วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Race 109 ฮาล์ฟ อินเตอร์

Race 109 ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 2

ใต้สะพานพระราม 8 ในเวลา 5 นาฬิกา โดยปกติคงมีแค่เพียงแสงสาดส่องจากไฟทาง และสปอร์ตไลท์ที่ส่องย้อนกลับไปที่สลิงของสะพาน บวกกับความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงแม่น้ำเคลื่อนตัวในเจ้าพระยา

แต่ในวันนี้  ปรากฏการณ์ ในวงการวิ่งยังมีต่อเนื่องหลังจากกรุงเทพฯ มาราธอน ที่ผ่านมา ทำสถิติ คนมาวิ่งเยอะที่สุด ตั้งแต่จัดงานมา  งานนี้ ก็ยังได้รับอานิสงค์เหมือนกัน  งานนี้มีการประกาศรับสมัครตั้งแต่ ครึ่งปีแรก และมีการแจ้งปรับราคาเมื่อใกล้ถึงวันงาน เฉกเช่นงานในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่หลายประเทศจัดกัน

ข้าพเจ้ามาวิ่งงานนี้เพราะต้องการซ้อมยาวระยะ เกิน 20 กม ขึ้นไป แต่ทว่า ช่วงที่คิดได้ ก็เลยระยะเวลาสมัครในราคาปกติไปแล้ว  ถ้าจะสมัครก็ต้องใข้สตางค์ 600 บาทมาสมัคร จึงเกิดอาการเสียดายเงินขึ้นมา และจากงานที่เคยสัมผัสกับการจัดงานของเจ้านี้ในครั้งก่อน ยังทำให้รู้สึกแหยง และกลัว การแถมและการขาด ของคนจัดงานนี้อีกครั้ง

จึงตัดสินใจว่าครั้งนี้จะยอมเป็นคนหน้าด้านวิ่งไม่ติดเบอร์ พร้อมถือน้ำมากินเอง แต่แล้วฟ้าก็ดลบันดาล เมื่อเพื่อนสามารถหาเบอร์มาให้วิ่งได้ในระยะ 10 กม. ซึ่งทำให้ตัดปัญหาการต้องเตรียมน้ำมากินเองออกไป

เมื่อมาถึงบริเวณงาน ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่จอดรถเต็มครับ จากปกติที่เคยจอดข้างสวนพระราม 8 ต้องระเห็จไปจอดที่หน้าวัด ที่ยังมีพื้นที่ว่างให้จอดรถอยู่อีกหลายคัน  ซึ่งเมื่อจัดแจงพันผ้าที่บริเวณจุดที่เจ็บเรียบร้อยแล้วจึงเร่งเดินทางเข้าสู่บริเวณจัดงาน เพื่อไปวอร์มร่างกายให้พร้อมก่อนการวิ่ง

หลังจากได้รับเบอร์วิ่งมา เป็นเบอร์วิ่งระยะ 10 กม. ก็ดำเนินการนำเสนอ ที่เสื้อของตัวเอง ซึ่งมารู้อีกที ว่าเบอร์เป็นของสุภาพสตรี ก็รู้สึกเขินนิดนึง เมื่อวิ่งวอร์มเรียบร้อยแล้ว จึงมาดำเนินการยืดเหยียด จึงได้พบกับพี่กบ แล้วรู้ว่าวันนี้จะวิ่งฮาล์ฟ แต่ซื้อเบอร์มินิมา มีเพื่อนแล้ว จึงอาศัยเกาะพี่เค้าไปในช่วงปล่อยตัว และทิ้งพี่เค้าเมื่อวิ่งไปได้สักพัก คำว่าทิ้ง หมายความว่าปล่อยพี่เค้าวิ่งไป เพราะเค้าเร็วจริงๆ

งานนี้มาวิ่ง จริงๆ แล้วต้องการมาเซอร์เวย์ ว่ามีพัฒนาการจากครั้งก่อนหรือไม่ ซึ่งคงหาคำตอบได้จากข้อมูลด้านล่างนี้ต่อไป


เวลา 5.15 เป็นเวลาปล่อยตัว ซึ่งวันนี้ข้าพเจ้าหลบเป็นนินจาอยู่ตอนฮาล์ฟ กำลังปล่อยตัว จึงรีบวิ่งตามออกไป มีเจ้าหน้าที่จะพยายามเช็ค แต่ข้าพเจ้าก็รีบจ้ำอ้าวออกไป ทางออกค่อนข้างเสียเวลามาก กับการต้องมาออ ที่ประตูทางเข้าสวนที่เปิดให้วิ่งออกฝั่งเดี่ยว

จากนั้นก็วิ่งออกมาเป็นทางใต้สะพานพระราม 8 ปีนี้แตกต่างกันคือเมื่อปีก่อนจะวิ่งตรงไปเรื่อยๆ และไปขึ้นตรงทางขึ้นอีกทาง แต่มาปีนี้ เป็นการวิ่งย้อนทางลง ซึ่งเมื่อปีก่อน เส้นทางนี้เป็นทางลงก่อนเข้าเส้น

ใจคิดว่าสงสัยจะคำนวณเส้นทางใหม่มาแล้ว จึงกำหนดเส้นทางวิ่งแบบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดอาการวิ่งใส่หมด แต่ต้องมาเจอทางย้อนไปย้อนมา

หลังจากวิ่งขึ้นมาบนสะพานเรียบร้อยแล้ว เมื่อผ่านป้าย บอกระยะทางที่ กม ที่ 1 ก็รู้สึกเริ่มสังหรณ์ใจแล้วว่าวันนี้เส้นทางไม่ธรรมดาแน่ เพราะ ป้ายที่บอก กับระยะทางจริงนั้นไม่ได้ตรงกันเลย  ระยะทางจริงตรงนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.6 กม   เหมือนกับว่าผู้จัดมาเปลี่ยนเส้นทางวิ่งเอาตอนก่อนจะปล่อยตัวหรือไม่ อันนี้ผมไม่รู้ เพราะไม่ได้เช็คเส้นทางวิ่งมาก่อน

หลังจากผ่านป้ายบอกทางแรก ประมาณ 500 เมตร ก็เจอจุดให้น้ำจุดแรก จึงวิ่งเข้าพิท เพื่อเติมน้ำเข้าสู่ร่างกายตามปกติ  งานนี้เท่าที่เช็คจำนวนคนวิ่งระยะฮาล์ฟ น่าจะมีประมาณเกือบ 800 ท่าน ซึ่งถือว่าสูงมาก งานในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น มีแต่คนหนุ่มสาว มาวิ่งกันมากมาย ทำให้วิ่งไป เพลิดเพลินไปอีกแบบหนึ่ง

ป้าย กม ที่ 2 ป้ายบอกทางก็ยังเพี้ยนกับระยะทางจริงอยู่   จริงอยู่เทคโนโลยี เดี่ยวนี้พัฒนาไปไกล ราคาไม่แพงเหมือนแต่ก่อน นักวิ่งสามารถหามาใช้เพื่อควบคุมจังหวะตัวเองในการวิ่งให้ได้ตามแผน แต่การที่ป้ายบอกระยะทางที่ผิดเพี้ยนไป กับนักวิ่งที่ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวนั้น  สามารถทำลายจังหวะการวิ่งของนักวิ่งเหล่านั้นได้ทันที  เมื่อไหร่ การจัดงานในบ้านเราทุกออแกไนซ์ถึงจะมีมาตรฐานดีขึ้นก็ไม่รู้

มาถึงช่วงนี้ สามารถวิ่งไล่ แจงกับแมน ที่วันนี้วิ่งมาด้วยกันได้ และพยายามแซงหนีออกไปด้วยจังหวะวิ่งเดิม เดิมทีวันนี้ตั้งใจมาวิ่งจ็อก ที่ pace 5:30 ต่อ กม. ซึ่งระหว่างทางวิ่ง ก็มีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง

วิ่งได้สักพักนึง ก็เจอหมอเจษ ได้คุยกันระหว่างวิ่งสักพัก ถึงงานกล้วยเมื่ออาทิตย์ก่อน จึงแยกย้ายกันคนละทางเพราะวิ่งคนละจังหวะกัน

สำหรับจุดให้น้ำวันนี้รู้สึกจุดให้จะวางมั่วไปหมด ไม่มีมาตรฐานเลยว่าจะวางที่ กม ที่เท่าไหร่ กันแน่ ยิ่งวิ่งยิ่งสับสน กะเกณฑ์จังหวะการกินน้ำไม่ถูก   เมื่อวิ่งมาถึงจุดกลับตัว ก็มีรถสุขามารอให้บริการ  ณ จุดกลับตัว ระยะอยู่ที่ประมาณ 10.7  ก็เลยคิดว่าถ้ากลับทางเดิม ระยะทางน่าจะโอเคได้มาตรฐานการจัดงานสมชื่องาน อินเตอร์

วิ่งกลับตัวมาได้สักพัก ก็รู้สึกเริ่มตึงๆ ขา ขึ้นมา เป็นจุดเดิม ใต้ฝ่าเท้าที่ยังเจ็บอยู่ จึงเริ่มวิ่งเบาลง เพื่อลองเช็คอาการ ในระหว่างทางเมื่อวิ่งย้อนกลับ ก็ได้ทักทายเพื่อนๆ ไปหลายท่าน การวิ่งกลับตัวแบบเห็นตัวกันนี่มันทำให้รู้สึกสนุกกว่าวิ่งไปทางเดียวมากมาย  แต่แปลกทำไม ก่อนเราจะกลับตัว ทำไมไม่เห็นบอย สงสัยจะมึนมากวันนี้

วิ่งชิว ได้อยู่แค่ 6 กม. ระหว่างดื่มด่ำ กับของสวยงามระหว่างทาง กับการเก็บภาพบรรยากาศของนักวิ่งต่างๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ยังไม่จุใจ ก็กลับต้องมาเหนื่อยอีกครั้ง เมื่อน้องแจง สลัด แมน ตอนไหนก็ไม่รู้วิ่งตุปัดตุเป่ แซงหน้าขึ้นไปเฉยเลย  ด้วยเป็นชายอกสามศอก ใยจะให้สาวสาว แซงได้อย่างไร จึงเริ่งสปีดตามแบบเคาะไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เฉลียวใจ วิ่งดร๊าฟ ตามไปได้สักพักเอ๊ะใจ จากเสี่ยงนาฬิกาที่ดังขึ้นเมื่อบอกว่าวิ่งครบ lap แล้ว ชะโงกหน้าลงไปดูที่หน้าปัดนาฬิกา ถึงกับร้องในใจออกมา

"อัยย่ะ"   4:57  เห็นน้องวิ่งชิวๆ ไหงเร็วแบบนี้ จึงผ่อนความเร็วลง กะปล่อยแล้ว ถ้าแรงแบบนี้ พี่คงอ๊วกก่อนที่จะถึงจุดหมายแน่  เหมือนฟ้าบันดาลเพราะถึงจุดให้น้ำพอดี แจงชะลอ และหยุดเพื่อรับน้ำ จังหวะนี้ ข้าพเจ้าอาศัยการโฉบน้ำ ทั้งกิน ทั้งอาบ และชิงฉีกหนีออกไปอีกครั้ง  หนีไปได้ไม่นาน คุณเธอก็มาอีกแล้ว แซงไปอีกแล้ว ซึ่งหลังจากผลัดกันนำ ผลัดกันแซงได้สักพักซึ่งข้าพเจ้าในคราวนี้ คิดว่าจะปล่อยแล้ว เพราะคิดว่าร่างกายคงแข็งแรงสู้น้องเค้าไม่ได้ในคราวนี้ จึงได้แค่วิ่งประคองไปเรื่อยๆ  แต่ก็ยังเร็วกว่าช่วง10 กิโลแรกที่วิ่ง จนเมื่อสายตากวาดเส้นทางยาวไป เห็นแจงวิ่งไป และเหลือบไปเห็นบอย ที่วันนี้ ใส่เสื้อสีชมพู ของ รพ.นครธน มาวิ่ง ซึ่งเป็นเสื้อตัวเดียวกับวันนี้ที่ข้าพเจ้าหยิบขึ้นมาใส่วิ่ง

เผลอแป๊ปเดียว น้องแจงวิ่งแรงขึ้นไปและแซงบอยได้  ใจก็เลยคิดว่า ถ้าแจงแซงได้ ข้าพเจ้าก็คงแซงได้ จึงเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นหลังผ่านป้าย กม ที่ 19 อัดไป แต่ยังไม่เต็มสตรีม เพราะวันนี้ ยังไม่รู้ว่าคนจัดงานจะมาไม้ไหน  เพราะงานที่เจ้านี้จัดนอกสถานที่ มักจะแถมอยู่รำไป

เมื่อครบ กม ที่ 20  นาฬิกาบอกเวลา ว่า กม ที่ผ่านมา วิ่งไป  4:49   ซึ่งสามารถไล่มาทันบอย ที่ จุดนี้  เหมือนว่าขาจะลอยแล้ว จึงพยายามเร่งต่อไป โดยที่มีความหวังที่จะทำลายสถิติ Half ตัวเอง ที่ Freeze มานาน แต่ก็งงกับจุดที่ขึ้นปีก่อน ที่คิดว่าจะเป็นจุดให้ลงในปีนี้ ถูกรถตู้บังทางไว้  เลยคิดว่าสงสัยจะลงทางเดิมที่ขึ้นมาแน่ๆ แต่ก็ยังไม่วายระแวง จึงไม่กล้าปล่อยหมด ประคองจนมาทันน้องแจงอีกครั้ง จะพยายามวิ่งขึ้นไปตีคู่ แต่เหมือนน้องจะไม่ยอม ฉีกหนีไปอีกครั้ง

อัยหย่า  ถึงจุดกลับตัวแล้วทำไม เค้ายังวิ่งกันต่อไปอีก  นัยว่าจะให้ไปวิ่งถ่ายรูปที่สะพาน พระราม 8 ยังไงยังงั้น   จะกลับตัวตรงไหน สมองตั้งคำถามขึ้นมา กลางสะพานหรือป่าว หรือว่าตีนสะพาน ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองทะลุสะพานที่ทึบได้

สีหน้าแต่ละคนที่วิ่งสวนทางมา ส่วนใหญ่เหยเก  ปากบ่นพรึมพำ อะไรก็ไม่รู้  ในที่สุดก็เจอจุดกลับตัวจนได้ เมื่อวิ่งไปเกือบสุดสะพาน  นาฬิการ้อง ที่จุดนี้ 21 กม.   ท่าทางงานนี้จะแถมไม่ใช่น้อย ใจก็คิด แม่งเอาอีกแล้ว  แก้วน้ำก็ขาดในบางจุด    จนเห็นนักวิ่งที่เก็บอาการไม่ไหวต้องไปเก็บถ้วยเก่ามาเติมน้ำกิน


ไม่เข้าใจว่าเรื่องน้ำสำคัญมาก แต่น้ำในจุดที่ร่วมกันทุกระยะที่ต้องมีปริมาณมากๆ กลับขาดอีกครั้ง แต่คราวนี้ดันขาดแก้ว   สงสัยต่อไปต้องรณรงค์ แก้วเดียว เที่ยวทั่วไทย ให้กับนักวิ่ง เหมือนงานกล้วยซะแล้ว   ณ จุดนี้ สามารถเร่งทันคุณน๊อต ที่วันนี้ปล่อยตัวแรงมาก จนมาทันได้ ทราบความตอนหลังจึงรู้ว่าหมดแรงเพราะท้องเสียเมื่อคืน



กลับมาที่เส้นทางวิ่งย้อนข้ามสะพานพระราม 8 กลับเข้าสู่จุดหมาย โดยย้อนเส้นทางขาขึ้น การแข่งขันก็เริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะคราวนี้เส้นทางคงไม่เพี้ยนไปกว่านี้แล้ว เมื่อรู้ว่าบอยอยู่ห่างพอสมควร จึงวิ่งผ่อนๆ มาเพราะระยะวันนี้ครบ Half Marathon Record ไปแล้ว  ตากลับไปเหลียวเห็นน้องแจงอีกครั้ง ที่ตีนสะพานจุดวกกลับเข้าเส้นชัย จึงเริ่มเร่งอีกครั้ง เพื่อไล่ให้ทันกับเป้าหมายใหม่ในวันนี้ ซึ่งกว่าจะไล่ทัน และฮึดเฮือกสุดท้ายปาดหน้าเข้าเส้นชัยก่อนหวุดหวิด ที่ประตูทางเข้าสวนพระราม 8  เป็นการปาดหน้าเข้าเส้นที่สะใจสุดๆ  ชนะผู้หญิงแล้วโว้ยยยยยยยย

ขอบคุณน้องแจง ที่มาวิ่งกระตุ้นให้แรงไม่ตกตอนท้ายด้วยวันนี้

ระยะจริง 22.27
ไช้   ใช้เวลา  2:01:14
บอย  ใช้เวลา  2:04:XX

ไช้ 16  บอย 25   ก็ต้องตามกันต่อไป

เมื่อเข้าเส้นเรียบร้อย ก็ต้องไปผจญ กับมวลมนุษยชาติที่ต่อแถวรับสปอนเซอร์ รับอาหารกันอีกขนานใหญ่   คนเยอะขนาดนี้ ดันแจกน้ำจุดเดียว ทำไปได้

สุดท้าย ได้ กระเพาะปลามา 2 ถ้วย  สปอนเซอร์ 1 กระป๋อง และมายืนดูเค้ารับรางวัล  ซึ่งวันนี้ รพ.นครธน ได้มา 1 ถ้วย ด้วยเยี่ยมจริงๆ  และพอได้ยินเค้าแจกรางวัลที่เป็นเงินให้กับผู้ชนะ จึงรู้ล่ะว่าทำไม ต้องเก็บค่าสมัคร ฮาล์ฟ 600   ใช่ไม๊ครับพี่บุญโอ  เป็นครั้งแรกของผมที่วิ่งแล้วไม่มีผลชิพ  เพราะว่าชิพหายยยยย ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม คริคริ

วันนี้ต้องขออภัยผู้จัดด้วยครับที่เอาเบอร์มินิ มาวิ่งฮาล์ฟ และขออภัยที่ต้องตำหนิกันตรงๆ อีกครั้ง


วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Race 108 ช็อป นครธน

Race 108 นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 5


ช่างเป็นเรื่องน่าบังเิอิญจริงๆ กับ Race ที่ 108 นี้ ที่ไปพ้องกับ ร้านสะดวกซื้อ 108 ช๊อป ซึ่งในงานนครธนนี้ ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์งานแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ ร้านค้านี้ ตั้งอยู่บริเวณจุดสตาร์ทที่ใช้ทำการปล่อยตัวเท่านั้นเอง

นครธนมินิมาราธอนครั้งที่ 5 นี้ นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ข้าพเจ้ามีส่วนร่วม ซึ่งสถิติที่ผ่านมาในแต่ละครั้งมีดังนี้

10/12/52    1:12:05
10/12/53    0:56:57
10/12/54    0:53:46
10/12/55    ??????

จากสถิติที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าสำหรับงานนี้ กับระยะทางเดิม เวลานั้นดีขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้ตั้งเป้าหมายการวิ่งให้ ได้ประมาณ 50 นาที

สายฝนโปรยปรายมาเมื่อตอนตี 4 ทำให้บรรยากาศดีขึ้น เย็นขึ้น แต่ก็แลกด้วยความหวาดเสียวว่าจะตกไม่หยุด อาจทำให้งานกร่อยได้   ก่อนออกจากบ้านตัดสินใจอยู่นานกับการเลือกกางเกงมาใส่วิ่งวันนี้ เดิมทีจะใส่ CW-X มาวิ่งเพื่อ Save เข่าตัวเอง แต่อีกใจก็คิดว่าระยะสั้นๆ ดูออกจากเวอร์ไป คิดไปคิดมา จึงใส่ขาสั้นมาวิ่งเหมือนเดิม แต่แฝงไปด้วยความกังวลใจว่าเข่าจะเจ็บขึ้นมาอีก

มาถึงงานเดิมทีจะจอดรถ ที่สวนเซ็นทรัลปาร์ค  แต่ดูลักษณะแล้วน่าจะมีพื้นที่จอดจึงขับไปจอดบริเวณงาน  วันนี้พา น้อง และหลานอีก 2 คนมาร่วมงานด้วย

เมื่อมาถึงบริเวณงานจึงเข้าไปในตัวโรงพยาบาล เพื่อสมัครเพิ่ม ในส่วนผู้ติดตาม และรับเสื้อ งานนี้น่ารักมาก เพราะเสื้อที่แจกในงาน มีถึงขนาด SSS ด้วย ทำให้เด็ก 7 ขวบ สามารถใส่ได้  หลังจากที่พาหลานๆ ไปวิ่งมาหลายๆ งาน เสื้องานวิ่งที่ได้มามักจะต้องยกให้คนอื่นอยู่ร่ำไปเพราะใส่ไม่ได้

ติดตามงานให้ผู้ติดตามแล้ว จึงต้องมาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองบ้าง เพราะปัจจุบันยังไม่มีเบอร์วิ่ง เพราะได้สมัครล่วงหน้าไปนานแล้ว และฝากบอย รับเบอร์ตองมาให้ (555)

ซึ่งปีนี้ได้หมายเลข 30-49  ว้า ไม่ได้เบอร์ตอง

จากนั้นก็เริ่มมาวอร์มเบา ๆ ด้านหลังที่บริเวณซุ้มตั้งอาหาร ซึ่งเป็นที่วอร์มประจำ ซึ่งในช่วงแรกก็เริ่มวอร์มเบาๆ ได้ 1 กม จึงมายืดเหยียด ซึ่งวันนี้มัวแตุ่คุย เลยมีเวลายืดเหยียดน้อยไปนิด

จากนั้นก็มาวิ่งสไตรค์ ยืดๆ อยู่ประมาณ 5-6 เที่ยว จึงได้เวลาปล่อยตัว จึงเดินกลับไปเช็คอิน และรออยู่ที่จุดสตาร์ท

ประสบการณ์ 3 ครั้งที่ ผ่านมา ทุกครั้งจะเห็นนักวิ่งกระโดดข้ามไปอีกฝั่งของซุ้มปล่อยตัว ซึ่งคราวนี้ข้าพเจ้าขอทำบ้างเพราะถ้าอยู่จุดนี้จะไหลมากกว่า วิ่งผ่านซุ้ม  (ถ้ามีชิฟ ทำไม่ได้นะครับ)

ยังไม่ถึงช่วงปล่อยตัว  ในขณะที่ อ.ญาณเดช กำลังกล่าววัตถุประสงค์ของงาน ทำให้มีเวลากับมายืดเหยียดเพิ่มเติม  ทำให้รู้สึกเส้นที่ตึง คลายลงมาก แต่ก็มิวายกังวล กับ อาการบาดเจ็บใต้ฝ่าเท้าเหมือนเดิม วันนี้ลองเปลือยขา ไม่พันผ้าวิ่งดู

5:57  เป็นเวลาปล่อยตัวจริง  สงสัยท่านประธานจะกะจังหวะการพูดให้จบ ไม่ลงตัว แล้วไม่มีใครคอยดูเวลาให้ด้วย ดีที่ไม่มีใครว่าอะไร

เมื่อเคลื่อนพลออกจากหน้าโรงพยาบาล การสปีดเพื่อฉกชิงตำแหน่งด้านหน้าได้เกิดขึ้น และสามารถแซงขึ้นนำได้เมื่อพ้นหน้าสำนักงานเขตบางขุนเทียน และประคองจังหวะการวิ่งที่ จังหวะ 4.30 / กม ซึ่งเป็นการวิ่งตามจังหวะการวิ่งของคุณน้อย กลุ่มโรงเหล็กที่ปกติวิ่งเร็วกว่าข้าพเจ้ามาก ส่วนบอยไม่ต้องห่วง ผมแซงมาแล้ว และวันนี้ตั้งใจ keep breath เพื่อประคองให้จบแบบนี้

สะพานแรกที่เจอ คือ สะพานข้ามคลอง ก่อนหน้าร้านส้มตำ เป็นเนินเล็ก ๆ จากนั้น ก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าสู่ซอยที่มุ่งหน้าสู่ถนนเอกชัย ก็เจอ สะพานข้ามคลองอีก 2 ครั้ง  ตอนนี้เรีี่ยวแรงยังดีอยู่ สะพานไม่มีผลต่อจังหวะการวิ่งเท่าใดนัก

หลังจากเลี้ยวซ้าย ออกถนน ก็เจอสะพานข้ามคลอง เป็นจุดที่ 4 อีกครั้ง และจากจุดนี้เลยไป 200 เมตร เป็นจุดให้น้ำ ซึ่งนักวิ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นจุดให้น้ำแรก จึงมีอาการโวยวาย ว่านักวิ่ง วิ่งฝั่งขวา เอาน้ำไปตั้งฝั่งซ้ายทำไม  โธ่ ลุงๆ ครับ นี่ไม่ใช่จุดให้น้ำจุดแรกครับ เพิ่ง วิ่งมา กิโลกว่าเองครับ

ซึ่งความจริงจุดให้น้ำนี้คือจุดให้น้ำสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย ซึ่งหลังจากนี้ทุกคนคงร้องอ๋อกัน

ป้ายระยะบอกทางของงานนี้ มีการบอกทุก 1 กม. ทำให้สม่ำเสมอและที่สำคัญ เมื่อวิ่งเรียบร้อยแล้วมาทบทวน จะเห็นได้ว่า การวางป้าย และจุดให้น้ำสมบูรณ์แบบมาก ที่เป๊ะหมด ขอบคุณ สมาพันธ์เดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย ที่เป็นเจ้าหน้าที่สนามในวันนี้ ที่ทำได้ยอดเยี่ยม

พอพ้น กม. ที่ 2 ต้องเผชิญ กับ สะพานที่ชันที่สุดของวันนี้ กับระยะความยาว 600 เมตร ที่ในช่วงแรกคิดว่ายังมีแรงเหลือเฟือ ในการวิ่งขึ้น  จากที่พยายามยามวิ่ง ตาม พี่กบเคโระมา 2 กม. ก็ต้องปล่อย เพราะพี่เค้าจังหวะเร็วกว่าเราเยอะ เลยต้องหาเป้าหมายใหม่ ในการวิ่งเกาะ  ซึ่งเมื่อลงสะพานมา ก็เจอ พี่สมาน วิ่งอยู่ จึงอาศัย วิ่งเกาะตามไปเรื่อยๆ ในช่วงนี้ นักวิ่งบางท่านที่เครื่องเข้าที่ ก็เริ่มสปีดหนีออกไป คนแล้วคนเล่า ไม่ว่าจะเป็นพี่สมัย พี่หมู สยามรันเนอร์หรือ คนที่รู้จักหลายคน

เมื่อพ้น กม.ที่ 4 หัวลากเหมือนจะหมด เพราะจังหวะเบาลง จึงต้องขออนุญาติ แซงเพื่อรักษาจังหวะวิ่งตัวเองเอาไว้

ครบ กม ที่ 5 สถิติ อยู่ที่ 23.47 นาที  เลยคิดว่า 50 นาทีที่ตั้งใจไว้ คงไม่ทะลุแน่ๆ เพราะรู้ว่า 5 กม หลังคงวิ่งไม่ได้ดีกว่า ช่วงแรกอยู่แล้ว เพราะช่วงหลังไม่ได้ฝึกวิ่งแบบ NS เลย

ระยะห่างจากบอยตอนนี้อยู่ที่ ประมาณ 200 เมตร รอที่จะพิฆาตได้เสมอ จึงพยายามเคาะลากจังหวะเดิมให้รักษาระยะห่างเอาไว้ จน กม ที่ 8 หลังจากที่ไม่มีเป้าให้วิ่งตาม ก็มาเจอ พี่บุญหนาและสมาชิกชมรมกลุ่มโรงงานอินเตอร์ จึงพยายามประคองวิ่งประคองตาม ซึ่งขอบอกว่าลากเลือด ยิ่งจังหวะลงสะพาน เค้ายิ่งใส่กัน แต่ความพยายามดร๊าฟ ก็ยังไม่หมด ยังสามารถเกาะติดได้ทุกฝีก้าว

จนกระทั่งจุดกลับตัวหลังสะพาน  เรี่ยวแรงกลับมีเพิ่มขึ้น หลังจากจุดให้น้ำจุดสุดท้าย ได้นำน้ำ 2 แก้ว ราดดับความร้อน บนศรีษะ ทำให้รู้สึกเย็นหัวลง  พี่หนาส่งสัญญาณให้ไปเลย ข้าพเจ้าจึงสปีด หวังว่าจะทำสถิติให้ต่ำกว่า 51 นาที ให้ได้ เพราะ 50 นาที นี่ 500 สุดท้าย ต้องวิ่ง  2 นาที ซึ่งทำไม่ได้แน่นอน

3 นาที เป็นการวิ่งที่สบายๆ มีผ่อน เพื่อถ่ายรูปเป็นระยะๆ แต่ก็เกือบเข้าเส้นไม่ทัน เวลาจบหวุดหวิดกับความต้องการเลย

ระยะทางจริง  10.59 กม

ไช้   ใช้เวลา 50:59 นาที
บอย  ใช้เวลา  52:51 นาที

ไช้ 15   บอย 25

ใกล้เข้ามาอีกหน่อยแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Race 107 ระยอง ฮิ สั้น

Race 107 คลาสิค ระยองมาราธอน

จากแผนการและโปรแกรมที่วางไว้ สำหรับมาราธอนนี้ ล้มเหลวไม่เป็นท่า การซ้อมยาวไม่เคยถึง 30 โล แม้สักครั้ง  จากเป้าหมายมาราธอน ต้องมองลงต่ำลงมาเหลือที่ ครึ่งมาราธอน สภาพขาจากอาการรองช้ำ ตั้งแต่ใส่รองเท้าบำบัดเหมือนจะดีขึ้น และแม้จะใกล้วันเข้ามา ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้

เช้าวันเสาร์ออกเดินทางตั้งแต่ 7.30 น เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

แวะชิม อาหาร ณ ร้าน อร่อยริมทาง  อาหารสไตล์มุสลิม
แวะชม เรื่อรบหลวงจักรีนฤเบศก์
แวะไหว้ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ แสมสาร
แวะทานอาหารที่ หน้าพิพิธภัณฑ์พันธ์สัตว์น้ำระยอง

เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน ตัวเองยังไม่ได้ทันตัดสินใจอะไร กลับมุ่งหน้าไปรับเบอร์ที่ได้รับฟรี ที่สมัครไว้ล่วงหน้าตั้งแต่งาน ชมภาพยนตร์ รัก 7 ปี ดี 7 หน ซะงั้น  เลยกลายเป็นว่าตัดสินใจลงมาราธอน ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการลงมาราธอน จะต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ไม่พร้อมจะสะท้อนออกมาเมื่อลงสนามจริง

มาราธอนนี้ เป็นมาราธอนครั้งที่ 5  หลังจากที่เคยวิ่งที่จอมบึงปี 54 และ 55  สงกรานต์มาราธอนปี 54 กรุงเทพฯมาราธอน ปี54 วิ่งปี 55  ถือว่าเป็นมาราธอนที่ซ้อมน้อยที่สุด เพราะ 4 ครั้งแรก มีการเตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างหนัก ซึ่งผลที่ได้ออกมากลับกลายเป็นอย่างนี้

ครั้งแรกที่จอมบึงปี 54  เป็นมาราธอนแรก ตั้งใจวิ่งสลับเดิม  พอวิ่งจริง 10 โลสุดท้ายคิดว่าแรงเหลือ ใส่ไป ตะคริวขึ้นเลยจบไม่สวย จบงาน เดินขึ้นบันไดไม่ได้ไปหลายวัน

ครั้งที่ 2 สงกรานต์มาราธอนปี 54  เป็นมาราธอนที่สองที่สามารถวิ่งติดต่อกันได้ 30 กม ที่เหลือเดินสลับคลานอีก 12 กม. เพราะตะคริวมาอีกแล้ว ประมาณ 5 รอบสวนลุม  วิ่งจบ สลบไปหลายวัน ขึ้นบันได้ไม่ได้เช่นเคย

ครั้งที่ 3 จอมบึงปี 55 เป็นมาราธอนที่ซ้อมหนักที่สุด ทั้งซ้อมยาว ทั้งซ้อมเร็ว แต่โดนน้ำท่วมสะกัดไม่ต่อเนื่อง  สามารถวิ่งได้ถึง 37 กม ในอัตราความเร็วต่ำกว่า 6 นาที  5 กม ที่เหลือ เดิน บวก คลาน เพราะตะคริวก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ วิ่งจบ ระบมไปทั้งตัว ขึ้นบันไดไม่ได้อีกครั้ง

ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯมาราธอน ปี 54  เป็นมาราธอนที่เดิมทีตั้งความหวังไว้ แต่การเลื่อนมา ทำให้แค่มาวิ่งเฉยๆ เพราะหลังจากจอมบึงไม่ได้ซ้อมยาวเลย  เป็นมาราธอนที่มีอาการบาดเจ็บติดตัว จึงวิ่งได้ 20 กม และ 22 กม ที่เหลือ วางแผนใหม่ เป็นการวิ่งสลับเดิน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่เอาเวลามาเป็นตัวแปร วิ่งจบ ตะคริวไม่ถามหา แต่เวลาไม่ได้เรื่อง  ระบมไปทั้งตัว อีกเช่นเคย คิดว่าพักจากงานมาราธอนก่อนไม่พอเลยทำให้เป็นแบบนี้

พอมาถึงครั้งนี้ เมื่อนำประวัติการวิ่งมาพิจารณาทำให้รู้ว่า การวิ่งมาราธอน ที่ไม่ใช่การแข่งขัน ต้องเป็นมาราธอนที่ประมาณตน จึงตั้งใจว่าในวันนี้จะวิ่งไม่ให้เร็วกว่า 6.30  โดยจะประคองวิ่งที่จังหวะ 7 นาที ต่อ กม.  วิ่งไม่ให้รู้สึกเหนื่อย  นี่คือแผนการก่อนการวิ่งครั้งนี้

เมื่อเดินทางมาถึงงานก็เหลือเวลาอีกเพียง 5-10 นาที จะปล่อยตัว จึงต้องรีบวิ่งเบาๆ ให้ตัวพออุ่นเข้าไปในงานและหาโอกาสยืดเหยียดเท่าที่มีโอกาส วันนี้ได้เจอพี่เยาว์ พี่ที่มาซ้อมด้วยกันที่สถาวรรันนิ่งด้วย พี่เค้าบอกว่าให้รอรอกันด้วย ผมคิดในใจว่าผมจะรอดหรือป่าวยังไม่รู้เลย อิอิ

ตี สี่ ตรง การปล่อยตัวก็เกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้  นักวิ่งต่างๆ เริ่มทยอยวิ่งกันออกไป แต่ข้าพเจ้าลืมไปว่า GPS ยังไม่ได้เปิด ซึ่งเสียเวลา อยู่เกือบ 10 วิ กับการเปิดและรอวิ่งออกไป ถือว่ายังดีที่ตอนวอร์มมีการเปิดสัญญาณไว้ มิเช่นนั้นคงใช้เวลาในการหาสัญญาณอีกนานแน่ๆ

เส้นทางออกจากตัวพิพิธภัณฑ์ มุ่งหน้าสู่หาดสวนสน ในเวลาตี 4   ช่วง 4 กม แรกนี่ก็ยังดีอยู่ เพราะเป็นการวิ่งผ่านชุมชน ผ่านตลาด และท่าเรือข้ามฟาก แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของหาดสวนสน ที่มีแนวสน ตั้งตระหง่านเป็นแนว อยู่ตลอดชายฝั่ง นั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดมิด ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามา จังหวะการวิ่งของนักวิ่ง ส่งเสียงดังขึ้นสลับกับเสียงซัดจากเกลียวคลื่น ลูกแล้วลูกเล่า

ภายใต้ความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่าง ซึ่งได้มาจากทีมงานจักรยานและรถยนต์ที่ช่วยกำกับเส้นทาง ทำให้พอมีแสงไฟสำหรับการวิ่งในเส้นทางนี้ วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มแนวหน้ากลับตัวมาแล้วจากจุดกลับที่ กม 7 ในขณะที่เรายังอยู่ กม ที่4 นักวิ่งท่านแล้วท่านเล่า ทยอยแซงข้าพเจ้าไป และก็สวนทางลงมา ซึ่งรวมถึง เพื่อนคู่หูของข้าพเจ้าด้วย  ในขณะที่เข้าเจ้าอยู่ที่เกือบถึง กม ที 6 เพื่อนข้าพเจ้าก็สวนกลับมา โดยวิ่งมากลับกลุ่มนักวิ่งจาก ชมรมบางขุนเทียน อยู่หลายคน  ซึ่งอาจจะเป็นการวิ่งที่เพื่อนถนัดกับการวิ่งพร้อมคนอื่น  ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้เลย เพราะวิ่งพร้อมคนอื่นที่ไร บรรลัยทุกที เพราะจังหวะเสียไปหมด

ในวันนี้ จากอากาศที่เย็นสบาย พร้อมลมโชยจากชายทะเล ทำให้การควบคุมจังหวะ ไม่ให้เหนื่อยสามารถทำได้ง่ายกว่าปกติ การวิ่งโดยดูต้นทุนของตัวเอง ไม่บ้าบิ่น ทำให้ทุกก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยิ่งก้าว ยิ่งมั่นใจว่าวันนี้ จบสวยแน่ๆ  หลังจากได้กลับตัวเหมือนคนอื่น และกลับมาเข้าสู่เส้นทางที่มีแสงสว่างดังเดิม เริ่มเห็นหน้านักวิ่งที่ผ่านมาและแซงไป  (แซงไปเหอะ วันนี้ยอมให้)

เป็นการวิ่งย้อนเส้นทางเดิม แต่ด้วยเวลาที่แตกต่าง ก็ได้มองเห็นอะไรที่แตกต่างกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน  ซึ่งขาไป เป็นช่วงเวลาตี 4 กว่า ๆ ร้านค้าต่างๆ เพิ่งจะทยอยเตรียมตัวขายของ แต่เมื่อวิ่งกลับมา ก็เจอชาวบ้านมานั่งจิบกาแฟ สนทนากันอย่างคับขั่ง ในตลาดมีของขายส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในขณะวิ่งอย่างมาก  บางบ้าน ก็เพิ่มเปิดบ้าน บางบ้าน ก็มีเด็กนักเรียนเตรียมตัวใส่เสื้อผ้างานวิ่ง เตรียมขึ้นสองล้อเครื่อง ไปวิ่งที่งาน มีพระมาบิณฑบาต เป็นระยะ นับเป็นวิธีพุทธที่น่าสนใจและค้นหาอย่างยิ่ง

เมื่อวิ่งมาถึงจุดแยกที่ กม ที่ 14 ตามหลักฐาน ทางข้อมูลและโทรศัพท์ ที่วันนี้เปิด app Endomondo ควบคู่กับนาฬิกาการ์มิน เพราะเกรงปัญหาจากแบตเตอร์รี่นาฬิกาจะมาบ่อนทำลายสถิติการวิ่งยาวในวันนี้

ซึ่งระยะที่แสดงออกมาคือ 14 กม  ซึ่งต่างจากหลักฐานที่ปักอยู่บริเวณถนน คือ กม ที่ 15

ใจคิดทันที มันจะไปปรับการเพี้ยนตรงไหน หรือว่า ระยะวันนี้จะไม่เต็ม แล้วถ้าไม่เต็มจริงจะเอาไงดี ใช้อุปกรณ์ตัวไหน จับระยะจริง และจะใช้อุปกรณ์ตัวไหนวิ่งต่อไปเพื่อให้ครบ 42.195  ทุกสิ่งพร่างพรูเข้ามาในหัวสมองอย่างฉับพลัน

หลังจากที่วิ่งเข้าเนินมาและเข้าสู่หาดแม่รำพึง นักวิ่งระยะฮาล์พทยอยกลับตัวมาแล้ว รวมถึงระยะมาราธอนด้วย (จะวิ่งเร็วไปไหนเนี้ย)

18 กม ผ่านไป ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อย วันนี้ไม่มีหยุดเดิน มีเพียงแต่ชะลอเข้าไปรับน้ำ ผลไม้เท่านั้น พยายามประคองจังหวะนี้ ไปเรื่อยๆ แต่ทว่า หลัง กม ที่ 20 แดดเริ่มส่องแสง ดีที่ว่า ยังเป็นการหันหลังให้แดดอยู่ จึงยังไม่ได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งยังคิดในใจเลยว่าวันนี้ตัดสินใจได้ถูกต้องที่นำเสื้อแขนสั้นมาใส่วิ่ง แทนที่จะใส่เสื้อชมรม ไม่งั้นการเสียเหงื่อคงมากกว่านี้แน่นอน

เมื่อเกือบถึงจุดกลับตัว ตามระยะจริงที่ กม ที่27 ก็ได้เจอพี่ดาบจ้ำ ตะโกน บอก บอยอยู่ข้างหลัง และก็ได้เจอบอย เมื่อเราอยู่ที่ กม ที่ 26 กว่าๆ แต่บอยกลับตัวมาแล้ว ระยะห่างประมาณ 1 กม  ซึ่งสามารถย่อระยะจากจุดกลัวตัวแรกมาได้ 1 กม แสดงว่าบอยเริ่มวิ่งตกลงอีกแล้ว  แต่ใจยังห้ามตัวเองไว้ว่าวันนี้ลงมาราธอน ห้ามเร่ง ห้ามเหนื่อย ถ้าจะแซงได้ ก็แซงได้เองจึง ตัดอารมณ์การแข่งขันส่วนตัวออกไป

หลังจากได้กลับตัว ที่ป้าย กม ที่ 28 (ระยะจริง 27 กม) วิ่งพ้นโค้งมาสักพัก ก็มาตามนัด ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ตะคริว แต่เป็นแสงแดดที่ เริ่มเปล่งประกาย ความร้อนแรง เข้ากระทบกับโสตประสาท โดยผ่านช่องทางสายตา อย่างเป็นระยะ

จึงต้องหาหนทางแก้ไข โดยการวิ่งข้ามไปอีกฝั่งถนนนึ่ง ที่ยังมีร่มเงาต้นไม้ช่วยได้บ้าง ระหว่างประคองจังหวะวิ่ง ก็แวะ ทานมะละกอบ้าง เกลือแร่บ้าง และที่ลืมไม่ได้ช็อคโกแลตประจำกาย

วันนี้ได้เตรียมช็อคโกแลต ขนานใหญ่เอาไว้เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งเริ่มทยอยหย่อนใส่ท้องทุก 5 กม ตั้งแต่ วิ่งครบ 10 กม.  การเติมน้ำตาลจากช็อคโกแลต อาจทำให้มีพลังงานการวิ่งในวันนี้ อย่างไม่ตกหล่น การเติมก่อนที่จะรู้สึกโหย ทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่

มีคนถามว่าทำไมต้องกินช็อคโกแลต ทำไมไม่ไปซื้อพวกเพาวเวอร์เจล หรือบาร์ กิน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนประหลาดที่เห็นว่า สิ่งเหล่านั้น ทำให้เราไม่ได้ใช้กำลังตัวเองในการวิ่ง ถึงแม้จะกินแล้วจะวิ่งดีขึ้น อึดขึ้น แต่เข้าพเจ้าก็ยังปฏิเสธมันมาตลอด

35 กม ผ่านไป ไม่มีอาการเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าตะคริวจะกิน บางครั้งอยากจะเร่ง แต่ก็ต้องคอยห้ามใจตัวเองอยู่ตลอด เพราะคำว่าประสบการณ์คำเดียว  ช่วงที่แดดแรงที่สุดของวันนี้ก็น่าจะเป็นช่วงขึ้นเนินก่อนกลับเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ เนินสั้นๆ ระยะประมาณ 600 เมตร ถ้าเทียบกับเนินอื่นๆ คงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับระยะมาราธอน เนินเพียงน้อยนิดก็อาจสร้างปัญหาได้

ครั้งนี้เป็นครั้งที่แตกต่างจากครั้งอื่่น เนินลูกนี้ไม่สามารถทำลายจังหวะการวิ่งในวันนี้ได้ ยังสามารถวิ่งด้วยจังหวะเดิมได้อยู่ แม้จะต้องตากแดดที่ร้อนกว่าจุดอื่นๆ และคิดอยู่กับระยะ 2 กม ว่าสามารถเร่งได้หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายก็ยังคิดว่ายังเสี่ยงอยู่ จึงไม่เร่ง และคิดจะเร่งแค่ 1 กม สุดท้ายเท่านั้น เพราะคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงไล่บอยไม่ทันแล้ว เพราะถ้าบอยหมด คงจะต้องเจอแล้ว แต่วันนี้ไม่เห็นวี่แววว่าจะหล่นเลยสักนิด

จากเส้นทางใหม่สู่เส้นทางเดิม ที่บรรยากาศเปลี่ยนไป ณ สามแยก มีขบวนผีตาโขน ซึ่งตอนนั้นหมดสภาพจากแสงแดด กับชุดที่ร้อน นอนหงายเงิบอยู่อย่างหมดสภาพ ช่างน่าประทับใจหรือสงสารดีนี่กับเหตุการณ์นี้

ผ่านจุดนี้ได้ประมาณ 200 เมตร ก็พบกับกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาชับกล่อมดนตรีพร้อมเสียงเพลง กับ หางเครื่องเต็มวง กันอย่างสนุกสนาน ร้องไป เชียร์ไป ทำให้แรงมาจากไหนก็ไม่ทราบ เห็นว่า 200 เมตร เลยลองวิ่งแบบเด้งๆ ดู ตะคริวก็ยังไม่มา  ดูนาฬิกาตอนแรกว่าจะอู้ให้เข้าเวลา 4.44.44 ซะหน่อย แต่สุดท้ายคนเยอะชะลอไม่ได้ ก็เลยจบมาราธอนนี้ที่  4.44.02 กับระยะ 41.17 กม

พร้อมกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง

ไช้ 14   บอย 25

บอย ใช้เวลา 4.43.20