วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Race 123 jog and joy day part III

เครดิต รูป จาก พี่ Tom Tri-Zest
หลังจากกลับตัว ที่ กม.ที่ 5 เรียบร้อย เวลาก็เป็นไปดั่งใจที่คิดไว้ล่วงหน้า ที่ไม่เกิน 23 นาที  และเมื่อรู้อันดับตัวเองว่าอยู่ที่ 4 ก็ทำให้คลายความวิตกกังวลลงไปได้บ้าง ความเครียดที่มีสะสมมาตั้งแต่ก่อนแข่งบรรเทาเบาบางลง  ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรอง ณ ขณะนั้น คือ จะทำอย่างไร ที่จะสามารถประคองอันดับและจังหวะการวิ่งของตนเองให้สามารถยืนหยัดไปสู่ปลายทาง 10K ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในวินาทีนั้น เหลือบสายตามองไปที่ข้างหน้าเห็นแนวหน้าหญิง ที่วันนี้มาในชุดดำ ที่กำลังวิ่งนำหน้าอยู่ ดูจังหวะแล้วคิดว่าสามารถติดตามได้ จึงเริ่มเร่งเพื่อให้เข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยก็จะได้วิ่งไปเรื่อยๆ แนวหน้าระดับนี้คงคำนวณเวลามาเป็นอย่างดีแล้ว  ซึ่งทำให้ ความเร็วในกิโลเมตรที่ 6 ความเร็วกลับไปอยู่เหมือนช่วง 4 กมแรก และทำให้เข้าไปใกล้คู่เทียบเฉพาะกิจ มาก โดยคะเนจากระยะทางไม่น่าจะเกิด 3 เมตร ที่ข้าพเจ้าวิ่งตาม

อีกเรื่องที่ไม่พลาดคือการสังเกตนักวิ่งในฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่กลับตัวมา ซึ่งแน่นอน ได้เห็นพี่ที่ได้อันดับที่ 5 เมื่อปีก่อน ตามมา ซึ่งจากการคะเนด้วยสายตา ระยะห่างไม่น่าจะเกิน 200 เมตร รวมถึงบอย ที่วิ่งตามมาห่างๆ  ตามด้วย น้องที่ได้อันดับ 3 รุ่น 85 กก เมื่อปีก่อน ที่ปีนี้อัพรุ่น หนีตามบอยขึ้นไป โดยระยะทางดูแล้วตามบอยมาไม่ห่าง ไม่น่าจะเกิน 50 เมตร

สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะตอนซ้อมวันที่โอเวอร์เทรนนิ่ง ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ก็ตามมาหลอกหลอนจนได้หลังจากเร่งความเร็วจากรอบที่ผ่านมา  อาการเหนื่อยหอบและเร่งไม่ได้ดั่งใจ การหายใจเริ่มสั้น เร็วและหอบถี่ ก็เกิดขึ้น  นาทีนั้น ในใจคิดว่าอยากจะให้การแข่งขันจบลงไวไว ณ ตรงนั้นเลย แทบไม่อยากวิ่งต่ออีกแล้ว

แต่ชั่ววินาทีเสี้ยวความคิดหนึ่งก็แวบที่เข้ามาให้หัวสมองในขณะนั้น คือบทความจาก สถาวรรันนิ่งคลับ ที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาความรู้อยู่เสมอ ในแฟนเพจ มากจาก หัวข้อ "วงรอบที่สมบูรณ์" จากย่อ หน้าที่ 7 กล่าวไว้ว่า ดังนี้


"ลองเร่งความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ถ้าความรู้สึกเปลี่ยน
มีอาการเหนื่อยหอบเพิ่มขึ้นมากก็แสดงว่าเราผ่านเกินจุดนั้นแล้ว

ถ้าลดความเร็วลงก็จะเกิดอาการล้า ไม่คล่องตัว

เมื่อปรับเข้าความเร็วเดิม ความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปแล้ว



ดังนั้นต้องจดจำความรู้สึกที่ได้รับสำหรับการวิ่งครั้งต่อไป

เมื่อวิ่งถึงจุดดังกล่าวต้องรักษาระดับความรู้สึก

และจังหวะความเร็วที่วิ่งในขณะนั้นให้นานที่สุด

จะทำให้การวิ่งมีคุณภาพและเกิดประสิทธิผลที่ดีมากขึ้นครับ" -- สถาวร จันทร์ผ่องศรี

จากบทความนี้เอง ความหมายของมันอยู่ในวิกฤตในครั้งนี้ นั่นหมายความว่า ถ้า้ข้าพเจ้ายังยังดันทุลัง วิ่งที่ ความเร็ว ที่ระดับเร็วกว่า 4:40 ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ จนผิดวงรอบ  หรือว่าควรที่จะทิ้งเป้าหมายหลัก แล้วลดความเร็วลงไปต่ำกว่า 5 นาที อาการต่างๆ ก็คงไม่ดีขึ้น เพราะเมื่อวิ่งช้า ก็เกิดอาการล้า ไม่คล่องตัว อย่างที่ โค๊ชสถาวร กล่าวไว้

และอะไรล่ะ คือจุดลงตัว การคำนวณอย่างหยาบๆ ได้เกิดขึ้น  เอาว่ะ โค๊ชว่าไว้อย่างนี้ คงต้องปรับตามต้นทุนตัวเองที่มีอยู่ไปก่อน มีโอกาสหน้าซ้อมดีดี ค่อยว่ากันใหม่ สถิติ 10K จ๋า (เพิ่งมาซ้อมได้เดือนเดียวจะเอาอะไรมากมนุษย์หนอมนุษย์) ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับจังหวะ ให้อยู่ใน Pace 4:50 ทันที ซึ่งแน่นอนความรู้จากโค๊ชผู้เชียวชาญที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทางด้านกรีฑามามากมายที่นำมาเป็นทฤษฏีอ้างอิงในครั้งนี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องไม่ระเบิดระหว่างทางอย่างที่กังวล และเรื่องที่โชคดีอีกเรื่อง คือแนวหน้าหญิงที่ข้าพเจ้าพยายามเกาะติด และตามอยู่ วันนี้คงมาวิ่งจ็อคเล่นเพราะเพิ่งเห็นไปวิ่งฮาล์ฟที่พัทยามาราธอนมา ความเร็วจ็อคของน้องเค้าเลยอยู่ในระดับใกล้เคียง ในขณะที่ข้าพเจ้าพยายามกวด  และหายใจได้เกือบปกติ ทำให้สามารถมีคู่เทียบให้เกาะเคาะเท้าไปได้อย่างมีจังหวะ

แต่ในระหว่างที่ทดลองปรับโน้นปรับนี่ ถึงแม้จะปล่อยการทำลายสถิติออกไปจากเป้าหมายในวันนี้ แต่ก็ยังไ่ม่วายที่จะต้องยังคงรักษาอันดับ ระหว่างทางที่มีเพื่อนนักวิ่งแซงไป ก็สังเกตจากรูปร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตัวเล็กกว่าข้าพเจ้า ก็เลยคิดว่า คงยังไม่มีใครแซงไป และยังคงสามารถ ประคองอันดับได้อยู่

ยิ่งวิ่งยิ่งใช่ จังหวะที่ตามหา มานานนี่ มันอยู่ที่ 4:50 นี่เอง กม.ที่ 7 ผ่านไป เส้นทางกลับเข้าสู่บริเวณเส้นทางตัวหนอนที่คุ้นเคย นั่นหมายความว่าจุดกลับตัวข้างหน้าสุดทางสระน้ำจะพบจุดให้น้ำจุดสุดท้ายของงานนี้นั่นเอง  พยายามเคาะจังหวะฝีเท้าให้เข้ากับลมหายใจ โดยที่เป้าหมายยังคงเกาะข้างหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดล่ะ

กม.ที่ 8 มีฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่กว่าข้าพเจ้าเล็กน้อย เร่งแซงผ่านไป ในใจคิดเลยว่าคงเป็นรุ่นเดียวกันแน่ๆ แต่ก็ได้แต่ทำใจและมีสมาธิกับตัวเอง ในการรักษาจังหวะเอาไว้  พยามยามไม่สนใจรอบข้างเท่าใดนักเพราะเหลืออีกเกือบ 2 กม.  การซ้อมที่เคยเร่ง 2 กม. สุดท้าย ได้ความเร็วประมาณ 4.20 ต่อ กม. คงเอามาใช้ในงานนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะ 7 กม ที่ผ่านมาเป็นการวิ่งที่ใช้ความเร็วกว่าการซ้อมที่มักจะซ้อมอยู่ที่ 5 นาทีต้นๆ จึงทำให้มีแรงเหลือ ที่มาเร่งในตอนท้าย  นี่เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัย ที่หลังจากนี้จะต้องนำเอาไปปรับใช้ในการซ้อมต่อไป

จวบจน มา ถึง กม ที่ 9  น้ำที่ข้าพเจ้าดิ้นรน ถือมาตั้งแต่ออกสตาร์ท ก็เริ่มมีประโยชน์กับตัวข้าพเจ้าขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี่การทำผิดกติกาหรือไ่ม่ กับการถือน้ำมาวิ่งเอง

ข้าพเจ้าซัดน้ำ ที่มีอยู่ในขวดไปครึ่งขวด พอสร้างความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย และน้ำในขวดที่เหลือ ก็บรรจง ราดลงศรีษะทั้งหมด เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในตัวลง ซึ่งได้ผลในเชิงจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะนำฝาขวดที่อยู่ในมือซ้าย ข้ามมาเพื่อบรรจงปิดขวดเหมือนเดิม ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น อาจจะเป็นมือข้าพเจ้ากำลังสั่นอยู่ก็คงเป็นไปได้ ฝาไม่ลงล็อค และหล่นลงไปที่พื้น ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเร่งขึ้นไป ใน อีก 800 เมตรข้างหน้า

ไม่มีเวลาที่จะคิดย้อนกลับลงไปเก็บมันขึ้นมาแน่ๆ ข้าพเจ้าจึงไม่อาจที่จะทนให้ฝาอันเป็นที่รัก พลัดพรากกับขวดที่คู่กันมานาน จึงบรรจง หย่อนขวดน้อยๆ ไว้ข้างทางเพื่อมิให้มันพลากจากกัน (ขออภัยที่ทำให้สวนสกปรก มา ณ ที่นี้)

มาถึงนาทีนี้ เหมือนนกที่กำลังโบยบินเพื่อหาเสรีภาพ เสียงนาฬิกาที่ดังมาตลอด แต่ทว่าข้าพเจ้าแสร้งทำไม่ได้ยิน กลับมาก้องในหูอีกครั้ง หมายมั่นที่จะวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ให้ไปหมดที่เส้นให้ได้ มา นาทีนี้ อยากรู้แล้ว ถ้าอัดจนหมด เข้าเส้นจะมือไม้ชา ตัวเย็น ไม่มีแรง เหมือนการรีดพลังให้หมดทุกเม็ดอย่างที่ีพี่น้อย เคยเล่าให้ฟังหรือป่าว  แต่เอ๊ะ แนวหน้าที่เราเกาะหายไปไหนแล้ว บ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าแซงมาหรือนี่

มิใช่เลย น้องเค้าสปีดหนีไปไกลโพ้นห่างกันเกือบ 100 แล้วเห็นจะได้ 555+  แต่การสปรินท์ในครั้งนี้ทำให้สามารถวิ่งไล่ขึ้นมาทันคุณฝรั่งที่แซงไปเมื่อ กม ที่ 8  หลังจากแซงขึ้นไปได้ อาการหมดแรงกลับมาอีกครั้งกับชีวิตนักวิ่งวันนี้

เอาไงล่ะที่นี้ นี่มันหมดก่อนเข้าเส้นแน่ๆ เถียงไปได้ไม่ไกลกว่านี้แน่เลย คิดว่าก๊อก 2 คงหมดไปแล้วแน่ๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจ เอี้ยวคอไปทางซ้าย และก้มลงต่ำเล้กน้อย เป้าหมายอยู่ที่หน้าอก เอ้ย เบอร์ที่หน้าอกของฝรั่งท่านนั้น

"75"    75 เว้ย ฝืนบี้มาตั้งนาน คนละรุ่นซะงั้น     ข้าพเจ้าจึงเบาเครื่องลงในจังหวะ recovery อีกครั้งที่ระยะ 100 เมตร  ก่อนที่จะเข้าสู่ interval สุดท้ายในนาฬิกา คือ 300 เมตร   นาทีนั้นหลังจากสัญญาณนาฬิกาเตือนว่าให้สปีดได้แล้ว  ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อเป้าหมายที่เพิ่งเข้ามาในหัวเมื่อสักครู่ในการวิ่งให้จบที่ ต่ำกว่า 47 นาที ในระยะ 10 กิโล  นั่นหมายความว่าในขณะที่ข้าพเจ้าวิ่งผ่านเข้าจุดฟินิช เวลาจะต้องอยู่ที่ 46 นาที ให้ได้ เพราะว่าสนามนี้ระยะไม่ครบ 10 กม แน่นอน หลังจากที่ข้าพเจ้ามาร่วมงานหลายครั้ง ระยะจะอยู่ที่ประมาณ 9.8 - 9.9 กิโลเมตร แล้วแต่ลักษณะการวิ่งในแต่ละครั้ง

ข้าพเจ้าทะยานเข้าเส้นชัย ด้วยเวลาที่ข้อมือตัวเองที่  46:35 นาที  นาทีนั้นลุ้นเหมือนกันว่าเราจะนับตัวพลาดหรือป่าว เพราะน้องที่หน้าเส้นชัย นิ่งมาก เหมือนกับว่านักวิ่งคนนี้ ไม่ติดอันดับใดๆ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาในระหว่างที่ข้าพเจ้าจะก้าวผ่านตรงจุดนั้นตรงขึ้นไป

"85    อันดับ 4"    เสียงนี่มันสะท้อนก้องในหูไปชั่วขณะ  ใจคิดเรานี่ก็บวกเลขเก่งไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

หลังจากรับป้ายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามปกติของกิจกรรม ก็มีแจกเหรียญและเช็คป้าย แต่นาทีนั้นข้าพเจ้าใจรู้ว่ายังมีภาระกิจ อีก เกือบ 120 เมตร ที่จะต้องไปตามเก็บให้ครบ จึงเริ่มออกตัวเพื่อจะเร่งเก็บระยะให้ครบ

"เดี๋ยวววววววครับ    ขอ.....คืน และ รับเหรียญ พร้อมจับสลากเบอร์ด้วย" เห้ย มันมีพิธีการอะไรอีกเนี้ย แล้วอีตาคนข้างหน้าก็ช้าเหลือเกิน มัวแต่เลือกจะจับเบอร์โน้นเบอร์นี้อยู่นั่น อย่างกับรางวัลเป็นบ้านพร้อมที่ดินนี่กระไร  ข้าพเจ้าจะสปีดหนีวิ่งออกไปก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีรูเล็กๆ อยู่รูเดียวให้ผ่าน จึงต้องจำใจ รอ และรับสลากให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิ่งออกไป จนครบ 10 km เพื่อบันทึกเป็นสถิติใหม่ประจำเดือนคือ 47.11 นาที

แต่เอ๊ะ ตะีกี้เค้าขออะไรคืนหว่า  แต่ช่างเถอะวิ่งครบแล้ว  ไปคูลดาวน์ดีกว่า ข้าพเจ้าจึงได้วิ่งต่อไป เพื่อเป้าหมายคูลดาวน์ ลดการเต้นหัวใจให้ช้าลง แต่ประทานโทษ วิ่งๆเดินๆไปได้แค่ 300 ตะคริวเหมือนจะขึ้น จึงต้องยุติการคูลดาวน์ไว้เพียงเท่านี้  จึงหาที่ยืดคลายกล้ามเนื้อแบบเบาๆ และเดินกลับที่จุดสตาร์ท เพื่อหาน้ำและหาของกิน เพราะตอนนั้นรู้สึกโหยหาอาหารอย่างเต็มที่ มิได้กินเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวเองให้เข้าเกณฑ์ตามที่ผู้จัดกำหนดไว้เหมือนปีก่อน

หลังจากจัดแจงแซนวิสในงาน เติมน้ำ และเกลือแร่ พอหอมปากหอมคอเรียบร้อย จึงพบกับบอยที่กำลังสาระวน ในการหาของกินอยู่เหมือนกัน จึงชวนกันเข้าไปสู่บริเวณรายงานตัว ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตนักวิ่ง  ในระหว่างแถวที่รอเพื่อชั่งน้ำหนัก เหมือนกับนักมวยที่กำลังขึ้นชก มีทั้งผิดหวังและสมหวังกันหลังจากชั่งน้ำหนัก จนมาถึงคิวของข้าพเจ้า เท้าซ้ายค่อยๆ แตะไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้  งานนี้คุณเจี๊ยบ จ้อคแอนด์จอย เป็นผู้ควบคุมการตรวจสอบเองกับมือ  ตัวเลข เริ่มรันขึ้น จาก เลข 1 สู่เลข 2 และ เริ่มหยุดสนิทที่ เลข 4 ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจก้าวขาขวาที่ยังคงเหยียบพื้นดินอยู่ ขึ้นไปบรรจบกับขาคู่แรกที่วางอยู่ ตัวเลขเริ่มขยับจากเลข 4 ไปเลข 5 และข้ามไปสู่หมายเลข 8 และ.....

ข้าพเจ้าเริ่มมีความไม่แน่ใจว่าตาชั่งที่งานนี้จะได้ค่าที่ออกมาเหมือนกับตาชั่งส่วนตัวที่บ้าน เพราะโดยปกติเมื่อข้าพเจ้าซ้อมเรียบร้อยแล้ว หลังจากจิบน้ำ และชั่งน้ำหนัก  น้ำหนักจะอยู่ในเกณฑ์ 85 อัพ เสมอ แต่การระเบิดปอดออกไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าน้ำหนักมันจะลดลงไปมากกว่าเดิมหรือไม่

ซึ่งในระหว่างที่รอรายงานตัว ได้คุยกับพี่ช่อทิพย์ เลยน้ำหนักตัวที่ลดไป หลังการวิ่ง ก็ได้ความว่า ขึ้นอยู่กับอัตราความเร็วที่ใช้เผาผลาญไป ถ้าเทียบแล้วคล้ายๆ กับว่าถ้ายิ่งเร่งเร็ว เหงื่อที่เสียออกไป ก็จะยิ่งมากขึ้น มากกว่าวิ่งช้า

ตายละหว่า หรือว่าเราจะประมาทเกินไปที่ไม่คิดตุนเพิ่มน้ำหนักในระหว่างรอ  หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวเลข 8 หยุดนิ่ง และเลขด้านหลังเริ่มเปลี่ยนจาก 0 เขยิบไปเรื่อยๆ  ใจภาวนา อย่ามาตกม้าตายเพราะเรื่องน้ำหนักนะเฟ้ย  เพราะก่อนหน้านี้ รุ่น 85 กก  อันดับที่ 3 ก็ตกม้าตายไปหนึ่งท่านเรียบร้อยแล้ว ตัวเลขขยับและสงบหยุดนิ่งอยู่ที่  85.1  กก  คุณเจี๊ยบบันทึกลงในกระดาษใบน้อยก่อนยื่นให้ข้าพเจ้านำไปยื่นเพื่อยืนยันผลการแข่งขันกับเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ประจำโต๊ะ

ซึ่งมารู้กติกาที่หลังเพิ่มเติมอีกว่า โดยปกติ จะอนุโลมเรื่องน้ำหนัก ให้ +- ครึ่ง กิโลกรัมอยู่แล้ว (แล้วตรูจะกังวลไปทำไมเนี้ย)

ยินดีกับตัวเอง สำหรับถ้วยใบที่ 2 ในชีวิตของตัวเองจังเฟ้ยยย

บรรยากาศในขณะที่รอรับถ้วย ก็มีเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ กลุ่มนักวิ่งชาวไทยปีก่อนที่รับถ้วยในรุ่น 85 กก. ปีที่แล้ว ปีนี้มากันครบ และติดอันดับกับด้วยทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นอันดับ 3 ปีก่อน น้องพงศกรที่ปีนี้ข้ามรุ่มไปรุ่น 95 กก และคว้าอันดับ 3 ได้   ส่วนข้าพเจ้า อันดับ 4 ปีก่อน เขยิบอันดับในปีนี้ขึ้นมาเป็นที่ 3

และพี่กฤติพงศณ์ ที่ปีก่อนได้อันดับที่ 5 ปีนี้ยังอยู่รุ่นเดิมและได้อันดับที่ 4 ในปีนี้  และที่ลืมไปไม่ได้ อันดับที่ 6 ในปีก่อน ปีนี้ ทำน้ำหนักหนีขึ้นไปอยู่รุ่น 95 กก สามารถคว้าถ้วยรางวัลจากการแข่งขันใบแรกในชีวิตนักวิ่งได้ ในอันดับที่ 2 ของรุ่น ก็คือนายบอย  เพื่อนคู่ซ้อมของผมนั่นเองงงง.

ขอบคุณ จ๊อคแอนด์จอย ที่จัดรายการวิ่งแปลกๆ ขึ้นมา ทำให้ในช่วงชีวิตหนึ่ง มีลุ้นกับเค้าบ้าง จากใจ นักวิ่งอ้วนๆ คนหนึ่ง

ซึ่งแน่นอน ปีหน้า เราจะกลับมาอีกครั้ง ที่สนามนี้แน่นอน ก่อนจากที่เส้นที่เค้าขอคืนเพิ่งมารู้ตอนสุดท้ายว่าเค้าขอชิพคืนน นั่นเอง

Race 123 jog and joy day part II

ความเดิมจากตอนที่แล้ว
http://portman1975.blogspot.com/2013/07/race-123-jog-and-joy-day-part-i.html

ภาพบรรยากาศปล่อยตัวจาก www.jogandjoy.com
หลังจากที่สามารถเข้าถึงและรับรู้ความรู้สึกของชึวิตแนวหน้าในการปล่อยตัวแล้ว ว่าเป็นเยี่ยงไร ข้าพเจ้าก็กลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง ......

ในครั้งนี้มีสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยทำมาก่อนและต่อไปก็คงไ่ม่คิดทำอย่างนี้กับงานอีกไหนๆ อีกแล้ว คือ การวิ่งวันนี้ตั้งใจให้ตัวเองเปรียบเสมือน โรบอทที่ไม่มีชีวิต ไม่ฟังเสียงลมหายใจตัวเองขณะวิ่ง หรือ รับรู้ความรู้สึกใดใด นอกจาก เสียงสัญญาณดิจิตอล ที่ใช้ควบคุมตัวเอง ดั่งตัวเองเป็นหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ก็มิปาน

โปรแกรมที่วางแผนไว้

Garmin 610 workout วันนี้ถูกตั้งโปรแกรมควบคุม วิธีการวิ่งเอาไว้เพื่อทดสอบการควบคุมตนเองเอาไว้ โดยวันนี้ต้องการที่จะวิ่งสเตปและด้วยวิีธีแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง โดยวิธีการคำนวณก็ทำง่ายๆ และรวกๆ โดยนำเวลาและสถิติในอดีตที่เคยทำได้ดีที่สุด คือ 46:06 นาที มาเป็นตุ๊กตาในการตั้งโปรแกรมและกำหนดแนวทางการวิ่งเอง

คุณสมบัติของการตั้งโปรแกรมแบบ Interval ในนาฬิกาการ์มิน รุ่น 610 คือ เราสามารถตั้งจังหวะที่ต้องการเป็นช่วงระยะเวลาที่ต้องการได้ โดยหากวิ่งเร็วกว่าเวลาเป้าหมาย นาฬิกาก็จะร้องเตือนและแจ้งให้ "Slow Down" แต่ถ้าหากว่าผู้ใช้ วิ่งช้าเป็นเต่ากว่าค่าต่ำสุดที่ตั้งไว้ นาฬิกา ก็จะส่งเสียงร้องและสั่นเตือน และแจ้งข้อความว่า "Speed Up"   ซึ่งหากผู้ใช้สามารถควบคุมเวลาให้อยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ และสามารถประคองจังหวะได้สม่ำเสมอ นาฬิกา ก็จะแสดงข้อความเป็นกำลังใจให้ว่า "Desire Zone"

แต่ทว่าการกำหนดเวลาแบบนี้ในแต่ละ Interval Target โดยประเมินจากสถิติตัวเอง มากำหนด ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะสถิติที่ทำได้ในครั้งนั้น สถิติที่ดีที่สุดเป็นช่วงเวลาที่พัฒนาการ ทางการวิ่งมีมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้น และมันคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการนำมาประเมินศักยภาพในวันนี้  อย่างที่นักวิ่งทั่วไป มักจะเรียกว่า  "ประเมินต้นทุนที่แท้จริงตัวเองไม่เป็น" แต่นั่นคือสิ่งที่ยังไม่รู้ตัวก่อนที่จะวิ่ง
.................................................................................................................................................................

แผนการณ์ในการวิ่งอธิบายแบบคร่าวๆ ก็คือ จะวิ่ง จังหวะ 4:30-4:35  ในกิโลเมตรแรกและ ผ่อนความเร็วลงเหลือ 4:40-4:45 ในกิโลเมตรหลัง  วิ่งแบบนี้ จนครบ 8 กม. พูดง่ายๆ ก็วิ่งซ้ำๆ แบบนี้ 4 เที่ยว และ ตามด้วยการลงคอร์ตสั้น 400 เมตร และ 200 เมตร ไปเรื่อยๆ จนเข้าเส้น

แต่ทว่าหลังจากกระชากออกจากจุดปล่อยตัวไป จริงๆ แล้วก็ตั้งใจจะวิ่งตามฝรั่งรุ่นเดียวกันที่น่าตาละม้าย คล้ายคลึง กับ เคราร์ด ปิเก้ สุดยอดกองหลังของยอดทีมบาร์เซโลน่า แต่คุณพี่ไม่รู้วิ่งเหมือนวิ่งหนีเจ้าหนี้ที่ไหน พี่ท่านเล่นฉีกหนีไประลิ่วไม่ทิ้งฝุ่นไว้ข้าพเจ้าสูดดมเลย ข้าพเจ้าจึงทำได้แค่ตามหลัง ผู้กองยอดนักวิ่งท่านหนึ่ง ตามไปได้สักระยะ ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต สักวันหนึ่งฝันว่าจะลองวิ่งตามโยธิน นักวิ่งทีมชาติดูบ้าง คงเท่ห์ไม่น้อย แต่การปล่อยตัวเองให้วิ่งไปตามบรรยากาศและไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้ แค่เพียง 1 กม.แรก ข้าพเจ้าก็แทบจะถอดวิญญาณออกจากร่าง  ซึ่งตอนนั้นยังคิดอยู่ในใจว่า ถ้าไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลา คงวิ่งได้ไม่เกิน 3 กม เป็นแน่ๆ

แต่ทว่ายังไม่หมดแค่นั้น เพราะว่าวันนี้ข้าพเจ้าค่อนข้างมีปัญหากับนาฬิกามาก เพราะวันนี้ตั้งหน้าปัดนาฬิกาให้แสดงข้อมูลแต่ละรอบตามโปรแกรม Interval แทนที่จะตั้งดูภาพรวมเหมือนกับการใช้งานในครั้งก่อนๆ  เพราะเหตุนี้ นี่เอง เมื่อเกิดภาวะเหนื่อยกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการหูดับตาลาย จำอะไรไม่ค่อยได้ขณะวิ่ง ครั้นจะเปลี่ยนหน้าปัดมาใช้แบบเดิม ก็เกรงใจตัวเอง และประกอบกับ วันนี้ถือขวดน้ำวิ่งด้วยจึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการปรับเปลี่ยนเท่าใดนัก
สิงหา ปานดำ นักวิ่งแนวหน้าจากวินเนอร์รัน
เมื่อเข้าสู่เส้นทาง เกือบกม ที่ 2  สิงหา ปานดำ ดนักวิ่งชั้นแนวหน้า ก็ได้วิ่งขึ้นมาประกบด้านขวามือ ทักทายกันนิดหน่อย และเค้าก็จากเราไปอีกคน  เมื่ออ่านถึงบันทัดตรงนี้อย่าคิดว่า ข้าพเจ้าวันนี้สเตปเทพ แต่ความเป็นจริงคือ สิงหา  น่าจะมาสาย และอยู่ด้านหลัง กว่าจะสปีดขึ้นมาตามทัน เลยใช้ระยะทาง กว่า 1 กม. ซึ่ง จริงๆ แล้ว ก่อนเวลาตรงบริเวณจุดปล่อยตัว  มีนักวิ่งแนวหน้า หลายท่าน ถามหา สิงหา กันหลายท่าน ซึ่งก็เดาไปต่างๆ นานา ว่าคงไม่มา เพราะเมื่อวาน เพิ่งไปปล่อยของ ที่ ร.ร. สตรีวิทยา 2 มา  (อย่าคิดลึกล่ะ เมื่อวาน สิงหา เพิ่งไปคว้า อันดับ 1 ในรุ่น 30 ปี ระยะ มินิมาราธอนมา) ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดเยี่ยงนั้น ว่าวันนี้คงไม่มา เพราะอาจจะเตรียมไปเชียร์หงส์แดงในตอนเย็น หรือว่าอาจจะล้า จนมาไม่ไหว อิอิ นอกจากจะโดนแนวหน้า สิงหา ปานดำ แซงไป อีกคนที่ต้องเอ่ยถึงและลืมไม่ได้ ก็ คือ คุณป้อม litte tiger ที่วันนี้สเตปการวิ่งเนียนและเร็วมาก คิดว่าคงมีเป้าหมายในงานนี้เหมือนกัน เพราะปกติไม่ค่อยเห็นคุณป้อมในจังหวะที่มุ่งมั่นแบบนี้เท่าใดนัก..
หน้าจอ Garmin Connect

จุดให้น้ำแรก อยู่ที่ กม ที่ 2 กว่า ๆ  ณ ตอนนั้น ข้าพเจ้าใช้เวลาไปประมาณ 9 นาที  ซึ่งเีร็วกว่าแผนไปมาก หลังจากโฉบรับน้ำที่โต๊ะแรก ก็นำมาราดลงศรีษะเพื่อลดความร้อนที่สะสม เรียบร้อย จึงรีบฉกน้ำแก้วที่สอง และบรรจงจิบ ไปเล็กน้อย พอลดความกระหาย แล้วเริ่มกระชากออกไป  แต่ทว่าหลังจากออกจากจุดนี้ไปข้าพเจ้ากลับเกิดอาการเบลอร์จากเสียงนาฬิกาที่มันร้องเตือนตลอดเวลา เพราะว่าการวิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

กลายเป็นคิดไปว่า ตอนนี้ กำลังวิ่งเข้าสู่ กม ที่ 4  มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนเจอป้าย บอกระยะทางที่ตั้งอยู่ข้างทาง ว่าเป็น กม. ที่ 3  สมองที่ล่องลอยอยู่ ณ ขณะนั้น จึงคิดว่าคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเสียที มิเช่นนั้น สมองก็คงจะเบลอร์ ไปกับการนั่งคำนวณเวลา จิตไม่สงบเสียที จากนั้นจึงทำการปรับเปลี่ยน display นาฬิกา ให้กับเป็นหน้าจอปกติ ซึ่งทำให้สามารถเห็นระยะทางปัจจุบัน และเวลาที่ใช้จริง 

เหมือนเริ่มรู้สึกตัวว่าทำอะไรผิดไป จึงเลิกการควบคุมตัวเองโดยเทคโนโลยีทันที เริ่มกลับมาฟังเสียงร่างกายตัวเองในการวิ่งแทน ปรับจังหวะหายใจให้สบายขึ้น หลังจากที่ต้องหอบมาตลอด เริ่มรู้สึกตัวเบาขึ้น แต่เสียงการเตือนของนาฬิกาก็ยังตามหลอกหลอนอยู่เป็นระยะ แต่นาทีนั้นคือตัดสินใจแล้วว่าไม่สนใจ และต่อไปคงไม่ตั้งแบบนี้อีกแล้ว (ถึงตอนนี้ ระหว่างทางมีเจอเพื่อนๆ น้องๆ ที่มาร่วมซ้อมกับโค๊ชดินที่สวนหลวงวันนี้ แต่ทักทายไม่ได้ เพราะมันเหนื่อยอยู่ ทำได้แต่เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น)

เมื่อมาถึงจุดให้น้ำจุดที่ 2  ก็คือ บริเวณ กม. ที่4 ซึ่งเป็นบริเวณใกล้สนามเทนนิส ในสวนหลวง ร. 9  ก็ทำเหมือนกับที่เคยทำให้จุดแรก อีกครั้ง   จำได้ว่าจุดให้น้ำนี้เป็นจุดที่ให้น้ำ ซ้อนกันคือ จุดที่ 2 และ 3 เป็นจุดเดียวกัน แต่ตั้งโต๊ะให้น้ำกันคนละฝั่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า จุดกลับตัวที่อยู่ข้างหน้า ก็คือ อีก 1 กม. ซึ่งจุดกลับตัวตั้งอยู่บริเวณหน้า้ห้องน้ำ ในจุดที่ข้าพเจ้าและเพื่อนไปวอร์มกันก่อนแข่ง

ระหว่างทาง กม.ที่ 4-5 นี่แหละ มักจะเป็นจุดที่สังเกต หรือจุดชี้เป็นชี้ตาย สำหรับนักวิ่งที่กลับตัวมาแล้ว เพื่อเช็คอันดับตัวเอง คร่าวๆ ว่าอยู่ตำแหน่งใด ซึ่งแน่นอน คนแรกที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านมา ก็คือ นายเคราร์ด ปิเก้ ที่เห็นในตอนเช้า ซึ่งมาทราบชื่อในภายหลังว่า คือ มิสเตอร์นาธาน ควิก  แค่ นามสกุลก็ไวแล้ว 555


จากนั้น คนที่ 2 และ 3 ในรุ่น 85 กิโลกรัม ก็ผ่านไป  ซึ่งหากสายตาไม่เบลอร์จนเกินไป ขณะนี้ ตัวข้าพเจ้ายังครองตำแหน่งอยู่ในลำดับที่ 4  ซึ่งแน่นอน เมื่อถึงจุดกลับตัวที่ กม ที่5 ยังไม่มีนักวิ่งท่านใดแซงข้าพเจ้าขึ้นไปได้ ซึ่งเมื่อระยะทางวิ่งครบ 5 กม.แล้ว สังเกตจากเวลาใช้เวลาไป ไม่ถึง 23 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างพอใจ และมีความเป็นไปได้ ที่จะทำลายสถิติ 46 นาทีลงไปได้

ผ่านมาถึงจุดนี้ทำให้คิดถึงงานนี้ เมื่อปีก่อน ที่หลังจากกลับตัวแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ประสีประสาอะไร กับเรื่องการนับตัวอะไรเท่าใดนัก เพราะไม่เคยมีลุ้นในการแข่งขันอยู่แล้ว แต่มีเพื่อนนักวิ่งที่อยู่ตรงข้าม ที่วิ่งมาและยังไม่กลับตัว ตะโกนบอกนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า ว่าอยู่ที่ 5  ตายละหว่า ถ้าพี่เค้าอยู่ที่ 5 ข้าพเจ้าก็อยู่ที่ 7 อ่ะดิ  เพราะที่ 6 ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เจ้าบอย  ที่ปีก่อนยังอยู่ในรุ่น 85 รุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้า ที่ตอนนั้น น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 93-94 กิโลกรัม ซึ่งในปีนั้นข้าพเจ้าก็เร่งสปรินท์ จนแซงไปได้รับป้ายอันดับที่ 5 แืทนจนได้ แต่รับถ้วยจริงเป็นอันดับที่ 4 เพราะมีนักวิ่งฟาล์ว เพราะน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์

จบตอน 2/3

โฉมหน้านักวิ่งรุ่นใหญ่ 85-94 กิโลกรัม ปี 2013

Race 123 jog and joy day part I

เครดิตภาพ จาก บอล รักในหลวง
ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักกีฬา ผมคิดว่าหลายคนย่อมอยากที่จะประสบความสำเร็จบ้าง กับครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่แปลกใจเลย ในวันนี้ได้มาได้ร่วมงานวิ่งของจ้อคแอนด์จอย ซึ่งในปีนี้ บรรดานักวิ่งน้ำหนักสูง ได้เข้ามาร่วมงานอย่างล้นหลาม ไม่เว้นแม้กระทั่งฝรั่ง หลายๆ ประเทศที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในปีนี้อย่างคับคั่ง รุ่น รุ่น 67-71 และ 72-84 กก มีมากกว่า 100 ชีวิต

ส่วนรุ่นใหญ่ และรุ่นยักษ์ ปีนี้ก็เพิ่มขึ้น เป็น 60 และ 30 คน ตามลำดับ

แน่นอนข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในบรรดานักวิ่งน้ำหนักสูง ก่อนที่จะถึงรายการวิ่งนี้ เป้าหมายในครั้งนี้เต็มไปด้วยความหวังว่าจะประสบความสำเร็จอีกสักครั้งหนึ่ง เฉกเช่นปีก่อน ข้าพเจ้ายังคงตราตรึงกับความหอมหวลในชัยชนะเมื่อปีก่อน ที่ยังประทับจิตประทับใจจนมาถึงวันนี้ ..... แต่แล้วเมื่อถึงวันงานจริงข้าพเจ้าและเพื่อนคู่หู หลังจากจัดแจงจอดรถและเตรียมสัมภาระทั้งหมดที่จะนำมาใช้ในการวิ่งเรียบร้อย ก็ได้ฝ่าเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมากลางสวนสาธารณะชื่อดังแห่งนี้ ดั่งน้ำตาของหญิงสาวที่พร่างพรูเหมือนกำลังจะสูญเสียคนรักหนุ่มไป ดูแล้วบรรยากาศช่างเศร้าสร้อยเหลือคณา  พวกเราได้เข้าสู่บริเวณงานและเข้าไปดำเนินการรับเบอร์และเสื้อที่ได้สมัครไว้ล่วงหน้า สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ เมื่อมองลอดเลนส์เล็กๆ ก็คือ ในงานคราคร่ำไปด้วยนักวิ่งตัวใหญ่ๆ เต็มงานไปหมด ซึ่งโดยปกติจะหาชมได้ยากในงานวิ่งงานอื่นๆ ซึ่งทำให้นึกย้อนถึงตัวเองในการตั้งความหวัง และตั้งใจซ้อมมาตลอดหนึ่งเดือน ทั้งการสร้างความอดทน การลงคอร์ตสั้น คอร์ทยาว การสร้างตารางพักที่เหมาะสมกับตัว แม้กระทั่งเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองคือเรื่องโอเวอร์เทรนนิ่ง นั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผสมผสานกันเหมือนจะลงตัวแต่ว่าเหมือนกับว่ามันอาจจะไม่เพียงพอต่อการขึ้นเวทีในวันนี้

เหตุใดข้าพเจ้าถึงกับมีภาวะจิตตกเช่นนั้น เพียงอาจจะเป็นเพราะจากการเช็คสถิติผู้เข้าร่วมงานในหลายๆครั้งที่ผ่านมา สถิติของผู้ที่จะได้รับถ้วยในรุ่น 85 กก นั้นจะต้องใช้เวลาต่ำกว่า 48 นาที ซึ่งจากการซ้อมที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่าเวลาระดับนี้ ทำได้แน่นอน  แต่ตารางซ้อมที่ถูกกำหนดมาไม่ได้มีเป้าหมายที่ 48 นาทีตามที่สถิติของงานวิ่งนี้ว่าไว้

แต่เป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงมากกว่าการรับถ้วย ก็คือการทำลายสถิติตัวเองเมื่อต้นปีที่ 46:06 ลงไปเหลือที่ 45 นาทีให้ได้ แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์วันสุดท้ายของการซ้อม ที่ตัวข้าพเจ้าได้เกิดอาการโอเวอร์เทรนนิ่งขึ้น ร่างกายไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เลย ขนาดใช้ความเร็วในการวิ่ง 6-7 นาที ต่อ กม ก็ยังไม่สามารถทำได้  เมื่อกลับมานั่งทบทวนการซ้อมในสัปดาห์สุดท้าย นับแต่วันที่ไปวิ่งที่พัทยา ก็พบว่า

ถึงแม้งานพัทยามาราธอนจะไม่ได้วิ่งเต็มกำลัง แต่การสปริ้นท์ด้วยความเร็ว 5 กิโลเมตรสุดท้ายกับเส้นทางขึ้นเนิน นั้นสร้างความบอบช้ำให้กับกล้ามเนื้อบางส่วนไป ถึงแม้ว่าในวันต่อมาจะซ้อมเบาๆ เพื่อรักษาสภาพก็ตาม แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการโอเวอร์เทรนนิ่งก็คือ ตัวเองลืม โปรแกรมพัก เพราะว่าหลังจากงานพัทยา ข้าพเจ้าก็ยังคงตะบี้ตะบันซ้อมอีก 4 วันติด เลยทำให้ร่างกายเกิดการปฏิเสธทุกสิ่งอย่างที่คิดจะทำ และนี่ก็คือเหตุผลหลักของการจิตตก ในครั้งแรก

กับเหตุผลที่จิตตกในครั้งที่ 2 ก็คือเมื่อเข้าไปรับเบอร์และชิพเรียบร้อย จึงได้เห็นว่า ปีนี้ในรุ่นนี้ มีนักวิ่งมาลงทะเบียนมากถึง 60 ท่าน  จิตใจที่เคยฮึกเหิม กระหายอย่างราชสีห์กลับกลายเป็นความรู้สึก ว่าหัวใจมันหวิวอยู่ตลอดเวลา (ไม่น่าไปดูเลยว่ามีกี่คน ปีก่อนข้าพเจ้าได้เบอร์ฟรีมา และไม่มีชิพ ทำให้ไม่รู้จำนวนนักวิ่งในรุ่นทั้งหมด)

"เอาว่ะ" ใจคิด เรามันก็ศิษย์มีครู ถึงแม้มันจะกะโหลกกะลาไปบ้าง แต่อย่างน้อย เราก็มีความหายในชัยชนะในวันนี้ ซึ่งถ้าวันนี้ทำไม่ได้ ก็ต้องรอไปอีกหนึ่งปีแน่ๆ เพราะลำพังฝีเท้าระดับนี้ คงยากที่จะไปสอยถ้วยจากงานในปัจจุบัน (อ้าวเป้าคือสถิติตัวเอง ไหงจิตใจโลเลไปเรื่องถ้วยอีกล่ะ นี่แหละน่ากิเลสของมนุษย์)

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงเริ่มสลัดความกลัวที่เกิดขึ้นในเบื้องหน้าให้ลดลง ข้าพเจ้าจึงได้ชวนเพื่อนๆ และน้องๆ ไปร่วมวอร์มเพื่อเรียกเหงื่อ และกระตุ้นกล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่ที่ใช้ประจำ แต่ก็ไม่ละเลยกับมัดเล็กๆ ที่ใช้น้อย การวอร์มวันนี้เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเล็กน้อย เนื่องจากหลายงานที่ผ่านมาต้องยอมรับเลยว่า แทบจะไม่ได้วอร์มก่อนวิ่งเลย ถ้ามีก็มีในระดับที่น้อยมาก

การยืดเหยียด เริ่มนำกลับมาใช้เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับร่างกายส่วนต่างๆ จนเรียบร้อยและแน่นอนสิ่งที่ลืมไม่ได้ในขั้นตอนสุดท้ายของสุดยอดวิชา คือ การออกไปดริลล์ และสไตรด์ เมื่อทำเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ย้ายตัวเองมุ่งหน้าสู่เวทีประลองยุทธ์ ซึ่งวันนี้ข้าพเจ้าจะต้องไปยืดพื้นที่แนวหน้าให้ได้ เพื่อความได้เปรียบในเชิงพิชัยยุทธ

เวลา 5.50 เป็นเวลาที่ข้าพเจ้าสามารถปักหลักได้ที่บริเวณจุดกักตัว เพื่อรอเคลื่อนพลเข้าสู่จุดสตาร์ท  โดยในใจคิดว่า 10 นาที ที่เหลือ ก็รอให้ร่างกายปรับจังหวะหัวใจให้ลดลง แล้วค่อยๆ หาพื้นที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจให้สูงขึ้น เพื่อรอสตารท์ออกจากคอก

แต่แล้ว เมื่อผ่าน 6 นาฬิกาไป ก็ไม่มีเสียงตอบรับ หรือเสียงปล่อยตัวใดใด แต่กลับได้ยินไป ว่า จะปล่อยตัวนักวิ่งระยะมินิมาราธอน ที่เวลา 6.10 น. เนื่องจากนักวิ่งยังรับเบอร์ไม่เรียบร้อย บลา บลา ๆๆๆ

แต่จนแล้วจนรอด ข้าพเจ้าวอร์มจนหยุดวอร์ม ก็ยังไม่ได้ฤกษ์ปล่อยตัวเสียที จนกระทั่งผู้จัดแจกเบอร์หมดเรียบร้อย จึงได้ฤกษ์ปล่อยตัวที่เวลา 6.19  ชิ ให้ตรูรอตรงนี้ ครึ่ง ชั่วโมง รู้มั้ย มันเหม็นกลิ่นตัว (ปีหน้าควรปรับให้รับเบอร์ล่วงหน้าก่อนจะดีกว่าไม๊ ที่พูดไม่ได้ว่าเห็นแก่ตัวไม่มีน้ำใจให้คนอื่น แต่อยากให้รู้ว่าการรอนานๆ เครื่องมันดับได้)

ในช่วงระหว่างที่รอนั้น ก็ได้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์สายตาขึ้นกับบุคคลรอบข้างนิดนึง สืบเนื่องจากที่มีนักวิ่งไม่ปรากฏสัญชาติหรือสังกัด เพราะข้าพเจ้าไม่คุ้นหน้าเลยไม่ว่าจะสนามใดใด ได้แสดงอาการแอบชำเลืองเบอร์วิ่งของนักวิ่งร่างยักษ์ เพื่อเป้าหมายในการเช็ครุ่นน้ำหนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร เพราะคิดว่าใครๆ ก็คงทำกัน แต่สิ่งที่ประหลาดมากคือ เค้ามองตลอด เผลอเป็นมอง เผลอเป็นมอง จนกระทั่งมองตรงๆ แบบไม่มีอาการแอบใดๆ หรือว่าเค้าจะปิ้งเพื่อนเราซะแล้ว 5555+

ซึ่งก็ได้ทราบความตอนหลังจากเพื่อนว่า ช่วงปล่อยตัว เถียง กันตลอดเส้นทาง

"เถียง" ในที่นี้ มิใช่การ พูดจาปฏิโลม หรือ พูดจาต่อว่ากัน  แต่ "เถียง" ในที่นี้ คือการแสดงอาการไม่ยอมกันในเชิงปฏิบัิติ  ซึ่งหลังจากปล่อยตัว ไอ้บอย เพื่อนข้าพเจ้า ก็ออกไปตามจังหวะ แต่ "เกลอ 95+" ที่แอบมอง ก็ไม่ยอม พยายามสปีดหนี ไม่ยอมให้แซง พอแซงนำได้ก็ผ่อน เป็นอย่างนี้ อยู่ระยะทางพอสมควร จนกระทั่งไอ้บอย คงตบะแตกหรือไม่ก็รำคาญจนทนไม่ไหว วิ่งขึ้นไปทาบ ลองจินตนาการดูเหมือนกับท่านกำลังขับรถฝ่าไฟแดงและจ่าขับรถเข้าประกบท่านหมายจะออกใบสั่งอะไรเยี่ยงนั่น  ภาระกิจวิ่งขนาบเมื่อเรียบร้อย ไอ้คุณเพื่อนของข้าพเจ้า ก็กระซิบที่ข้างหูเบาๆ เอ้ย หันไปคุยด้วยวลี "คุณวิ่งไปตามจังหวะคุณเถอะครับ บลาๆๆๆๆๆๆๆ (ตูจำไม่ได้แล้ว)" จากนั้น ไอ้คุณบอย ก็ชิงเถียง และ หายจากไป .......

กลับมาทีฟากฝั่งของตัวเอง เมื่อได้ยินสัญญาณปล่อยตัว ข้าพเจ้าในใจคิดว่าอยากรู้ว่าแนวหน้าเค้าวิ่งกันยังไงฟร่ะ จึงกระชากวิญญาณ ยูเซนโบ ตามกลุ่มนักวิ่งแนวหน้าออกไป "เห้ย ก็วิ่งไม่เร็วนิหว่า" ในใจคิด "จะออมแรงกันไปถึงไหนเนี้ย หรือว่า ดูเชิงกันอยู่" อันนี้โม้ จริงๆ ความรู้สึกตอนนั้นมีอยู่สองอย่าง

ประการแรกที่อยู่ในจินตนาการ หาใช่เรื่องเซ็กซ์ อย่างเสี่ยบุญโอ นำผลวิจัยมาแชร์ให้ดูว่า นักวิ่ง 2/3 มักจินตนาการเรื่องเซ็กซ์ขณะวิ่ง บ่ะ ใครมันคิดว่ะ วิ่งก็จะเหนื่อยตายอยู่แล้ว ยังคิดจะมีเซ็กซ์อีก อยากรู้จริงๆ ว่าผลวิจัยนี้ เค้าไปสัมภาษณ์ใคร ข้าพเจ้าจะได้ไปขอวิ่งประกบด้วย  สำหรับสิ่งที่อยู่ในจินตนาการของข้าพเจ้าอย่างแรก คือ พวกพี่จะตะบี้ตะบันวิ่งเร็วกันไปไหนเนี้ย กูเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว หอบเป็นหมาหอบแดดแล้ว

"ปี๊ปๆๆๆๆ"  ดังขึ้นตลอด แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ายอมรับว่าหูดับไม่ได้สนใจ เสียงรอบข้างเลย จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยหอบแบบแปลกๆ  ค่อยๆ ยื่นแขนซ้ายขึ้นมาและใช้สายตากวาดตัวเลขที่หน้าปัดนาฬิกา ที่แสดงอยู่ในขณะนั้น ข้าพเจ้าแทบหน้าหงาย เมื่อพบว่า สิ่งที่แสดงอยู่ในขณะนั้น คือ

"0.50 กม.  pace 03:30"  เสียง "ปี๊ปๆๆๆ" ที่ดังมาตลอด มาจากอุปกรณ์ที่เตือนว่า วิ่งเร็วไป

เห้ยยยยยยยยย มันมาได้ไงเนี้ย ความหวาดกลัวจากอาการโอเวอร์เทรนนิ่ง เริ่มตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง การตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีิวิตนักกีฬาได้เกิดขึ้น โดยการปรับจังหวะ วงรอบของการก้าวขา ให้ลดความถี่ลง จังหวะหายใจที่ยาวขึ้นจน รู้สึกสบายขึ้น ซึ่งการปรับเปลี่ยนเช่นนี้ต้องแลกด้วยการยอมรับที่จะให้นักวิ่งที่อยู่ด้านหลัง เริ่มแซงไป ไม่ใช่ทีละคนสองคน แต่เรียกว่าแซงยกแผง

ไม่น่าเชื่อว่า บรรยากาศรอบข้าง จะมีแรงดึงดูดทำให้ ถูกกระชากไปอย่างไม่รู้ตัว ดีที่ว่าข้าพเจ้าเป็นนักวิ่งแนวหลังที่พึ่งเทคโนโลยีจากนาฬิกา GPS มากกว่าการรอคอยโชคชะตา เชื่อป้ายบอกระยะของผู้จัดงาน หรือต้องมาลุ้นว่างานวิ่งงานนี้จะมีป้ายบอกระยะทางหรือไม่ จึงทำให้สามารถรอดพ้นจากบ่วงพันธนาการความเร็วลงมาได้

จินตนาการอีกอันที่อยู่ในใจของตัวข้าพเจ้าคือ รู้คำตอบที่คาใจมานานแล้วว่าบรรดาแนวหน้าเวลาปล่อยตัวรู้สึกยังไง

จบตอน 1/3






วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Race 122 พัทยามาราธอน 2013


พัทยา สนามที่เริ่มวิ่งตั้งแต่ปี 2010 / 2011 ที่ลงฮาล์ฟ และ ปี 2012 ที่ลงมินิ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากการวิ่งทั้งสามครั้งที่ผ่านมาว่าสมควร ลงวิ่งแค่ระยะมินิ เนื่องจากสภาพสนามและสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมกับตัวข้าพเจ้าเอง ที่ไม่เคยประทับใจกับเส้นทางที่นี่เลย การมาวิ่งก็เพื่อมาร่วมงาน เก็บเกี่ยวบรรยากาศกับเพื่อนๆ ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายเมื่อมาเยือนที่นี่ไปแล้ว

มาในปีนี้ ก็อีกเช่นเคยที่ข้าพเ้จ้าก็ยังยืนยันที่จะวิ่งระยะ 11 กม.เท่านั้น แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนคือ มาเพื่อลบรอยแผลในครั้งเก่าที่ทำให้ข้าพเจ้าเดี้ยงยาวถึงสิ้นปีจากการเร่งแล้วกล้ามเนื้อกระตุก ที่หน้าโรงเรียน กม.ที่ 8 หรือ 9 จำไม่ค่อยได้   เป้าหมายในครั้งนี้คือวิ่งแล้วต้องไม่เจ็บ เป็นเป้าหมายแรกและเป้าหมายเดียวในวันนี้

เครดิตภาพ รุจน์ shutterrunning

ที่บริเวณจุดปล่อยตัว ด้วยที่วันนี้มีเป้าหมายวิ่งแล้วไม่เจ็บ แต่แอบแฝงไปด้วยการทดสอบการเร่ง 5 กม.สุดท้าย ก่อนที่จะถึงอีเว้นต์ที่ตัวเองตั้งเป้าไว้ในอาทิตย์หน้า จึงหนีตัวเองออกไปอยู่หลังสุด เพื่อที่จะได้ออกสตารท์ไปอย่างช้าๆ  ซึ่งนะจุดปล่อยตัวก็ได้ยืนประกอบกับพี่ภาคแห่ง เซนสื่อรักสื่อวิญญาณ ที่ปัจจุบันผันตัวเองตาม ดร.ต้าร์ และตูน เข้ามาร่วมงานวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นประจำ หลังจากทักทายพอหอมปากหอมคอ ประเภท น้องเค้างง ว่ามันเป็นใคร ก็เริ่มออกวิ่งตามจังหวะช้าๆ เพจ 8 ไปเรื่อย ๆ เก็บบรรยากาศนักวิ่งสาวๆ ข้างทางไปเรื่อยๆ เป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพใจอย่างแท้จริง


เครดิตภาพ รุจน์ shutterrunning
ระยะทางเมื่อวิ่งเข้าสู่ถนนสุขุมวิท ถ้าใครที่มาวิ่งที่นี้ประจำจะรู้ว่าเป็นเส้นทางขึ้นเนินที่ใช้กำลังมากกว่าปกติ  เนินยาวๆ ตามถนนหลวงเส้นนี้ ทำให้บรรดานักวิ่งไม่ประจำทาง ถึง กับเป่าปาก และเริ่มเดินกันมากขึ้น คาดว่าจะเกิดจากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกันเท่าไหร่

เมื่อถึง กม. ที่ 4 ก็เริ่มแปลกใจเมื่อมี เคนย่า และนักวิ่งบางส่วนวิ่งสวนทางมา  เห้ยปีนี้เค้าเปลี่ยนเส้นทางวิ่งเหรอ ทำไม ไม่แจ้งนักวิ่งเลย ข้าพเจ้ายังไม่ทันที่จะคิดอะไรไปไกลกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกน ออกมาและเหมือนจะวิ่งตามนักวิ่งกลุ่มนั้นไป  "ผิดทาง กลับมาทางนี้ครับ"  เสียงที่แว่วเ้ข้าสู่โสตประสาท ที่ทำให้ข้อสงสัยถูกขจัดไป และยิ่งชัดเจน เมื่อเห็นกลุ่มนักวิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้าพเจ้ากำลังเลี้ยวซ้ายบริเวณห้างชื่อดัง

วันนี้ กลุ่มนักวิ่ง ที่รู้จักส่วนใหญ่จะทำเวลาได้ดี ณ จุด 4 กม. ที่ข้าพเจ้ากำลังผ่าน เป็นระยะ ทาง 7 กม สำหรับผู้ที่วิ่งกลับมาตรงฝั่งตรงข้าม หมายถึงข้าพเจ้าตามถึง 3 กม. ที่ทิ้งข้าพเจ้า เทียบเป็นเวลาก็คงไม่ต่ำกว่า 15 นาที หากจะไล่ให้ทัน บ้าไปแล้ว  ใครวิ่งตามก็บ้าแล้ว ข้าพเจ้าคิดในใจ แต่การกระทำของขา หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อ สัญญาณนาฬิกา แสดงระยะทาง 4.5 กม. ยังไม่ครบตามที่ตั้งใจ ข้าพเจ้าจึงเริ่มหยิบปังตอขึ้นมาพื่อสับ เอ้ยไม่ใช่ เริ่มเปลี่ยนวงรอบของขา ปรับความเร็วขึ้น เพื่อทดสอบ 5 กม. สปีดความเร็วว่าอาทิตย์น่าจะไหวหรือไม่  

เครดิตภาพ ตุ้ม shutterrunning.com
การวิ่งหลัง กม.ที่ 5 ไม่สนุกเหมือนการวิ่งช่วงแรก แต่ก็แลกมาด้วยความเร้าใจ ในขณะที่ไล่เก็บกลุ่มนักวิ่งทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักไปทีละคน เมื่อเพชรฆาตออกล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น ความเร็วที่เร่งขึ้นโดยฉับพลัน ทำให้ เมื่อวิ่งไปได้ 2 กม. หลังจากเร่ง เริ่มส่อสัญญาณไม่ดี ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ ปรับความเร็วลง เพื่อให้อาการจุก ลดลง ทั้งเอามือล้วงเข้าไปที่ลิ้นปี่ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลาย จากนั้นอาการจึงดีขึ้น คาดว่าคงเกิดจากอาการ ละทิ้งกิเลสไม่ลง เมื่อเห็น คู่แข่งหลายๆคนที่วิ่งทดสอบกันบ่อยๆ ห่างกันเหลือเกิน


ความเร็วเริ่มปรับขึ้นให้อยู่ในจังหวะที่เร็ว แต่ไม่มากปริ่มๆ อยู่ที่ ปลาย  4 นาที ทำให้เริ่มประคองจังหวะตัวเองได้ และรู้เลยว่า อาทิตย์หน้าที่จ้อคแอนด์จอย คงวิ่งเร็วกว่านี้ไม่ได้แน่นอน มาถึงตอนนี้บรรยากาศเมื่อปีที่แล้วเริ่มวิ่งเข้าสู่โสตประสาทอย่างไม่ได้ตั้งใจ  หน้าโรงเรียนนี่เอง เมื่อปีก่อนที่เรารับน้ำเสร็จแล้ว กล้ามเนื้อกระตุก  สมองอีกฝั่งสั่งให้ข้าพเจ้าค่อยๆ ชะลอความเร็วเพื่อรับน้ำ ภาพเมื่อปีก่อนที่อยู่ในสมองอีกด้านกลับเข้ามาซ้อนกับความคิดในปัจจุบัน  ........... "ไม่นะ เราจะเจ็บแบบเดิมไม่ได้ อาทิตย์หน้ามีงานใหญ่สำหรับเรารออยู่"  .......... ข้าพเจ้าตัดสินใจชะลอความเร็วจนแทบจะเดินเพื่อสลัดภาพในมโนภาพออกไปให้หมดสิ้น  เมื่อรับน้ำดื่มเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มทำในสิ่งที่ปีก่อนไม่ได้ทำ เพื่อลบ ความรู้สึกด้านลบออกไป  น้ำถูกนำมาล้างหน้า ล้างแขนเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มจ็อคเบาๆ ออกจากสถานที่แห่งนี้ไป

ฝันร้ายเมื่อปีก่อนถูกทำลายกำแพงลงไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับความเร็วขึ้น เพื่อให้ไล่ระยะทางของบรรดาเหล่านักวิ่ง เพื่อคู่แข่งระหว่างทางให้สั้นลงที่สุด

จนในที่สุดก็เข้าเส้นชัย ได้ในเวลา  1:01:28  ตามเวลาที่ข้อมือตัวเอง  พร้อมแล้วสำหรับจ้อคแอนด์จอยมินิมาราธอน  อาทิตย์หน้าเจอกัน


เครดิต ภาพ จาก คุณเตือน บางขุนเทียน
        
เครดิต ภาพ จาก คุณเตือน บางขุนเทียน