หลังจากที่ภาระกิจชีิวิตที่ยุ่งเหยิงเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้ไม่สามารถที่จะบันทึก race การวิ่งตั้งแต่ งาน พันท้ายนรสิงห์
งานกรีนไลฟ์ฟิตเนส, งานหัวใจอาสาครั้งที่ 3 ,งาน รพ พระมงกุฏ ,งาน รพ.ศิริราช และ งานจันทบุรี มินิฮาล์ฟมาราธอน ที่ทุกงาน ข้าพเจ้า ทำได้เพียงวิ่งในระยะมินิมาราธอน
ซึ่งการจะมาเขียนไดอารี่ย้อนหลัง กับเหตุการณ์ประทับใจเหล่านั้น ก็คงหาได้ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งกับอรรถรสที่ได้รับมานั้นไม่ เพราะเปรียบเสมือนการดูทีวีย้อนหลัง ซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว (เว้นแต่ อยากจะบันทึก และแบ่งปันสิ่งดีดีที่ได้รับอยู่ในใจเพื่อบันทึกเป็นอีกหนึ่งความทรงจำ ก็ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง)
สำหรับภาระกิจการวิ่งในครั้งใหม่นี้ เป็นภาระกิจ ที่เรียกได้ว่า เป็นภาระกิจที่ใช้เส้นทางยาวนานในการเดินทางมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ อาจเรียกได้ว่า เป็นมหากาพย์ ไซอิ้ว ที่เดินทางจาก เมืองต้าถัง ไปอัญเชิญ พระไตรปิฏก จากชมพูทวีป อย่างนั้นก็ไม่ปาน
ระยะทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ โรงแรมลากูน่า จังหวัดภูเก็ต 829 กม. เป็นระยะทางที่ถือว่าไม่ธรรมดามาก กับการไปวิ่งระยะ 10 กม. แต่ความบ้าบิ่นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่ามีอยู่ในจิตวิญญาณของนักวิ่งทุกคน ที่มักทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้อยู่บ่อยๆ
งานลากูน่าภูเก็ต งานวิ่งนี้ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ว่าไม่มีอยู่ในแผนการวิ่งของปีนี้เลยและไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาร่วมงานในครั้งนี้เลย ถ้าไม่ได้รับการชวนจากเพื่อน,พี่ ที่ร่วมซ้อมและรู้จักกันมา 2 ปี
จากเหตุผลบางประการทำให้ได้เข้ามาช่วยงานเป็นสต๊าฟในทีมเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย กับงานวิ่งที่ทรหดที่สุดในชีวิต การนัดหมายการเดินทางสำหรับเพื่อนร่วมทางทุกคน อยู่ที่ สวนลุมพินี เวลานัดหมาย คือ 20.00 น. เพื่อเริ่มเดินทาง โดยในครั้งนี้ เป็นการเดินทางคาราวานใหญ่ มีรถในขบวน ถึง 3 คัน นอกจากนี้ที่บริเวณ นัดหมาย ยังได้พบกับทัวร์วิ่งของฟอร์รันเนอร์ และจิมรันนิ่ง ที่เป็นขาประจำในการวิ่งระยะไกลอยู่แล้ว
แน่นอนการเดินทางเป็นหมู่คณะใหญ่ ย่อมมีอุปสรรค และสถานการณ์ต่างๆ ที่ได้ให้แก้ไขกันไปตลอดทาง แต่ผลที่ออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจกับการดูแลมวลชนขนาดนี้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องความปลอดภัย
เมื่อเดินทางถึงภูเก็ต จากเวลาที่มีน้อยจากแผนเดิมที่วางไว้ จึงทำได้เพียงไปไหว้พระที่วัดฉลอง เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ จากนั้น จึงทยอยกับที่พัก และ มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน เพื่อไปรับเบอร์และชิพ พร้อมรับประทานอาหารที่งาน
เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะว่ากว่าที่คาราวานเราจะไปถึงก็เกือบ 5 โมงเย็น ซึ่งเป็นกำหนดเวลาที่สิ้นสุดการลงทะเบียน แต่ก็คิดว่าผู้จัดอนุโลมเวลาให้ เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีบรรดานักวิ่งทยอยเข้ามาลงทะเบียนเป็นระยะๆ
สำหรับการลงทะเีบียนยังสับสนอยู่ จากเดิมที่แจ้งให้ใช้บัตรประชาชนมารับ กลายเป็นมากรอกรายละเอียดในแบบลงทะเบียนใหม่ เพื่อรับเบอร์และชิพแทน ซึ่งก็ต้องอาศัยดูที่ Register Board เพื่อหาข้อมูลหมายเลขวิ่งมาบันทึกในเอกสาร
เท่าที่สังเกตุด้วยสายตา เห็นเจ้าหน้าที่แบ่งการทำงานเป็นโต๊ะ ๆ เรียงตามลำดับไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก เพื่อเดินเข้าสู่โซน Expo แสดงสินค้าของงาน
ซึ่งก็คงไม่ได้ยุ่งยากอะไรในโต๊ะที่ 1 นี้ หากเบอร์ที่แจ้งที่โต๊ะว่าหมายเลขใด รับที่โต๊ะใด ไม่ตั้งเอียงจนกลายเป็นอีกโต๊ะ ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้าแถวต่อคิวเพื่อรอรับเบอร์ เข้าใจผิดไปหลายท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย เมื่อเปลี่ยนแถว และรับเบอร์ ชิพ ถ้วยใบไม้ซิลิโคน และบัตรรับประทานอาหาร เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่โต๊ะที่ 2 เพื่อเช็คข้อมูลในชิพ
หลังจากนั้น ก็มุ่งหน้าสู่โต๊ะสุดท้าย เป็นโต๊ะที่แจกเสื้องานวิ่งนี้ เป็นอันเสร็จพิธี
อัยหย่ะ มานึกได้ตรงเห็นเ้จ้าหน้าที่ของออแกไนต์ เจ้าหนึ่งที่จัดงานวิ่งระัดับประเทศ นั่งทำงานอยู่ในนี้ด้วย ทำให้มีสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องมาลุ้นว่าจะมีเซอร์ไพรส์ ในถุงเบอร์และชิพ อีกครั้ง
หลังเพียรพยายาม ควานแล้วควานอีกในถุง พบเพียง ถ้วยซิลิโคน เบอร์วิ่ง เข็มกลัด และ ชิพ หาได้เจอสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์จะพบ เพิ่มเติมในถุง ทำให้เรียกว่าโล่งใจ ไปอีกงานว่า ไม่ต้องวิ่งก็ได้รับเหรียญให้เสียความรู้สึก และขายขี้หน้าประชาชี อีกงาน
ได้มีโอกาสไปร่วมวิ่งงานที่เค้าเรียกว่างานอินเตอร์เนชั่นแนล มาหลายงาน ก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกว่าเป็นงานตามที่เค้าประกาศแบบนั้นซะที จนมาถึงที่นี่ แค่บรรยากาศในงานเอ็กซ์โป ก็เห็นแล้วว่า ชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทยเสียอีก ไม่รู้ที่คนไทยมาน้อย เพราะมันไกลไป หรือราคาสูงไป อันนี้ ก็ต้องไปหาคำตอบอีกที หรืออาจเป็นเพราะว่าชาวต่างชาิติมาวิ่งที่นี่เยอะเพราะต้องการมาเที่ยวที่ภูเก็ต เป็นของแถม ซึ่งเหตุผลข้อหลังนี้มีความเป็นไปได้สูง
หลังจากนั้นเริ่มเิดิน ไปสถานที่จัดเลี้ยง Pasta Party ที่บรรยากาศดี อาหารมีหลากหลาย แต่ข้าพเจ้าทานไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะการเดินทางที่ยังเหนื่อยอยู่ เลยทานไปแค่เบาะๆ อาหาร 3 จาน น้ำอัดลม 6 แก้วด้วยความกระหาย ทานได้แค่นี้จริงๆ
นอกจากอาหารในงานแล้วยังมีวงดนตรีมาเล่นขับกล่อมด้วย ซึ่งประทับใจกับมือกลองสาวของวงนี้มาก แต่ประทับใจยังไง ขอเก็บไว้ในใจพอ
ภาระกิจประจำวันก่อนการวิ่งกำลังจะจบลง ด้วยการแยกย้ายสู่ที่พักตามที่ได้แจ้งไว้ เพื่อพักผ่อน แต่เดี๋ยว ภาระกิจยังไม่หมด มาทะเลทั้งที ไม่ถึงทะเล ก็กะไรอยู่ เมื่อถึงโรงแรม เบสท์เวสเทิน เพื่อส่งผู้ร่วมเดินทาง รถคันที่ 2 และ 3 เรียบร้อย กับภาระกิจ นำสัมภาระบางอย่างกลับที่พักตัวเองก็เกิดขึ้น ซึ่งภาระกิจนี้ทำให้ข้าพเจ้าถูกขังอยู่ในรถบัส ร่วม 15 นาที เพราะคนขับไม่รู้ว่าข้าพเจ้าติดอยู่ในรถ ซึ่งกว่าจะได้ลงจากรถ ก็ต้องให้รถหาที่จอดรถได้เรียบร้อยและ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำภาคพื้น เข้าไปแจ้งคนขับให้ทราบ (เกือบได้นอนในรถแล้ว)
การเดินเรียบหาด ไปสู่ที่พัก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อากาศบริสุทธิ์ เส้นทางมืด และไปสว่างเมื่อเจอร้านอาหาร เช่นนี้สลับกันไป ระหว่างเดิน มีเจ้าถิ่นมาต้อนรับเป็นระยะๆ จึงได้อาศัยถามกลยุทธ์จากกล้วยปั่นในการปกป้องตัวเองจากบรรดาเจ้าถิ่น
มีเสียงตะโกน มา ไม่ต้องกลัว มันไม่กัด มันแค่เห่า แต่ขอโทษผมเสียว ผมมาเห่าอยู่ข้างขา ผมเนี้ยนะ จนแล้วจนรอด ก็ผ่านพวกมันมาได้
เมื่อมาถึงโรงแรม เช็คอินที่พักเรียบร้อย ชำระล้างร่างกายเรียบร้อย ก็มานั่งเศร้าต่อ กับช่อง truesport 4 เมื่อ ชาราโปว่า ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับ เซเรน่า เฉกเช่นเดิม
ตี 3.50 คือเวลาตื่น มุ่งหน้าสู่สถานที่ปล่อยตัว เพื่อไปซึมซับบรรยากาศการปล่อยตัวมาราธอน จากนั้นก็ไหล ยาว เดินไปดู โน่นนี่นั่น เรื่อยเปื่อยในงาน จนกระทั่ง ถึงเวลาปล่อยตัว ของตัวเอง ที่เวลา 6.30
แต่เดิม การวิ่งในวันนี้ ตั้งใจ จะถือกล้อง วิ่งไปถ่ายรูปไป เรื่อย ๆ เพื่อดูบรรยากาศข้างทาง แต่การตัดสินใจก็เปลี่ยนไป เมื่องานนี้ พี่น้อย ให้เกียรติมาประลองวิทยายุทธ เป็นงานแรก ก็เลยกะวิ่งตามพี่น้อย ที่ตั้งใจจะวิ่งไม่ให้เกิน 52 นาที คือเป้าหมายที่ออกสื่อ (แต่เป้าหมายในใจ อันนี้ไม่รู้ต้องไปถามคุณพี่เค้าเอง)
จึงตั้งนาฬิกา ไว้ที่เวลาเฉลี่ย 5.15 ไว้ เพื่อประคองเพช ถ้าเจอพี่น้อย แสดงว่าพี่น้อยสอบตก แต่ถ้าไม่เจอ แสดงว่าพี่น้อยทำได้ตามที่ตั้งใจไว้
แก้วใบไม้ซิลิโคน ได้ถูกนำมาใช้ในงานนี้ ได้ทำความสะอาดเตรียมไว้ตั้งแต่คืนวันเสาร์เรียบร้อย สิ้นเสียงแตรวูด ดัง บรรดาเหล่าขาโจ๋ ก็วิ่งผ่านจุดเช็คชิพ (มันเท่ห์มากเลย วิ่งมินิ มีชิพด้วย) เส้นทางหลังออกจากโซนปล่อยตัว ก็ต้องวิ่งเทรล ผ่านเส้นทางหญ้าสลับดิน ระยะทางสั้นๆ ประมาณ 500 เมตร จึงเข้าสู่ถนน ที่ใช้เป็นเส้นทางวิ่ง
จุดให้น้ำจุดแรก อยู่ที่ กม กว่า ๆ จุดนี้ เป็นจุดที่แจกน้ำเป็นขวด ซึ่งขอบอกว่าชอบมากที่จุดให้น้ำไม่ประจำทางจุดนี้แจกน้ำเป็นขวด เพราะน้ำขวดนี้แหละ เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้นักวิ่งอย่างข้าพเจ้า ไม่กลัวเรื่องน้ำหมด เพราะสามารถถือไปได้ตลอดเส้นทาง น้ำในขวดสามารถทำให้ข้าพเจ้าสามารถบริหารจัดการ น้ำได้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ เป็นแสนล้าน
เส้นทางวิ่งมินิมาราธอน ปิดถนนได้ยอดเยี่ยม ไม่ต้องกลัวเรื่องรถ ข้าพเจ้าเลยอาศัยเส้นแบ่งถนนตรงกลางเป็นเส้นทางวิ่งตลอดเส้นทาง วิ่งไปสังเกตุ ผู้คนรอบข้างไป มีหลากหลายอารมณ์ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าที่ยิ้มแย้ม สนุกสนาม หรือเป็นสีหน้าที่มุ่งมั่น กับการวิ่ง และรอบข้างถนน มีชาวบ้านออกมายืนดู ถึงแม้จะไม่ได้มีมากมายเหมือนกับที่จอมบึง หรือ ที่ออกมายืนดู เพราะอยากรู้ว่า พวกนี้มาวิ่งอะไรกัน แต่สำหรับนักวิ่งถนน อย่างข้าพเจ้า ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแนวหน้าล่ารางวัล แต่กับการที่เห็นผู้คนมายืนดูกัน ทำให้มีแรงใจ แรงกำลัง ในการวิ่งให้ผ่านจุดแล้วจุดเล่าไป (เล่าอย่างกับตัวเอง ลงวิ่งมาราธอน พิโธ่)
เท่าที่สังเกต สิ่งที่น่าชื่มชม ของงานนี้ ในการแจ้งระยทางในระยะมินิมาราธอน ที่ป้าย หรือที่พื้นถนน ที่ข้าพเจ้า พบด้วยตัวเอง คือเส้นทางที่แม่นยำมาก ทำให้เราสามารถประเมินกำลังของตัวเองได้แม่นยำขึ้น
แก้วใบไม้ที่ได้รับ ก็มีประโยชน์มาก นอกจากจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรแล้ว รูปแบบที่ออกแบบมาทำให้การดื่มน้ำไม่มีอุปสรรค สะดวกต่อการวิ่งที่ไม่ได้หวังผลด้านเวลา
เส้นทางวิ่งที่มีทั้งขึ้นเนิน ลงเนินตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการเมื้อยล้า ทั้งระหว่างวิ่ง และคิดว่าหลังการวิ่งก็คงจะเกิดอาการ เป็นเส้นทางวิ่งที่สร้างการพัฒนาให้กับมัดกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น
ว่าแต่วิ่งผ่านมาเกือบ 9 โลแล้ว ก็ยังไม่พบคุณพี่น้อยของผม ทั้งที่ ผมประคอง จังหวะ 5.20-5.25 มาตลอดเส้นทาง แสดงว่าพี่น้อย วิ่งในครั้งนี้ ก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะพอใจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่อยู่ในใจ จึงตัดสินใจอัด วิ่งเต็มแรง ครั้งสุดท้าย ให้ได้ pace ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อสร้างความเคยชินในการสปริ้นก่อนเข้าเส้นชัยให้ร่างกายจดจำ
เมื่อเข้าสู่เส้นชัย ด้วยเวลา 55.10 ก็พบพี่น้อย ที่กำลังคูลดาวน์และคลายเส้นอยู่ในบริเวณซุ้มอาหารเรียบร้อยแล้ว
โดยรวมของงาน นั้นน่าพอใจ บรรยากาศดี เส้นทางดี รายล้อมด้วยนักวิ่งที่ดี น้ำถึง ระยะมาตรฐาน แต่ในสิ่งที่น่าพอใจ ก็คิดว่ายังมีสิ่งที่ควรปรับปรุง นิดนึง ก็คือ อาหารหลังเส้นชัย ไม่ค่อยอร่อย 555 (โดยเฉพาะผัดซีอิ้วแห้งมาก) แต่โดยรวมการมี ส้ม กล้วย และแตงโม สำหรับข้าพเจ้าพอใจแล้ว (เหนื่อยมากกินไม่ลงเท่าไหร่หรอก)
นอกจากนี้ คิดว่า น่าจะมีเต้นท์ ให้หลบแดดมากกว่านี้ และที่น่าเสียดายก็คือบรรยากาศหน้าเส้นชัย ในส่วนของกองเชียร์ มีน้อยไปนิด แต่ทำไงได้ คนจะมายืนเชียร์ ต้องมาด้วยใจ เกณฑ์คนมา ก็รู้สึกไม่เหมือนกันหรอก
ปล. 10 Miles อาทิตย์หน้า ขอเอาคืนนะพี่น้อย
"สถานที่จัดเลี้ยง Pasta Party ที่บรรยากาศดี อาหารมีหลากหลาย แต่ข้าพเจ้าทานไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะการเดินทางที่ยังเหนื่อยอยู่ เลยทานไปแค่เบาะๆ อาหาร 3 จาน น้ำอัดลม 6 แก้วด้วยความกระหาย ทานได้แค่นี้จริงๆ"
ตอบลบทานได้น้อยนะเนี้ย 5 5 5
พี่ใช้ ใช้คำว่า "แค่" กับ อาหาร 3จาน น้ำอัดลม 6แก้ว หรือครับ 555 ^^
ตอบลบดีจังวิ่งมินิได้เป็นขวดน้ำเลย ..
ตอบลบดีใจที่คุณไช้กลับมาupdate อีกครั้งครับ
ตอบลบขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ พยายามจะเล่าเรื่องในสนามให้ได้ทุกที่ ที่ไป เท่าที่เวลาอำนวยครับ
ตอบลบ