วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Race 126 PEA #4

เช้านี้ เป็นเช้าของวันวิ่งที่ความรู้สึกไม่เหมือนที่ผ่านมา  อาจจะคงเป็นเพราะ เป็นเช้าแรกที่รู้สึกเฉยๆ กับการไปวิ่ง ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ ที่จะมาบิ้วท์ ให้รู้สึกกระหาย หรือฮึกเหิม ต่อการแข่งขันไม่

ก่อนที่จะถึงวันงาน ข่าวคราวของงานวิ่งที่นี่ นอกจากการแถลงข่าวแล้ว กลับนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งแตกต่างจากงานอีกงาน ณ กลางเมืองหลวง ที่บัตรวิ่งที่เปิดจำหน่ายหมดก่อนงาน 1 สัปดาห์ จนต้องวิ่งวุ่นผลิตเบอร์สำรอง ออกมาจำหน่าย

ความกังวลของผู้จัดงาน PEA ณ เช้าวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าคิดว่า เจ้าภาพคงกลุ้มใจกับงานที่มีนักวิ่งมาร่วมงานน้อย เพราะตอนเช้าวันงานประมาณตี 3 - 4  ฝนได้ตกลงมา

แต่เหตุการณ์ความว่างเปล่านั้น ก็คงเกิดขึ้นได้แค่ในมโนภาพของข้าพเจ้าเพียงเท่านั้น เพราะว่าในโลกของความเป็นจริง  เช้าวันงาน เต็มไปด้วยนักวิ่งที่มาสมัครที่หน้างาน จนกระทั่งเบอร์หมด เสื้อหมด ซึ่งทำเอาเจ้าภาพ ตลอดบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันงาน หน้าบานเป็นจานกระโ้ด้งก็มิปาน

ซึ่งข้าพเจ้าจะบอกว่า ท่านตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องแล้ว เพราะในบรรดาสนามวิ่งที่ข้าพเจ้าไปวิ่งมาใน กรุงเทพฯ  สนามนี้ เป็นสนามที่ ติด 1 ใน 3  สนามวิ่งในดวงใจของข้าพเจ้า เพราะอะไร ข้าพเจ้าถึงกล้าที่จะการันตีกับงานเล็กๆ ที่ผู้จัด ใจใหญ่มาก เยี่ยงนี้

ปัจจัยที่กล้าการันตี มิใช่มาจากงานนี้ แจกตุ๊กตา สัญลักษณ์ประจำ กฟภ  หรือ กำไรทำมือ ที่จุดเช็คพอยต์ และหาใช่เสื้อยืดคอปก ที่ มูลค่าทั้งหมด คิดว่ามีค่ามากกว่า ค่าสมัคร 300 บาท ที่จ่ายไป แต่กลับเป็นสิ่งที่ประัทับใจของที่นี่ กลับเป็นความตั้งใจของผู้จัดงานที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด (แต่ปีนี้พลาด เรื่องเข็มกลัดที่หมด ซึ่งทำให้ความรู้สึกเสียไปบ้าง)  

เส้นทางที่ผู้จัดงาน สามารถวิ่งเข้าไปในสนามกอล์ฟนอร์ธปารค์ กับเส้นทางวิ่งที่สวยงามและมีความปลอดภัย จากการวิ่งถนนโลคัลโรด   ขณะวิ่งถ้าไม่แข่งกันทำเวลากันมากเกินไป ท่านก็จะได้รับโอโซนอากาศที่ค่อนข้างบริสุทธิ  เพราะมียวดยานสัญจรน้อยในเช้าวันงาน  และที่สำคัญ มิต้องโดนผู้ใช้รถใช้ถนน อวยพร ตลอดเส้นทางการวิ่ง

พูดถึง 1 ใน 3  สนามวิ่ง ในเมืองหลวง ที่ข้าพเจ้าประทับใจ  ยังมี อีกสองที่  คือ งานอดิดาสคิงส์ออฟเดอะโรดปี 2012 ที่ปิดถนนสาทร วิ่งกันตอนตี 4  ไม่รู้เป็นอะไรคิดถึงถนนเส้นนี้ทีไร ขนลุกทุกที กับการปิดถนนกันรถของเค้าที่เรียกว่าต้องยกนิ้วให้ ซึ่งสนามนี้เป็นสนามที่ข้าพเจ้าอยากให้ปิดถนนจริงๆ 100% แล้ววิ่งกันตอนสว่าง  วิ่งกันให้เต็มถนน คงรู้สึกดีมิใช่น้อย  ลองมโนภาพ แล้วท่านจะเห็นผู้คนเรือนหมื่น ฉากหลังเป็นอาคารสำนักงาน สถานทูต สถานีรถไฟฟ้า  อาจจะถือเป็นการสร้างสัญลักษณ์ของเมืองใหม่ก็เป็นได้และผู้ร่วมงานก็คงจะเยอะมาก เพราะอยู่กลางเมือง การสัญจรไปมาสะดวก

ส่วนอีกสนามที่ ที่ข้าพเจ้าประทับใจ ก็คือ ที่ไหน โปรดติดตามต่อตอนหน้า.......

........................................................................

บรรยากาศวิ่งปีนี้ แตกต่างจากปี 2011 ที่ข้าพเจ้ามาเยือน เพราะในครั้งนั้น พลพรรคเสื้อเหลือง ชมรมเซ็นทรัลพระราม 2  ขนกันมาเต็มพิกัด  มีการขับเคี่ยวกันตลอดเส้นทางเป็นที่สนุกสนาน แต่ปีนี้ จากอาการบาดเจ็บ หรือจุดเปลี่ยนของเพื่อนบางคนที่เกิดขึ้น ทำให้บรรยากาศของเพื่อนๆ ร่วมชมรม ลดลงไป แต่ก็ไม่ทำให้บรรยากาศการแข่งขันด้อยลงไปแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งเราก็ต้องสร้างเป้าหมายใหม่ ขึ้นมาจรรโลงและกระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา

เครดิต รุจน์ shutterrunning

หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จึงมาเตรียมตัวที่จุดสตาร์ท พร้อมน้องโก และบอย  วันนี้น้องโกบอกว่าขอวิ่งเกาะ เพราะนาฬิกาวันนี้ไปทำธุระไม่ยอมให้ใช้งาน ซึ่งการรอปล่อยตัวอยู่ประมาณแถวที่ 12-13 จากข้างหน้า เป้าหมายในวันนี้ จริงๆ ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งให้ดีกว่าครั้งที่แล้วเมื่อปี 2011  แต่สืบเนื่องจากอาการบาดเจ็บ จึงเปลี่ยนมาเป็นวิ่ง 10K ให้ต่ำกว่า 50 นาที ก็เพียงพอ 


พอสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ข้าพเจ้า ก็เริ่มเดิน ออกไปเรื่อยๆ  ประมาณ 100 เมตร ถึงจะเริ่มมีพื้นที่ให้วิ่งได้  

ซึ่งจริงๆ แล้ว อยากให้งานทุกงานกันพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการใช้ความเร็วบ้างก็ดี เพราะทุกวันนี้ มักมีนักวิ่งที่วิ่งช้า มักชอบไปยืนอยู่แถวหน้า แล้วพอสตาร์ท ก็มักจะเกิดปัญหากับนักวิ่งที่ใช้ความเร็วที่อยู่ด้านหลังพอสมควร นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวนักวิ่งด้วย

วินาทีนั้นเหลือบเป็นเห็น บิ๊กกล้วย ที่เริ่มเร่งความเร็วออกไป ข้าพเจ้ามองซ้าย มองขวา จึงเร่งฝีเท้าตามออกไป จนพ้นขอบรั้วของ กฟภ  ออกสู่ถนนใหญ่ หมายจะเกาะไปเรื่อยๆ  ทำให้ภาพครั้งเมื่อปี 2012  ย้อนกลับขึ้นมาในสมอง  ในปีนั้น ก็เป็นแบบนี้ เพราะเมื่อข้าพเจ้าเหลือบเห็นเพื่อนที่ซ้อมด้วยกัน จึงวิ่งเกาะไป ทำให้ความเร็วเกินพิกัด แล้วยางก็แตกเมื่อถึงจุดกลับตัวกลับย้อนเข้ามาอีกครั้ง  ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไป ความเร็วของพี่บิ๊กกล้วย ก็ลดความเร็วลง คงปรับเป็นการวิ่งจังหวะปกติ  อ้าวพี่ .......  เครื่องผมติดแล้ว ผมจึงดึงจังหวะวิ่งของผมต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปเจอหนุ่มใหญ่ ชาวพิษณุโลก ที่วันนี้มาในชุดสีชมพูหวานแหว กระทาชายนายนั้น ก็คือ โจ้ ธนาคารออมสิน  ข้าพเจ้าจึงวิ่งตามไปอยู่ห่างๆ ซึ่งสังเกตุว่าหลังจากโจ้ เปลี่ยนไปซ้อมวิ่งระยะกลาง คือ 800   1500  เมตร  สปีดต้นของโจ้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งหลังจากวิ่งไปได้พักนึง เมื่อถึงจุดให้น้ำแรก  เมื่อรับน้ำเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงวิ่งตีขนาบหมายที่จะตีเมืองพิษณุโลกให้แตกไปในบัดดล

ซึ่งหลังจากทักทายกัน ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อย เพราะยังรู้สึกว่าร่างกายยังพอที่จะเร่งอยู่ได้ ก็เริ่มมีการบี้ตามกันมาเป็นระยะทางพอประมาณ ซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็คือลุงสับปะรดขลุ่ย ผู้มีลีลาสะบัดปากกาเหมือนสะบัดผมบ๊อบ อยู่ในเส้นทางเดียวกัน และ พอเพียงที่จะเร่งแซงสาวหมวยจากชลบุรี ที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งหลังจากเร่งแซงไป มีการทักทายแซวกันเล็กน้อย  สาวหมวย ก็เริ่มเร่งตาม และแซงกลับมา  สร้างความสนุกสนานระหว่างเส้นทางวิ่ง สำหรับกลุ่มแนวกลาง เน้นความฮาตลอดเส้นทางวิ่งอย่างเราๆ 

ซึ่งแน่นอน ข้าพเจ้าคงไม่ยอมให้คุณมอร์ แซงตลอดรอดฝั่งได้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะเป็นวงรอบ จนแซงและข้าพเจ้าก็เร่งหนีออกไป  ครั้งนี้ถือว่าเป็นการแซงเร็วที่สุดมั้งเท่าที่จำได้เพราะทุกครั้งกว่าจะไลุ่คุณมอร์ทัน ก็ กิโลเมตร ที่ 7-8 แล้ว  แต่การเร่งครั้งนี้ของข้าพเจ้าเป็นการเร่งเพื่อหมายไปตายเอาดาบหน้า  เพราะนาทีนั้นเริ่มรู้สึกตุ่ยๆ ที่ข้อขาขวาของข้าพเจ้าขึ้นมาอีกแล้ว  แค่ 3 กม ยังออกอาการเยี่ยงนี้ 7 กม.ที่เหลือ ถ้าจะไ่ม่รอด วินาทีนั้นคิดอย่างเดียว ว่าอย่าไปคิดมัน ไปคิดเรื่องอื่นแทน ชมนก ชมไม้ หรือไปวิตกเรื่องอื่นแทน คงจะดีกว่า  นาทีนั้น จึงต้องปล่อยให้ลุงสับปะรดวิ่งเดียวดายไปข้างหน้าคนเดียว เพราะข้าพเจ้าเริ่มเร่งไม่ขึ้น ขืนฝึนตามไปคงเสร็จแก ก่อนจะครึ่งทางแน่ๆ

แต่เหลือบสายตาเมื่อพ้น กม.ที่ 4 หลังจากที่ย่างกายเข้าสู่อาณาบริเวณของสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค นี่ถ้าไม่หากไม่ได้ออกมาวิ่ง คงไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่เป็นแน่แท้ เพราะเรื่องกอล์ฟกับข้าพเจ้าเหมือนเส้นขนานระหว่างกัน ไม่ใช่อคติหรืออะไรต่อกีฬาประเภทนี้หรอก เพียงเพราะว่าไม่มีปัญญาซื้อไม้และอุปกรณ์ ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเล่นต่างหาก   กีฬาวิ่งนี่มันเจาะฐานได้ทุกกลุ่มจริงๆ ทำให้ฝันไปว่าจะมีงานวิ่งไหนที่กล้าจัด วิ่งเข้าสถานทูต   วิ่งเข้าวัด  วิ่งเข้าห้างสรรพสินค้า หรือ สถานที่ที่ ใครก็นึกไม่ถึงว่าไอ้พวกนี้ มันจะวิ่งเข้ามาทำไม

หางตายังเห็นชายเสื้อชมพู ตามมาติดๆ ไม่ห่าง  เค้าแรงจริงๆ ไอ้หนุ่ม 1500 เมตร เอ๊ะหรือว่าเราช้า ชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเอง ถึงกระทั่งต้องหยิบนาฬิกาขึ้นมาเพ่ง และดูเวลาว่า ความเร็วเรายังปกติอยู่

แต่เริ่มเอ๊ะกับเส้นทางขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเหมือนที่เคยได้รับมาเมื่อ 2 ปีก่อน วันนี้เส้นทางแปลกไป เธอไม่เหมือนคนเดิม ทำให้คำประกาศที่เคยกล่าวชมไว้ในโลกโซเชี่ยลเริ่มมีความไม่มั่นคงทางอารมณ์เกิดขึ้น  เพราะดันไปประกาศว่า งานนี้ระยะเป๊ะ 10K พอดี จากการวัดเมื่อ 2 ปีก่อน

อุบ๊ะ เค้าเปลี่ยนเส้นทางกันปีนี้ หรือ ตั้งแต่ปีก่อนหว่า ไม่มีเวลาร่ำเวลาคิดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะแรงเริ่มหมด อาจจะเป็นเพราะจังหวะที่กระชากแข่งกับคุณมอร์ ตามมาหลอกหลอนแน่ๆ แต่แล้ว ฟ้าก็ยังเป็นใจส่งเหยื่อรายใหม่ มาให้ข้าพเจ้าเกาะไปสักพักอีกแล้ว   นั่นคือน้องโอ๋ แห่งสำนักไปรษณีย์ไทย  แนวหน้าขาแรงรุ่น 30  และพี่ณัฐและพี่หมู ที่วิ่งมาด้วยกัน ที่ข้าพเจ้าวิ่งตามไม่ทันอยู่บ่อยๆ  

หลังจากเคาะปรับจูนเบาเครื่อง ให้ได้จังหวะตาม วิ่งไปได้สักพัก เรี่ยวแรงที่เมื่อกี้มันหล่นหายไป กลับฟื้นสภาพขึ้นมา คล้ายๆ กับการตอนซ้อมอินเตอร์วอล ที่มีเร่ง มีผ่อน เพื่อให้แรงกลับมา  นี่คือผลของการซ้อมอินเตอร์วอลแน่ๆ ที่ร่างกายปรับสภาพได้เร็วขึ้น  ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง หมายตีคู่ประกบแนวหน้าให้รู้สึก ฟินเล่นๆ แต่หลังจากทักทายกันแล้ว น้องกลับบอกว่า พี่ไช้ ไปเลย   .......... อ้าว อุตส่าห์จะบิ้วท์ ว่าแข่งกับแนวหน้าสักหน่อย มาผลักไสเราซะงั้น 55555

เชอะ ไปก็ได้ ใจคิดพลางประหนึ่ง พระเอกในละครทีวีหลังข่าว  .....  แล้วนาที ตรูจะตามใครเนี้ย  เอาว่ะ วิ่งหาแรงบันดาลใจข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ ดีกว่า พลางคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะกลับตัวซะที เมื่อพ้น กม.ที่ 5 จนกระทั่งถึงจุดกลับตัว  ที่ระยะทาง 5.20 กม  พลางคิดในใจงานนี้มีแถมเกือบครึ่งโล แล้วจะเอาแรงที่ไหนวิ่งต่อหว่า

นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ กระทาชายนายกล้วยหอม ประกาศว่าวันนี้จะวิ่งเท้าเปล่า ที่ 50 นาที  สงสัยจะยากแล้วพี่ เพราะเส้นทางวันนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะว่าถึงจุดกลับตัว ถ้าใช้เวลาเกิน 25 นาที 5 โลหลังนี่ต้องใส่เกียร์หมาอย่างเดียว  ขนาดข้าพเจ้า ยื้อแล้วยื้ออีก ยังใช้เวลา 24 นาที แบบหืดเริ่มขึ้นคอ 

หลังกลับตัวเริ่มเห็นโจทก์ในงานวิ่ง กำลังบี้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น น้องโก กับบอย ที่ยังวิ่งไม่ห่างกันเท่าไหร่

เมื่อพ้น กม ที่ 6  คานเหล็กที่คอยพยุงจังหวะให้ยื้อมาได้ 6 กม. กลับพังลง เรี่ยวแรงหล่นหาย จนต้องลดเพดานความเร็วลงด้วยอัตราที่น่าใจหาย จากจังหวะวิ่ง 4 นาที  กลายเป็น 5 นาทีกว่าๆ ในบัดดล เรียกตามภาษานักวิ่ง ก็คือยางแตก นั่นเอง  ก๊อกสองก็ใช้ไปหมดแล้วด้วย ตอนนี้ จึงได้แต่วิ่งประคองจังหวะไม่ให้เร็วร้ายไปกว่านี้ และหวังว่าข้าพเจ้าไม่ต้องถึงกับต้องก้มลงไปภาวนาให้มีก๊อกสามเกิดขึ้นโดยเร็ว เหตุเพราะว่า สายตาเหลือบไปเห็น ชายเสื้อชมพู วันนี้เกาะติดเหนียวแน่ ตลอดเส้นทาง  เหมือนกับใจจะเริ่มถอด แต่ก็ไม่ถอดเพราะหลังจากเบาเครื่องลง และแล้วก๊อกสามก็กลับมาจริงๆ  จากแรงบันดาลใจในเส้นทางวิ่งวันนี้

เครดิต พี่เตือน บางขุนเทียน กับบรรดานักวิ่งที่ข้าพเจ้าเก็บมาด้านหลัง
ด้านหน้ามีแนวหน้าหญิงบี้กันอยู่สองคน คือพี่ดวงขวัญ กับพี่ปราณี ที่วิ่งประคอง สลับกันนำ กันตามอยู่ ข้าพเจ้า จึงได้โอกาสเลียนแบบวงรอบ จังหวะการวิ่งของแนวหน้าหญิงทั้งสอง ที่วันนี้สังเกตุว่าน่าจะไม่สมบูรณ์ทั้งคู่    "ไม่สมบูรณ์" มิใช่คำเปรียบเปรยว่า ผอมหรืออะไรนะครับ แต่เป็นเพราะพี่เค้าทั้งคู่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย  เจ็บท้องคนหนึ่ง เจ็บเข่าคนนึง  ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องแข่งกับผู้หญิง ข้าพเจ้าถนัดนัก

จึงถือโอกาสวิ่งลากตามยาวตลอดเส้นทางโลคัลโรด โดยแรงเริ่มกลับมาที่ละน้อย แต่ก็ยังไม่คิดที่จะเร่งแซงจนกว่าจะใกล้ถึงแยกที่จะเลี้ยวกลับไปถนนเส้นหลักก่อนเข้างาน ในใจพยายามสะกดใจให้ทำเช่นนั้น

ใจว่างได้พักเีดียว พี่จิ๋ว ที่ฝีเท้าไม่จิ๋วสมชื่อ ก็ได้วิ่งขึ้นมาแล้วเธอก็หนีไปลับตา ไ่ม่ทันได้ตั้งตัวที่จะแก้ไขสถานการณ์อะไรเลย

เมื่อพ้นจุด ที่โปรรุจน์มายืนถ่ายรูป ประมาณ กม.ที่ 8 เกือบ ๆ 9  สายตาก็เห็นพี่บ่าวขาแรงแห่งเซ็นทรัลพระราม 2 หยุดวิ่งลง เพื่อผูกเชือกรองเท้าที่หลุด  วินาทีนั้น เหมือนวิญญาณนักล่าที่หมายจะขย้ำเหยื่อกับเข้าสิงอีกครั้ง  หลังจากถามและทักทายเล็กน้อยข้าพเจ้าจึงเร่งหนี ออกไป  เอาว่ะ วันนี้ต้องเป็นที่ 1 ของเซ็นทรัลแน่ๆ ทำไงก็ได้ให้เก็บพี่เบิ้ลให้ได้   ยังไม่ทันไร สายตาก็ยังเหลือบไปเห็น ชายเสื้อชมพู ที่ยังตามเกาะมาไม่ห่างอยู่แวบๆ  พลางคิดในใจ พี่โจ้ ครับ  เมื่อไหร่ พี่จะหมด ผมเหนื่อยแล้วนะ เท่านั้นยังไม่พอ กระทาชาย นายโก้ วันนี้ มาอยู่ข้าหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก็ควงคู่ใครอีกคนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก วิ่งหนีขึ้นไปเชิญเลย  

ไม่รีรออะไรอีกแล้วข้าพเจ้าจึงเร่งฝีเท้าถึงจะไล่ นายโก๋ไม่ทันแน่ๆ  แต่เพื่อครั้งนี้จะได้เป็นที่ 1 ของเซ็นทรัลเสียที หลังจากที่จวนเจียนได้มาหลายรอบ แต่ก็เสร็จแนวหน้ารุ่น 60  ปีขึ้นไป  ลุงบัง สุวิทย์ ทุกที  จึงเริ่มออกล่าตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่อยู่บนเส้นทางถนนนี้  โดยลืมไปว่า เมื่อสักครู่ โดนพี่จิ๋วแห่งเซ็นทรัลพระราม 2 แซงไปหยกๆ

ขาแรงจากออมสิน ที่หลงเ้ข้าใจผิดว่าเป็นโจ้
สภาพจิตใจตอนนั้น สับสน คิดอะไรไม่เป็นลำดับขั้นตอน อยากทำโน่นนี่นั่น ตลอด รู้สึกขาดสมาธิ เพราะการกำหนดเป้าหมายมากเกินไปตลอดเส้นทาง แต่ก็ทำให้รู้สึกการวิ่งไม่น่าเบื่อหน่ายได้เหมือนกันใครจะลอกเลียนแบบข้าพเจ้าก็ไม่สงวนสิทธิ์ เพียงแต่มีคำเตือนก่อนลอกเลียนแบบว่า ควรมีสมาธิขั้นสูงก่อนการเรลีียนแบบ และห้ามเลียนแบบเกินกว่าวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อย

กลับมาที่เส้นทางวิ่ง การกระชากแรกสามารถแซง พี่ดวงขวัญ แนวหน้าหญิงรุ่น 60 ลงไปได้  โคตรภูมิใจสุดๆ สำหรับการแข่งครั้งนี้ และแน่นอนที่พลาดไม่ได้ คือการเร่งแซงพี่ปราณี แนวหน้ารุ่น 40 ลงไปได้อีกก่อนที่จะเลี้ยวเข้าสู่บริเวณจัดงาน แต่นาทีนั้นหนุ่มเสื้อชมพูกลับเร่งฝีเท้าแซงข้าพเจ้าขึ้นไป เห้ยผิดคน หลงเกร็งตั้งนานนึกว่า นายโจ้ จึงหวังจะเบาเครื่องลง เพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังไ่ม่ทันได้เบาเครื่องให้รอบต่ำลงถึงจุด recovery จริง  คราวนี้เอะใจ เลยเหลียวกับไปมองด้านหลัง ปรากฏว่ามากันเป็นแผงเลย ตั้งแต่พี่เบิ้ล น้องโอ้ พี่ดวงขวัญ และที่สำคัญที่สุด นายโจ้ตัวจริงเสียงจริง ที่ยังตามมา ก็เลยเริ่มสับสนว่าที่ตามมาตลอดเส้นทางนั่นคือใคร  วันไหนเจอเจ้าตัวต้องถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นซะหน่อย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ใส่แว่นจึงมองเห็นไม่ถนัด จำแต่สีเสื้อเอาตลอด

นาทีนั้นไม่คิดอะไรอีกนอกจากเร่งๆ และก็เร่งๆ เร่งเพื่อให้ต่ำกว่า 50 นาที  เร่งเพื่อสลัดให้พ้น ซึ่งหลังจากผ่านจุดที่พี่เตือนบางขุนเทียนถ่ายรูปอยู่ จึงผ่อนลงเมื่อเข้าเส้น Finish จึงนึกขึ้นได้ว่าลุงสับปะรดอยู่ไหน หลังจากเราสะลัด เอ้ยลุงแกฉีกหนีไปแล้วก็ไม่เจออีกเลย 

หลังจากนั่นย้อนดูรูปถ่ายจากค่ายบางขุนเทียนที่พี่เตือนถ่าย จึงรู้ว่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกลเลย (รู้งี้ซ้อมเยอะๆ ดีกว่า จะได้ไม่หมดแรง   เพราะที่ผ่านมาซ้อม 5 กม.มาตลอด)

ขอบคุณช่างภาพ พี่ตุ้ม พี่รุจน์ จากบางขุนเทียน  เอ้ย ชัตเตอร์รั่นนิ่งที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบ
ขอบคุณ พี่เตือน บางขุนเทียน ที่ทำให้เก็บความทรงจำหน้าเส้นได้ชัดเจนขึ้น

พบกันใหม่ PEA 2014  สนามที่ดีสนามหนึ่ง สำหรับเมืองที่คนตกท่อ





วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Race 125 Mizuno International Half Marathon 2013

พูดถึงงานวิ่งที่โด่งดัง ในเดือนกันยายน ของทุกปี คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงงานมิซูโน่ ริเวอร์แคว ฮาล์ฟมาราธอน ที่ผ่านร้อนผ่านฝนมาถึง 31 ฝนแล้ว
ข้าพเจ้าเคยได้เข้าร่วมวิ่งครั้งประวัติศาสตร์ ครบรอบ 30 ปี เมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นงานวิ่งที่ปูพื้นฐานการวิ่งยาวสำหรับการลงมาราธอนของข้าพเจ้าเลยทีเดียว

เค้าพูดกันว่าว่า หากมาวิ่งที่นี่แล้ว ถ้าไ่ม่โดนหรือสัมผัสหยาดฝน ถือว่าคุณมาไม่ถึง เค้าที่พูดถึงนี่คือตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะอะไร ข้าพเจ้าถึงได้ใช้บริบทเช่นนี้ออกมา เพราะ 2 ครั้งที่ผ่านมาข้าพเจ้าเมื่อวิ่งเสร็จ ไม่ต่างอะไรกับน้องหมาที่เล่นน้ำ ตัวเปียก มะรอกมะแรก ทุกครั้ง แต่ถามว่าเข็ดหรือไม่ ตอบได้เลยว่ามันส์พะยะค่ะ  ไอ้นี่ตอบไม่ตรงคำถามกับที่ถามอีกแล้ว  ข้าพเจ้ามองว่าคำตอบที่ออกมานั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนในการที่จะเลือกตอบ ซึ่งในคำถามเดียวกันนี้ หากไปถามคนอื่น คนอื่นอาจตอบว่าไม่เข็ด หรืออีกหลายคนอาจจะเลือกตอบว่า วิ่งแล้วฟินน์ วิ่งฝ่าสายหมอก ต่างๆนาๆ สำหรับคำตอบ

คำตอบเหล่านี้ท่านจะต้องไปค้นหามันเอง ใครบอก เค้าบอก ไม่สู้เท่าที่สัมผัสเองหรอกครับ

มาในครั้งที่ 32 นี้ เป็นการสมัครล่วงหน้าที่เกิดขึ้น ที่นานๆ จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า จากกระแส Running Boom ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในสังคมนักวิ่งที่มีนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งออฟฟิศ เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการกลัวว่าจะตกรถ จึงสมัครล่วงหน้าเอาไว้ แต่แล้ว หลังจากงาน บางกอกโพสต์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับอาการบาดเจ็บ จนทำให้ไม่สามารถเดินได้อยู่ 4 วันเต็มๆ  เพิ่งจะเริ่มกลับมาซ้อมได้ไม่กี่วัน ก่อนที่จะมาร่วมงานนี้  ไม่น่าเชื่อว่าการหยุดวิ่งเพียง 2 สัปดาห์ การกลับมาซ้อมใหม่ จะเหนื่อยแสนสาหัส ปกติวิ่งซ้อมที่ pace 5 นาที ต่อ กม. ก็ยังสบายๆ แต่นี้ ใช้เวลา 7 นาที ยังเหนื่อยมากแถมยังวิ่งได้เพียง 5 กม. ก็เริ่มเจ็บบริเวณเอ็นข้อเท้าเดิมที่ไปทำการรักษาอยู่ จึงทำให้ต้องหยุดพัก แบบนี้ตลอดในช่วงเวลาการซ้อม

พูดถึงอาการบาดเจ็บที่ว่านี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มักปฏิเสธการนำยาเข้าสู่ร่างกายมาเสมอ แต่พอมาเจออาการแบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทานยาเพื่อรักษาอาการเส้นเอ็นอักเสบ จากคนที่ไม่ค่อยทานยา ทำให้ไม่รู้ว่าผลข้างเึคียงหรืออาการประหลาดที่เกิดขึ้นหลังจากทานยาเกิดขึ้นมาจากผลของตัวยาที่ทานเข้าไป ยาที่ได้รับจากแพทย์มาก็คือ Arcoxia ทานหลังอาหารเช้าทันที

อาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวคือ รู้สึกท้องอืด เหมือนจะมีลมในกระเพาะอาหาร ถ่ายไม่ออก มีแต่ลม อาการนี้ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจ เพราะนอนหลับแทบไม่ได้ ต้องเรอ และผายลมตลอดเพื่อไล่ลมในร่างกายออก  ตอนนั้นท้องก็บวมๆ  จนกระทั่งมานึกย้อน ทำให้พอจะเดาได้ว่า น่าจะเกิดจากยา พอนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเพื่อน ก็เป็นเช่นนั้นแล  อาการนี้เหมือนอาการกรดไหลย้อน จะมีลมในกระเพาะอาหารเกิดจากตัวยาที่ไปกัดกระเพาะ ที่คนเป็นโรคกระเพาะเป็นกัน

ซึ่งหลังจากทน ทรมานอยู่ 5-6 วัน กับอาการดังกล่าว  จุดสิ้นสุดที่จะต้องสะบั้นความสัมพันธ์ลง ก็เกิดจากอาการเท้าที่ไม่บวมแล้ว (เกิดจากการประคบร้อนเย็น ตลอด)และความทนทรมานกับการนอนหลับไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ตัดสินใจหยุดยา  อาการดังกล่าวจึงบรรเทาใน 3 วันต่อมา ซึ่งจากที่เกริ่นนำมาทั้งหมดนี้ แค่อยากจะบอกว่า ฮาล์ฟนี้ ขอแค่จบแบบไม่เจ็บก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ซึ่งมานั่งเช็คการวิ่งในปีนี้ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าฮาล์ฟนี้ จะเป็นเพียงฮาล์ฟที่ 2 ในรอบปี ซึ่งถือว่าน้อยผิดปกติมาก

ซึ่งทั้งหมดก็เป็นที่มาของคำว่าจะรอดหรือไม่ กับชาเล้นท์ ระยะครึ่งมาราธอน ในครั้งนี้

สำหรับการเดินทางมาวิ่งต่างจังหวัด ที่กลุ่มคณะมักจะลืมไม่ได้ คือ การเที่ยว เรียกว่าหาได้ว่าไม่มีอาการกังวลกับการที่จะต้องใช้แรงงานในไม่อีกกี่ชั่วโมงข้างหน้า  ซึ่งในครั้งนี้มีสถานที่คาดหมายไว้ คือ พระราชวังพระตำหนักทับแก้ว ซึ่งหลายท่านคงจะงงหากติดตามบล็อคข้าพเจ้ามาแต่แรก ว่าทำไม ถึงไม่ไปเที่ยวที่นี่เมื่อครั้ง มาวิ่งที่ ม.ศิลปากรทับแก้ว  ซึ่งจริงๆแล้วในครั้งนั้นข้าพเจ้าติดอบรมจนทำให้มาถึงที่งานมืด ทำให้พลาดโอกาสในครั้งนั้นไป

สถานที่ในพระราชวัง มีทั้งของใหม่ ของเก่าที่บูรณะใหม่ปะปนกันไป  เราสามารถเยี่ยมชมภายในพระราชวังทั้งหมดได้ แต่ต้องงดการถ่ายรูป อันเนื่องมาจาก สิ่งของทั้งหมดปัจจุบันเป็นสมบัติของสำนักพระราชวังไปแล้ว หากเปิดให้ถ่ายรูป อาจจะมีการปลอมแปลงของที่มีอันเดียวออกมา

ภายในนั้นเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด อย่าหวังว่าท่านจะเล็ดลอดถ่ายรูปได้ ไม่มีทาง

นอกจากในพระราชวังแล้ว เรายังได้ไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลสยาม ได้ฟังเจ้าหน้าที่แนะนำตลอดการพาชมห้องและสิ่งของต่างๆ แล้วขนลุก ที่ทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนกันไปทั่วเพราะการเล่นพรรคเล่นพวกและการเมืองไปหมด

...............................................

วินาที ที่โฆษกนับถอยหลัง 4-3-2.....1   แป้นๆ ปู้นๆๆ แล้วแต่ใครจะได้ยินเสียงอย่างไรตามจินตนาการ เหล่านักวิ่งที่ต้องการทำเวลาต่างทยานออกไปข้างหน้าอย่างกับม้าศึกที่จะรู้ตัวว่าจะออกสู้ศึกกับศัตรู เมื่อ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มสว่าง กับเวลาปล่อยตัว 6.00 พร้อมกันทั้งสองระยะ รวมกับอากาศที่เย็นจากสายฝนยามค่ำคืน ยิ่งเมื่อรวมกับโอโซนที่ถูกปล่อยออกมาจากธรรมชาติ ทำให้เส้นทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข  ........ กับเส้นทางนี้ 5 กม.แรก เป็นเส้นทางสลับขึ้นเขา โดยเน้นการขึ้นเป็นส่วนใหญ่ นักวิ่งที่ไม่สมบูรณ์อย่างข้าพเจ้าจึงได้แต่ต้องเก็บอาการและเจียมในสังขารตลอดการวิ่ง 5 กม.แรก เป็นไปตามสเตป เพิ่มจังหวะขึ้นทีละน้อย เริ่มไล่แซงเพื่อนๆ นักวิ่งทีละคน ซึ่งส่วนใหญ่รู้จัก จนกระทั่งเมื่อครบ 5 กม.ตามแผน จากนั้นจังหวะลงเขาจึงเริ่มปล่อยไหลเพื่อประหยัดพลังงาน เมื่อจังหวะกดลงเขา เมื่อรู้สึกเหนื่อยหอบ จึงผ่อนแรง เพื่อเป็นการรักษาแรงให้เหลือให้มากที่สุด ผ่านไป 9 กม. จากที่คิดว่าวิ่งสบายๆ เพราะเข้าใจว่า บอยและเพื่อนสาว วิ่งอยู่ด้านหลัง ก็ต้องสะดุ้่งเอือกใหญ่ เมื่อพบพี่น้องอยู่ด้านหน้า  เห้ย   แซงไปตอนไหนเนี้ย  แล้วโจทย์ผมไม่วิ่งกระฉูดไปแล้วหรือนี่ ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ บรรดานักวิ่งน้องใหม่ปีที่แล้ว แต่เริ่มเก่าปีนี้ สวนมากันหมดแล้ว ไม่ว่าจะคุณนก น้องพลอย  ทำให้พาลคิดไปถึงโจทก์เ่ก่า แจง กินแหลก  ถ้าน้องมางานนี้ มีหวังต้องใช้หนี้กันแน่ๆ

แปลกแต่จริง อาการเจ็บที่เคยกลัว เคยแปล๊บเมื่อซ้อมที่ pace7  กลับไม่แสดงอาการอะไรเลยเมื่อข้าพเจ้าเริ่มปรับจังหวะวิ่งให้ปริ่มขอบที่ pace 5 ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี กับ เป้าหมายมาราธอนปลายปีที่จะได้เริ่มซ้อมจริงจังได้เสียที

แมน เป้  พุฒิ พี่โก้  บรรดาคนรู้จักที่ครั้งนี้พักที่เดียวกัน วิ่งสวนกันไปหมดแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้ายังต้วมเตี้ยมอยู่ที่ กม. ที่9  จวบจนเมื่อมาถึงหลักกิโลที่ 10  ซึ่งกว่าจะกลับตัวได้ ผ่านจุดเช็คชิพ ก็ใช้เวลา 1:06 นาที   จากนั้นปรากฏการณ์ตะกวด ก็เริ่มขึ้น เพราะตอนนี้จังหวะการวิ่งของข้าพเจ้าเริ่มเอาแต่ใจ เพราะว่าสั่งยังไงก็ไป วิ่งแล้วลอย วิ่งสนุก ยิ่งไล่แซง ยิ่งเร่งยิ่งกระหาย  ความรู้สึกนี้ถ้าเรียนกันตามตรงห่างหายไปนานแล้ว  แม้แต่งานจ๊อคแอนด์จอย ยังไม่รู้สึกแบบนี้เลย หรืออาจเป็นเพราะรายการนี้ ข้าพเจ้าวิ่งโดยมิได้คาดหวังอะไรกับอันดับที่จะออกมา  ความรู้สึกที่อยากมาวิ่งที่นี่เพราะบรรยากาศ และต้องการซ้อมยาวให้พ้น กม.ที่ 10 ให้ได้เสียที

ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่จบอย่างที่คาดหวังไว้ก็เป็นไปได้หากข้าพเจ้าฝืนตะบี้ตะบันตั้งแต่ กม.แรก  น้องๆ หลายคนถามว่า พี่ไม่วอร์ม ไม่วิ่งยืด ไม่สไตรด์หรอ ข้าพเจ้าทำได้เพียงแต่ยิ้ม โดยไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูดออกไปแต่ะแสดงออกด้วยสายตาอันน่าเวทนาไปแทน และ พยายามยืนยืดเส้นเล็กๆน้อยๆ  ไม่มากเหมือนเมื่อมีการวอร์มอย่างเต็มที่

เหตุที่ข้าพเจ้าไม่กล้าวอร์มเพราะกลัวว่าวอร์มแล้ว อาการต้านของข้อเท้าที่มักจะมีอาการเมื่อครบ 5 กม. ทุกครั้งเมื่อซ้อมวิ่งตอนเย็นจะกลับมาเยือนอีกก่อนที่ภาระกิจวิ่งขึ้นเนินลูกใหญ่สำเร็จ

คู่เทียบนักวิ่งคนแรกที่ข้าพเจ้าไล่ตะปบ ก็คือพี่โก้ ในจังหวะลงเขา ในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเร่ง ที่ กม ที่ 12 เป้าหมายแรกคือวิ่งเข้าไปประกบด้านข้างทางขวา และหมายโฉบหนีออกไปให้หมั่นไส้เล็กน้อยตามแผน แต่ทว่า....... พี่โก้รู้ตัวและหันมาบอกว่าเจ็บ แล้วพี่เค้าก็หยุดเดิน  ...... เฮ้ยย...ผิดแผน กะว่าจะให้จังหวะลากกันไปต่ออีกหน่อย Fail ซะแล้ว จึงได้แต่หันไปบอก เจ็บก็หยุดเดินแหละพี่อย่าฝืน..... จากนั้นก็เิริ่มปรับจังหวะการวิ่งลงมาที่ จังหวะที่หายใจสบาย ๆ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บว่ายังมีอยู่หรือไม่ ซึ่งผลคือไม่รู้สึกอะไร ซึ่งอาจจะเกิดจากการพันผ้าไว้ก็เป็นได้

เมื่อวิ่งขึ้นเนิน ก็ปรับจังหวะก้าวให้สั้นลง เพื่อใช้แรงให้น้อยที่สุด และเมื่อเส้นทางลงเนิน ก็ปล่อยไหล ลงไปที่ pace 4.30 เลยทีเดียว มาถึงตอนนี้ ก็ไล่แซงคุณพุฒิ และแมน ไปได้  ที่ กม ที่ 16

และเนินสุดท้ายของ กม ที่ 16 ก็เป็นเนินลงที่ฉีกเป้ เซ็นทรัลลงไปได้ จังหวะนี้อะไรก็หยุดไม่อยู่แล้ว 4 กม ที่เหลืออยู่ กับพลังกาย คิดว่าสามารถลงคอร์ต 4K ได้ จึงจัดไป ด้วย 4.30 ในช่วงแรก

เมื่อถึง กม ที่ 17 ซึ่งเป็นจุดที่พี่รุจน์ ยืนถ่ายรูปอยู่ ก็พบโจทย์ตลอดการ คทาชาย นายบอย ซึ่งตอนนั้น อาการที่แสดงออกมา เมื่อข้าพเจ้ามองจากด้านหลังเห็นว่าหมดแน่ ๆ  วิ่งเป้ไปเป้มา ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่ง เร่ง เร่ง จนกระทั่งแซง และ ฉีกหนีไปด้วย เพช 4 ที่กะไม่ให้มีโอกาสไล่ตาม เรียกว่าเป็นการตัดไม้เพื่อข่มน้ำ เร่งเพื่อให้รู้ว่า อย่าตามมาเพราะข้ายังเหลืออีกเยอะ

ปรากฏว่าไม่ตามมาจริงๆ เซ็งชะมัด   เพราะไม่มีเป้าหมายให้ท้าทายอีกแล้ว จนกระทั่งสายตาเหลือบไปมองที่นาฬิกา คำนวณเวลาอย่างคร่าวๆ เห้ย นี่ ถ้าทำได้ต่ำกว่า 2 ชม. นี่มันยอดมากเลยนะ เพราะครึ่งทางเราใช้เวลาไป 1:06  ข้าพเจ้าคิดในใจพลาง และไม่ลืมสับฝีเท้าเร่งจังหวะขึ้นไป กับเป้าหมาย เพิ่งคิดเมื่อกี้นี้ พยายามใช้จังหวะเร่งบ้าง ดึงลงบ้างสลับไปพลาง ซึ่งเมื่อนาฬิกาผ่านเป้าหมายแรก 21.1 กม. เวลาอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย  เป้าหมายใหม่ก็คือ วิ่งให้ถึงเส้นชัย ต่ำกว่า 2 ชม ซึ่งเป็นเป้าหมายติงต๋องมาก เพราะว่ากับระยะทางที่เหลืออยู่ กับเวลาที่มีให้อย่างจำกัด นี่มันต้องฝีเท้าระดับบุญถึง หรือสัญชัย ถึงจะทำได้  ซึ่งแน่นอนเมื่อผ่านจุดเช็คพอยต์สุดท้าย ข้าพเจ้าใช้เวลาเกินไป 49 วินาที

ขอเวลาไปฝึกวิทยายุทธอีกนิด 49 วินาที หลังนี่มีเฮแน่



เครดิต ภาพ จาก พี่ตุ้ม พี่รุจน์ ชัตเตอร์รันนิ่ง