท ที่เราควรจะได้พักเมื่อปีก่อน แต่ด้วยความคิดว่าสถานที่ตรงนั้นเป็นปลายทาง จึงเลี้ยวเข้าไปพักอีกที่หนึ่ง  ซึ่งปีนี้ กาแผนที่ไว้เรียบร้อยเรื่องที่พัก เลยมิต้องมิความกังวลใดๆ อีก  นอกจากนั้นปีนี้ ได้คุยกันแล้วว่าจะไม่ไปไหน ขอนอน ขออยู่ในรีสอรท์ให้สาแกใจหน่อย เพราะปกติที่พัก จองไว้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่เคยได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่นั่นเลย

 จุดมุ่งหมายวันนี้ คือ บ้านช้างชรา  สถานที่ที่คุณหมอผู้ใจดีและชาวกาญจนบุรี ช่วยกันสร้างเพื่อให้เป็นแหล่งพักพิงและรักษาตัว ในยามชรา  ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปรับปรุงสถานที่ มีการทำที่พักให้กับนักท่องเที่ยว  ซึ่งจากที่สังเกตุ มีชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่งและชาวญีุ่ปุ่น เดินทางมาที่นี่เป็นระยะ ไม่ขาดสาย มีทั้งการเข้าไปให้อาหารช้าง  สำหรับกิจกรรมที่นี่ มีทั้งให้อาหารช้าง อาบน้ำให้ช้าง การปลูกอาหารให้ช้าง การกำจัดวัชพืช ในแหล่งอาหารของช้าง  นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแคมป์ปิ้งอีกด้วย แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมฟังเพื่อนเล่าให้ฟัง เพราะช่วงเวลาที่เราเข้าไปสามารถทำได้เพียงให้อาหารช้าง เนื่องจากเป็นช่วงบ่าย อากาศร้อน   ไว้มีโอกาสมา กาญจนบุรี จะแวะมาที่นี่อีกครั้ง

หลังจากปฏิบัติภาระกิจที่ ช.ช้างชรา เรียบร้อย จุดมุ่งหมายต่อไปคือ การมุ่งตรงสู่โรงแรมริเวอร์แคว์ เพื่อรับเบอร์และชิฟ งานวิ่ง  งานนี้รับฝากสมัครมาจากเพื่อนๆ หลายคนเหมือนกัน การเดินทางวันนี้เหมือนจะโชคดีมากที่ตลอดทางที่มา ไม่เจอพายุฝนอย่างที่เค้าร่ำลือกันเมื่อสองวันก่อนเลย การเดินทางปลอดโปร่งมาก

ที่อาบน้ำช้าง ช.ช้างชรา

แต่เมื่่อเข้าเขต ไทรโยค ที่มีเขาเป็นระยะ นั้น ก็โดนฝนมาต้อนรับทันที ซึ่งตลอดทาง ก็มีทั้งฝนตก แดดออกกันเป็นระยะ ไปจนถึงที่ตัวโรงแรม ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีฝน ซึ่งก็ดูเหมือนจะโชคดีที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น  เมื่อเข้าสู่บริเวณโรงแรม และลงเขาเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ตัวโรงแรม ฝนก็ได้ตกลง ซึ่งเมื่อลงไปถึงข้างหน้า ถึงกับหน้าหงาย เพราะเต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว นักวิ่ง จอดอยู่เต็มไปหมด จนเหมือนกับไม่มีที่จะให้จอดรถ  ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความพยายามอยู่กำลังสอง เพื่อให้ได้ที่จอดรถ ซึ่งจนแล้วจนรอด ก็สามารถหาจนได้ จึงลงจากรถ เพื่อเข้าไปยังจุดรับสมัครล่วงหน้า ซึ่งปรากฏว่าหลังจากเปิดประตูรถออกมา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาทันที ไม่ให้เวลาแม้กระทั่งตั้งหลักเพื่อหลบ ซึ่งทำให้ต้องใช้ฝีเท้า อัดไปจนสุดแรงเพื่อให้กายา ไม่ถูกบดบังด้วยสายฝนที่ไม่ได้มีการต้องการเลย  ซึ่งข้าพเจ้ากับบอย แยกกันไปคนละทางเพื่อปฏิบัิติภาระกิจของแต่ละคน จุดมุ่งหมายของบอย คือไปสมัครใหม่ เนื่องจากคนข้างตัวไม่ได้สมัครไว้ล่วงหน้า

ส่วนตัวข้าพเจ้ามุ่งหน้าหมายรับถุงที่บรรจุพร้อม และออกมารอบอย แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ตาลปัตรไม่เป็นดั่งความคาดหมาย   ใบเสร็จรับเงินที่นำมาจากการสมัครล่วงหน้า ถูกนำมาส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อรับสินค้าตามความพอใจที่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า  แต่ หาได้เป็นเยี่ยงนั้น  หลังจากส่งเอกสารเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ กลับต้องไปที่กองหมายเลข เพื่อค้นหาหมายเลขตามที่ได้ระบุในใบเสร็จรับเงิน

โอ้วแม่เจ้า  คุณไม่เตรียมตัวอะไรเลยหรือ  หลังจากหาเบอร์ที่ 1 พบ ก็กลับไปค้นหาไซด์เสื้อตามที่ได้ระบุไว้ในใบเสร็จ จากนั้นก็มาหยิบเหรียญและของชำร่วย (น้ำนมถั่วเหลืองและน้ำมันนวด) บรรจงใส่ของทั้งหมดลงในถุงและส่งมอบให้ข้าพเจ้า

แต่นั่นเป็นเพียง 1 ชุด ยังเหลือ อีก 4 ชุด สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน กับอีก 1 ชุด สำหรับมินิมาราธอน

ข้าพเ้จ้าได้รับชุดแรกเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า บอยสมัครได้รับของเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เร็วกว่าสมัครล่วงหน้าอีก  แล้ว แบบนี้จะสมัครล่วงหน้าทำไมฟร่ะ

สถานที่พักราคาประหยัด  นงชนกโฮมสเตย์
ไม่รู้ว่าเรื่องเหรียญนี้ ข้าพเจ้าเคยบ่นให้ฟังหรือยัง   อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มองว่าผู้จัดรายนี้ต้องการปัดความรับผิดชอบและลดทอนความศักดิ์สิทธิหรือความภาคภูมิใจของนักวิ่งลง เพราะว่าผู้จัดรายนี้ ตอนนี้มีการปฏิวัติใหม่ในรูปแบบการจัดงาน ที่มอบเหรียญที่ระลึกให้ตั้งแต่สมัคร  ในความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้มีความยินดีกับการรับล่วงหน้าเลย เพราะทำให้การวิ่งในรายการแบบนี้ ขาดแรงบันดาลใจไปเลย

เมื่อกิจกรรมรับเบอร์เรียบร้อย เราทั้งคู่เห็นว่าควรรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว เพราะนักวิ่งท่านอื่นที่กำลังมาใหม่จะได้มีที่จอดรถ ดังนั้น จึงรีบขับรถหมายมั่นว่าจะไปยังสถานที่พักโดยเร็ว หลังจากที่เคลื่อนพล ออกจากตัวโรงแรม  ป้อม ก็ได้โทรแจ้งว่ามาถึงงานแล้วจะขอรับเบอร์กับชิพ ไปเลย หลังจากที่ก่อนหน้านี้สักพัก ตกลงกันว่าจะนำมาให้ตอนเช้าวันแข่งขัน  

สงสัยจะคาดกันเล็กน้อย  แค่เสี้ยวนาที  ดังนั้นจึงนัดหมายสถานที่กันทันที ที่จุดปล่อยตัววิ่งวันพรุ่งนี้ เพื่อส่งมอบเบอร์ให้เรียบร้อยภายในวันนี้  หลังจากนั้นใช้เวลาประมาณ 3 นาที ก็ได้พบเจอและส่งมอบสินค้ากันเป็นที่เรียบร้อย  ส่วนตัวทีมข้าพเจ้าเองก็มุ่งหน้าสู่สถานที่พัก โดยใช้เส้นทางคู่ขนาน ที่เมื่อปีก่อนพี่หนิด ขับรถมาจอดตรงส่วนนี้  เส้นทางการเดินทางเหมือนสั้นๆ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนกับการเดินทางไปดวงจันทร์อย่างไร อย่างนั้น  อาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาตลอดในช่วงนี้ทำให้ถนนนั้นไม่น่าดูเลย

เพิ่มคำอธิบายภาพ
เมื่อขับมาใกล้ทางสามแยก ที่เราต้องตัดสินใจไปต่อ รถนำคันหน้าทะเบียน กทม เลี้ยวซ้ายโดยพลัน เราในฐานะผู้มาใหม่จึงดำเนินตามรอยของรถนำ (นำใครก็ไม่รู้) เส้นทางเป็นทางลงเขา  (โรงแรมมันอยู่นี่จริงๆเหรอ ) ขับไปขับมาก็ไปถึงด้านล่างของทางแม่น้ำ  ซึ่งแน่นอนหลงผิดทางอีกแล้ว จึงกลับรถ และมุ่งหน้าสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง  หลังจากนั้นไม่ถึง 200 เมตร ก็มาพบเส้นทางเดิมเมื่อปีที่แล้วที่เราเข้ามาหาที่พัก  ซ้ายมือ คือ แซมจังเิกิ้ล ที่พักปีก่อน  สำหรับที่พักปีนี้ ขับเลยไป 10 เมตร  ปีที่แล้วไหงเราพลาดหว่า

หลังจากเลือกที่พักยังไม่ทันเรียบร้อยดีเท่าไหร่ ฝนก็ตกลงมาอีก ทำใ้ห้ต้องหลบอยู่ในห้องพัก  แต่้เนื่องจากในวันนี้ทางเจ้าของบ้าน เค้าเตรียมอาหารสดไว้ให้ แต่จะต้องทำกันเอง ซึ่งตอนนั้น ลุงดม พี่ิจิ๋ว และพี่สมภพกับเพื่อนๆ กำลังทำกันอยู่เลยลงไปช่วยจับโน้นจับนี่ให้  แต่ขอบอกตอนนั้นหิวข้าวมาก และตัดสินใจพลาดที่ไม่ไปเยี่ยมร้านอาหารเดิมที่ปีที่แล้วไปอุดหนุนมา  

หลังจากทานข้าวทานปลาเสร็จ ส่วนใหญ่ก็ยังนั่งคุยกันต่อไป ซึ่งข้าพเจ้าด้วยความเกรงใจ กอปกับฝนตกไม่รู้จะทำอะไร จึงนั่งฟัง พี่ๆ ในกลุ่มคุยกัน จริงบ้าง โม้บ้าง เกทับกันบ้าง จากความรู้สึก  ซึ่งเมื่อดูเวลาอีกทีที่ข้อมือ ก็รู้ว่าถึงเวลาแยกย้าย เพราะพรุ่งนี้มีภาระิกิจที่ต้องทำอีก

เช้าวันอาทิตย์ เวลา ตี 4 เป็นเวลาที่ข้าพเจ้าตื่นอย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านั้นตื่นเป็นระยะๆ เนื่องจากถูกแมลง กระเซ้า ทั้งคืน ตื่นเป็นระยะ ๆ  จนต้องทำใจ

การเดินทางออกมุ่งหน้าสู่สนามแข่งขัน โดยรถบอย ที่เริ่มขึ้น ซึ่งระหว่างทาง หน้า แซมจังเกิล ก็มีสาวฝรั่งสองคน ขอโบกรถ ติดมาวิ่งด้วย  ซึ่งพี่จิ๋ว ก็ได้สัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อย ทำให้รู้ว่ามาจาก อเมริกา ตอนนี้อยู่ที่ กทม  ชอบอากาศที่นี่เลยมาวิ่ง  ซึ่งพี่จิ๋วก็ได้ชวนไปสมุยด้วยกันแต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะว่าตอนนั้นจะต้องกลับประเทศแล้ว

เหมือนเดิมเส้นทาง ขรุขระ นั่งแล้วปวดหัว เมื่อมาถึงก็ต้องมาปวดหัวอีก เพราะปีที่แล้วจอดรถได้ตรงที่เราจอด แต่ปีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ให้จอด  อ้างว่าเป็นเส้นทางที่คนอื่นต้องขับผ่าน (ป๊าดโธ่ ผมมานั่งดูตอนวิ่งเสร็จไม่มีรถ หรือ หมาสักตัว ผ่าน)

สำหรับเส้นทางวันนี้ เป็นเส้นทางเดียวกับปีก่อน บรรยากาศตอนเช้าของวันแข่งขัน นั้นเป็นไปด้วย นักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่พร้อมจะมาลองกับบรรยากาศที่นี่ มีฝนตกพรำๆ ลงมาเล็กน้อย เหมือนกับ น้ำมนต์ชโลมให้กำลังใจให้กับนักวิ่ง งานวันนี้ มีชมรม ที่เป็นทีมธนาคาร มากันมากมายเป็นพิเศษ ซึ่งดูคึกคักมีสีสรรมาก

กำหนดการปล่อยตัวตามเวลาที่แจ้งไว้คือเวลา 6:00 นาฬิกา ซึ่งการปล่อยตัวจริงนั้นล่าช้าออกไปเนื่องจากทางผู้จัดแจ้งว่านักวิ่ง ยังเข้ามาไม่ถึงบริเวณงานอีกหลายท่าน จึงขอเลื่อนเวลาออกไป พิธีการเปิดงานมีเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ไม่ให้ดูน่าเบื่อ บริเวณปล่อยตัว มีจุดรับฝากของ และจุดให้บริการน้ำดื่ม ให้นักวิ่งก่อนวิ่ง พอฟ้าสาง พิธีการเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาการปล่อยตัว

เสียงแตรดังขึ้น นักวิ่ง 10 กม และ 21  กม ถูกปล่อยตัวออกไปพร้อมกัน  ทั้งนักวิ่งเพื่อการแข่งขัน นักวิ่งเพื่อสุขภาพ ได้เริ่มขยับร่างกายผ่านจุดเช็คพอยต์ เสียงดังสนั่น  เมื่อนักวิ่ง วิ่งออกจากโรงแรมมุ่งสู่ถนนหลวง สาย 323  ในช่วงแรกเป็นการปิดถนนโดยสิ้นเชิง เพื่อให้นักวิ่ง วิ่งกันอย่างสะดวก

จากอาการเจ็บที่มีมาและยังไม่หาย ทำให้ปีนี้ลงรายการครึ่งมาราธอนน้อยมาก ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีโอกาสได้ลงระยะนี้ แต่การกลัวว่าจะวิ่งไม่ถึงเพราะ ตลอดเวลาการซ้อมก็ซ้อมด้วยระยะน้อยมากไม่เกิน 10 กม เลย ทำให้การวิ่งในครั้งนี้ ต้องวางแผนวิ่งเบาก่อนในระยะ 10 กม แล้วค่อยวัดใจกันอีกทีที่ 11 กม ที่เหลือ

ตลอดเส้นทางการวิ่งงานนี้ ข้าพเจ้าได้ เช็ค จุดป้ายบอกระยะทาง กับระยะทางจริงที่จับจากนาฬิกา พบว่า กม 1 - กม 7 นั้นการวางป้ายบอกระยะทาง ค่อนข้างผิด ทุกจุด ซึ่งทำให้การประเมินของนักวิ่งอาจผิดพลาดไปได้ แต่เมื่อถึง กม 8 จนถึง กม 15 ระยะทางกลับมาถูกต้องแม่นยำ

สำหรับจุดให้น้ำ ให้ทุก 2.5 กม มีการวางโต๊ะสองโต๊ะให้บริการนักวิ่ง ซึ่งจากนักวิ่งที่จำนวนพอดีทำให้การวางโต๊ะเท่านี้เพียงพอ น้ำทุกจุดมีเพียงพอ ไม่มีเสียงบ่นเรื่องน้ำขาด หลังจากเริ่มวิ่งไปได้สักพัก ก็เริ่มมีการเปิดช่องจราจร เนื่องจากเป็นถนนสายหลัก คงไม่สามารถปิดถนนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ น่าพอใจ

แต่เมื่อถึงระยะที่ กม 16 ก็เริ่มผิดเพี้ยนไปอีก  ซึ่งควรจะปรับปรุงให้แม่นยำในภาพรวมให้มากกว่านี้ (ซึ่งแปลกใจมาก เพราะโดยปกติ ออแกไนซ์ เจ้านี้ จะเป็นเจ้าที่ค่อนข้างแม่นเรื่องระยะที่แสดงของป้ายบอกระยะมาก) ซึ่งหลายคนที่เป็นนักวิ่งหน้าใหม่ อาจจะสงสัยว่าจะอะไรกันหนักหนา ระยะทางผิด ป้ายวางผิดจะซีเรียสทำไม แต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่า การที่ป้ายบอกระยะทางถูกต้อง จะทำให้การประเมินร่างกายตนเอง กับความเหนื่อยที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้อง ถ้าป้ายผิดจะทำให้เราประเมินตัวเองผิด ไม่รู้ว่าการวิ่งเกินความสามารถไปหรือไม่ เพราะถ้าเราวิ่งอัตราที่เร็วเกินไป อาจจะทำให้การวิ่งนั้นไม่สนุกได้ครับ

ตลอดเส้นทางการวิ่งไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เจอเพื่อนในกลุ่มสถาวรแม้แต่คนเดียว หรือแม้กระทั่งบอย หรือว่านี่เราวิ่งช้่าไปจริงๆ  ซึ่งดูค่าเฉลี่ยที่ 10 กม แรกนี่ 6 นาทีกว่า ๆ ต่อ กม  มิน่าไม่เจอใครเลย ต้องมาอาศัยเห็นช่วงกลับตัวอีกล่ะ  ซึ่งแน่นอน ห่างจากบอยดูคร่าวๆ น่าจะ กม กว่าๆ ซึ่งบอยวิ่งอยู่กับพี่วิเชียร  ห่างจากป้อม ประมาณ หนึ่ง กม.

พูดถึงป้อม ช่วงนี้ไม่รู้ว่าป้อมแรง หรือข้าพเจ้าห่วย ต้องรอเจ้าตัวมาเฉลย  เพราะว่าสามงานติดแล้วที่ข้าพเจ้าวิ่งเข้าที่หลังป้อม  ขอให้เป็นเหตุผลแรกนะครับ เพราะคงเป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สถิติดีขึ้น

สำหรับงานนี้ระยะทางมินิ ข้าพเจ้าก็สู้ไม่ได้อีกแล้ว  วันนี้ โจทย์และโจทก์ เยอะมาก

โจทย์แรก คิดว่าผ่านแล้ว กับการกลัวหมดแรงกับระยะ ฮาล์ฟ เพราะประเมินกำลังจาก 10 โลแรกแล้วยังเหลือ

โจทย์ที่ 2 จะวิ่ง NS ได้หรือไม่วันนี้  

โจทย์ที่ 3 / โจทก์ ที่ 1 จะพอแซงป้อมคืน ก่อนวิ่งครบได้หรือไม่

โจทย์ที่ 4 / โจทก์ ที่ 2 จะโดนย้ำแค้นที่สนามนี้เหมือนปีที่แล้วหรือป่าวที่แพ้ไปสามสิบวิ กับ บอย

เมื่อกลับตัว เช็ิคชิพ เรียบร้อย การเปลี่ยนจังหวะการวิ่งเกิดขึ้นทันที เพื่อบรรลุตามเป้าหมายด้านบน การเปลี่ยนจังหวะจาก Pace 6  มาเป็น Pace 5 ทำให้วิ่งมันส์ขึ้น แต่ต้องแรกกับความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น เครื่องอาจอืดเวลาเกินไปบ้างเมื่อขึ้นเขา และชดเชยด้วยเวลาที่เร็วขึ้นเมื่อลงเขา พยายามเร่งๆ ๆๆๆ จนทันจนได้ครับ กับโจทย์ที่ 3  ซึ่งกำลังจะถูกสลัดจากหัวลากคู่ใจ พยายามรักษาจังหวะการวิ่งเดิม เพื่อเป้าหมายที่ 2  ซึ่งพยายามมองไปไกล ๆ  ก็มองไม่เห็น เนื่องจากข้าพเจ้าสายตาสั้น  เร่งๆ จนรู้สึกเริ่มจะท้อ เพราะไม่เจอสักที  เมื่อผ่าน กม ที่ 19  อีกสองกิโล จะจบภาระกิจ ตอนนี้แหละที่อารมณ์เมื่อปีก่อนกลับมาเหมือนเดิมเลย เป็นทางขึ้นเนิน ที่รู้สึกทำให้ท้อใจ วิ่งเท่าไหร่ ก็วิ่งไม่ไป  จำได้ว่าปีก่อน ถ้าเรากระชากเนินนี้ได้ และวิ่งตามชมรมเมืองไทยไป ก็จะวิ่งแซงบอยได้

ครั้งนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น ถ้ารักษาความเร็วที่ระดับ 4:50 อย่างที่วิ่งได้เมื่อ กมที่ 17-19 อาจจะมีความหวังที่จะไล่ทัน  แต่สมองกับเท้าสั่งการกันคนละอย่าง  สมองสู้ แต่เท้าและท้องไม่สู้  การก้าวแต่ละก้าวตอนนี้มีความรู้สึกเจ็บขึ้นมาจากอาการรองช้ำ ทุกฝีเก้า ที่วางไป เหมือนมีเข็มปักทุกครั้ง  การวิ่งในอัตราที่เร็ว(นิยามคำว่าเร็วสำหรับข้าพเจ้าคือ วิ่งต่ำกว่า 5 นาที ต่อ กม) ทำให้จะเกิดอาการอาเจียน ออกมา

ในเมื่อส่วนรวมของร่างกายปฏิเสธการต่อสู้เยี่ยงนี้ สมองจึงต้องยอม เพราะเราเป็นประชาธิปไตย จึงผ่อนความเร็วลง 30 วินาที ตลอดเส้นทาง 2 กม ที่ขึ้นเนิน  และเมื่อเข้าเส้นชัย ต้องร้องว่า "กรูแพ้ใจตัวเองอีกแล้ว" เพราะบอยอยู่ข้างหน้านิดเดียว ตั้ง 2 นาที แนะ 555+


ไช้ 14  VS บอย 22

ระยะทาง 21.32 กม เวลาจากชิพ

ไช้ ใช้เวลา 1:58:54
บอย ใช้เวลา  1:57:01


ไช้
16 กันยายน 2012


วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

Race 102 EGAT Mini Marathon

Race 102 EGAT Mini Marathon

งานวิ่งขึ้นตึก กฟผ ปีที่แล้วประกาศว่าอาจจะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ขึ้นตึก เพราะภายในจะมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำให้ปีก่อนต้องรีบไปวิ่งเพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์สำหรับตัวเอง

มาปีนี้ ถือเป็นที่น่ายินดีที่ยังมีรายการแบบนี้อยู่ จึงไม่พลาดโอกาสที่จะมาร่วมสนุกที่นี่ด้วยอีก บาดแผลจากปีก่อน ปีนี้มาด้วยความหวังที่จะมาเอาคืน กับการเป็นหนึ่งใน 50 ท่านแรกที่เข้าเส้นชัย


สำหรับเส้นทางในการมาสนามวิ่ง เนื่องจากถนนจรัลสนิทวงค์เกือบทั้งสายอยู่ในระหว่างการปรับปรุงเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า จึงทำให้ช่องการจราจรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเช้าจึงทำให้สามารถขับมาได้เรื่อยๆ

เมื่อมาถึงตรงแยกเข้าบางกรวย สิ่งแรกที่ประัทับใจเลยก็คือ การประดับประดา ด้วยไฟ สีน้ำเงิน ระหว่างทางเข้าบริเวณงานเหมือนเช่นเคย ดูยิ่งใหญ่มาก เมื่อขับรถเข้าบริเวณงาน ก็ไปจอดรถที่บริเวณที่ทางสถานที่จัดการให้ (ตรงนี้มีข้อเสนอแนะไปยังผู้จัดหน่อยนึง ตอนที่ผมไป ไม่มีเจ้าหน้าที่บอกให้เลี้ยวซ้ายไปลานจอด ดีที่ว่าจำได้จากปีก่อนว่าไปจอดตรงนั้น)

สถานที่จอดรถกว้างขวาง และเพียงพอต่อจำนวนนักวิ่งที่เข้ามาร่วมงาน เมื่อลงจากรถได้พบสิ่งที่หน้าประหลาดใจมาก คือ วันนี้ มีอากาศเย็น สบายมาก เลยไม่แน่ใจว่าเป็นทุกที่ทั่วกรุง หรือว่าเป็นเฉพาะที่นี่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา

เมื่อเดินไปถึงบริเวณจัดงาน เจ้าหน้าที่ กำลังดำเนินการอย่างแข็งขัน ข้าพเจ้าจึงเข้าไปสมัครวิ่ง ในห้องที่ทางงานจัดไว้ให้ ในบรรยากาศติดแอร์  ซึ่งก็ต้องเขียนใบสมัคร และเลือกรับกระเป๋า หรือกระเป๋าใส่รองเท้า ตามแต่ใจที่นักวิ่งอยากได้

บริเวณจุดฝากของ อยู่ติดกับบริเวณจุดรับสมัคร ดูรัดกุมและปลอดภัย มีการแจกหมายเลขเคลือบพลาสติกให้กับนักวิ่งเมื่อฝากของ (แต่เมื่อตอนรับของดูวุ่นวายนิดหน่อย เพราะเจ้าหน้าที่หากระเป๋าช้า เลยไม่แน่ใจว่า มีการเรียงหมายเลขในการจัดเก็บของอย่างไร อาจต้องปรับปรุงอีกหน่อยครับ)

กลับมาที่สนามวิ่ง  การปล่อยตัวของที่นี่ งานนักวิ่ง ย่อมรู้ใจนักวิ่ง พิธีการไม่เยิ่นเหยอ เป็นไปตามเวลา
บริเวณจุดสตารท์มีการตั้งซุ่มน้ำ ให้นักวิ่ง ได้จิบก่อนออกวิ่ง (เยี่ยมครับ)

สำหรับเส้นทางวิ่ง ยังเป็นเส้นทางเดิม แต่ถ้าจำไม่ผิดจำนวนชั้นที่วิ่งในตึกเพิ่มขึ้นหลายชั้น ต้องรอพี่พี่มายืนยันอีกครั้ง

สำหรับการปิดถนน บอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมครับ ขณะวิ่งทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัย สามารถวิ่งได้ตามสปีดที่ต้องการ การวิ่งข้ามสะพานพระราม 7 ทั้งไปและกลับ สามารถปิดการจราจรได้สมบูรณ์แบบ

จุดให้น้ำจุดแรกอยู่ที่ 2.5 กม  การตั้งโต๊ะมี 2 โต๊ะ แต่เนื่องจากไม่มีการแข่งขัน และเจ้าหน้าที่เตรียมน้ำทัน จึงไม่น่าเกิดปัญหาขึ้น  สำหรับเรื่องน้ำไม่พอ ไม่ได้ยินเสียงบ่นเลยแม้แต่เสียงเดียว แสดงว่า แนวหน้า แนวกลาง แนวหลัง ได้รับน้ำครบถ้วน

จุดที่สอง ถ้าจำไม่ผิด อยู่ที่ 5.3 กม กว่าๆ  จุดที่สาม 7 โลกว่าๆ

เมื่อกลับเข้ามาสู่บริเวณจัดงานก็ต้องวิ่งขึ้นตึก จำนวนสองตึก ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของงานเลย ใครถนัดทางเรียบ มาเจอทางขึ้นเนินแบบนี้ ก็มีการขับเคี่ยวกันบนเส้นทางบนตึกอย่างเมามันส์ ทั้งสองตึก

เมื่อวิ่งลงตึกมา ก็วิ่งอีกประมาณ 600 เมตร ก็ถึงเส้นชัย

เมื่อถึงก็มีเจ้าหน้าที่แจกเหรียญ และสลากรางวัล เพื่อไปลุ้นรางวัลในบริเวณจัดงาน

เท่าที่ ข้าพเจ้า จำได้ เบอร์ 1 ได้ รถเข็นกระเป๋า เบอร์ 2 ได้เก้าอี้ไม้เท้า  เบอร์ 3 ได้หม้อหุงข้าว  เบอร์ 6 ได้ของชำร่วย

บรรยากาศหลังเส้นชัย เต็มไปด้วยมิตรภาพในหมู่นักวิ่ง ยิ้มแย้ม สนุกสนานมาก บรรดาเหล่าแฟนซี ที่เป็นสีสรรของงาน มีมากมายจริงๆ

อาหารที่ทางเจ้าภาพนำมาจัด ที่เป็นไฮไลท์ คือ ข้าวกล้องไข่เจียว อร่อยสมชื่อ  นอกจากนี้ยังมี บากูเต ของจิมรันนิ่ง  ถั่วเขียวต้ม จากสวนพฤกษ์ 99   ข้าวต้มจากบางขุนเทียน และอื่นๆ อีกเนื่องจากแอดมินมีธุระต่อต้องรีบกลับเลยไม่ได้เดินดูให้ทั่วถึง ขออภัยที่อาจจะกล่าวขาดท่านใดไปบ้าง

ซึ่งปีนี้ ต่างกับปีก่อนนิดนึง คือปีที่แล้วมีให้เลือกอีกระยะคือ ไม่มีขึ้นตึก ซึ่งมุมมองของข้าพเจ้า ว่าถ้าเป็นนัิกวิ่งใหม่ๆ มักจะกลัวการขึ้นเนินสูง  น่าจะมีทางเลือกให้สำหรับคนที่ไม่อยากขึ้นตึกด้วยนะครับ (แต่ที่ทางงานตัดไปอาจเกิดจากการจัดการที่อาจยุ่งยากก็เป็นไปได้ ถ้ามีการแบ่งสองประเภทในงาน)


นี่คือสิ่งที่เกิดหลังวิ่ง ที่นี่เรามาดูในระหว่างการแข่งขันกันบ้าง

หลังสิ้นเสียงสตาร์ท จุดกลับที่สอง  อยู่ที่ประตูทางเข้า หลังจากไปกลับในจุดแรกเรียบร้อย ซึ่งเป็นทางเช่นเดียวกับปีก่อน ซึ่งเหมือนเช่นเคย บอย สับหนีไปไกล ห่างจากข้าพเจ้าประมาณ 200 เมตร เมื่อข้าพเจ้าถึงจุดกลับตัวแรก ซึ่งในช่วงแรกวิ่งไปกับพี่จุ่ง ซึ่งแกไม่ได้พกเทคโนโลยีใดๆ จึงถามเวลาและระยทางกับข้าพเจ้า ซึ่งพอได้ความ แกจึงเร่งหนีหายไปในกลีบเมฆ เป็นคนแรก ซึ่งวันนี้รู้สึกถึงความฟิตของตัวเองมาก เพราะไม่ว่าจะวิ่งจังหวะไหน ก็รู้สึกว่าตัวเองเหลือ

โจทย์เก่า อยู่ข้างหลัง อิอิ
เมื่อวิ่งครบระยะ 2 กม. แรก ผ่านไปก่อนที่จะวิ่งออกไปสู่ถนนภายนอก ก็สามารถวิ่งแซง พี่เสียดำ ไปได้อย่างเงียบๆ  ซึ่งในช่วงนี้ จึงพยายามประคองวิ่งตามบอย ไม่ให้หนีไกลมากนัก โดยมีเป้าหมายจะต้องแซงหลังจากลงสะพานแรกก่อนกลับให้ได้ ซึ่งเมื่อวิ่งข้ามสะพานพระราม 7 ไปเรียบร้อยแล้ว จังหวะที่วิ่งลงก็พยายามหาจังหวะแซงแต่ก็ยังไม่ได้จังหวะที่ดี จึงประคองไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงทางราบก่อนขึ้นสะพานขากลับ จังหวะนี้ ที่บอย ดรอปลงอาจจะเป็นเพราะบอยไม่ชอบวิ่งลงสะพาน จึงเปลี่ยนจังหวะการวิ่งลง ข้าพเจ้าชิงจังหวะวิ่งฉีกหนีขึ้นไป และแซงในช่วงนี้

ในใจคิดว่าจะต้องฉีกในช่วงทางราบให้ไกลที่สุด  เพราะถ้าไปถึงจุดวิ่งบนอาคาร ความแข็งแกร่ง ของเราสู้บอยไม่ได้แน่นอน เพราะปกติ บอยจะใช้ทางจอดรถของโรงพยาบาล วิ่งซ้อมขึ้นลงอยู่เป็นประจำ

จนถึงจังหวะที่ลงสะพานขากลับ ได้รับสัญญาณจากพี่รุจน์ ว่าบอยตามมาข้างหลัง ข้าพเจ้ารู้ดีเลยว่าบอยพยายามตามขึ้นมาให้ทัน ข้าพเจ้าจึงกดเต็มที่ในช่วง กม ที่ 6 ช่วงลงสะพาน เพื่อรักษาระยะห่างให้มากกว่าเดิม

และปล่อยจังหวะไหลไป กระทั่ง กม ที่ 8 รู้ว่าระยะห่างประมาณ 400 เมตร ซึ่งมันคงถูกลดลงเมื่อก้าวเท้าขึ้นตึก  ซึ่งระยะทางบนตึกปีนี้ เป็นเส้นทางที่ไม่เท่าเดิม การวิ่งของข้าพเจ้าในการขึ้นและลงตึก งัดเทคนิคทุกอย่างออกมาวิ่งทั้งหมด ในระหว่างที่มัวระวังแต่บอย  ในช่วงทางลงจากจุดสูงสุดของตึกที่สอง  กับโดยพี่ทศ จากชมรมสยามรันเนอร์ ใส่แล้วเเซงในจังหวะลง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ยอมไม่ได้ จึงเร่งตามไปอย่างกระชั้นชิด แต่ไม่ออกแรงจนเกินไป เพราะตั้งใจจะเอาไว้ใส่คืนช่วงทางราบ  เพราะทางลงแบบนี้ มีโอกาสเสี่ยงที่จะบาดเจ็บมาก

ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการลงตึก เส้นทางให้หักเลี้ยวขวา บริเวณทางลง สายตาอินทรีย์ ที่จ้องตะครุบเหยื่อที่ห่างออกไป ร่วม 10 เมตร  สปิ้นทันที งัด จังหวะวิ่ง 400  ที่เคยซ้อมใช้เวลา 1.20 ออกมา

ถามว่าทำไมต้อง วิ่งจังหวะ 400   หลายคนที่ไม่เคยมีโปรแกรมซ้อม ยังไม่รู้ว่าโปรแกรมนั้นสร้างอะไรให้กับวิ่งบ้าง  ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องละเอียดที่ต้องคุยกันอีกที

วิ่ง 400 เมตรนี้ มาจาก การวิ่งมาสำรวจทางก่อนวิ่ง โดยเช็คแล้วจากระยะเส้นชัยกลับมาตรงนี้ อยู่ที่ประมาณ 380 เมตร  ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงงัดโปรแกรมนี้ขึ้นมาใส่เพื่อดวลกันแบบให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยกับเป้าหมายใหม่ที่ไม่ได้ตั้งใจดวล

ซึ่งหลังจากสปีดขึ้นมา สามารถแซงได้ตั้งแต่ 100 เมตรแรก แต่ข้าพเจ้ายังไม่หยุด ยังคงเร่งๆ ๆๆๆ เพื่อไม่ให้คนที่ตามมาได้ใจว่าไล่ได้ เรียกว่า ถ้าจะฆ่า ต้องฆ่ากันให้ตาย อย่าให้ได้ลุกขึ้นมาสู้อีก

หลังเข้าเส้นชัย ก็ได้รับเหรียญพร้อมกับลุ้นว่า ได้อันดับที่เท่าไหร่ ซึ่งปรากฏว่าทำอันดับได้ดีกว่าปีก่อน ปีนี้ สามารถวิ่งเข้ามาได้อันดับที่ 39  โอ้เยสสสสสสส

ทั้งชนะ ทั้งสะใจ  เสียดายที่ระยะทาง GPS งานนี้ไม่แม่นเพราะวิ่งขึ้นตึก ไม่งั้นอาจมีลุ้น New PB ซะด้วย

ต้องขอบคุณพี่ทศ ที่มาวิ่งให้ไล่  ไม่งั้นอาจจะโดนบอยเก็บได้แน่ๆ

10.09  กม.
ไช้ ใช้เวลา  48.12 นาที
บอย ใช้เวลา 49.10 นาที

ไช้  14   บอย  21