วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Race 130 นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 6

พูดถึง รพ.นครธน ผมเชื่อว่า บรรดานักวิ่งทั้งขาเก่า และขาใหม่ คงจะคุ้นเคยก็ชื่อ โรงพยาบาลนี้แน่นอน แต่ก็อาจจะไม่รู้ว่า รพ.นครธน นี่ อยู่ที่ไหน  ทำไมถึงคิดว่านักวิ่งต้องรู้จัก โรงพยาบาลนครธน ที่ต้องกล่าวเช่นนั้น เพราะว่า เมื่อคุณไปงานวิ่งที่ใด ไม่ว่าจะเป็นงานที่จัดโดยออแกไนส์ จ้อคแอนด์จอย ที่มีงานเกือบทุกอาทิตย์ หรือ กระทั่งงานที่ ทางสมาพันธ์เดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทยสนับสนุน คุณก็จะเห็นโลโก้ โรงพยาบาลนี้แทบทุกครั้งไป นี่ยังไม่รวมถึง หน่วยพยาบาลที่ตั้งอยู่ในงาน และ รถแอมบูแลนซ์ที่เตรียมพร้อมให้บริการตลอดงาน

ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดี ที่บรรดาเหล่านักวิ่งจะกลับมาตอบแทนน้ำใจที่ทางโรงพยาบาลมอบให้ ทุกวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เพราะทุกวันรัฐธรรมนูญ ถือเป็นประเพณีของโรงพยาบาลที่จะจัดงานวิ่ง และส่งต่อสิ่งดีดี ให้กับสังคมทุกครั้ง โดยในครั้งนี้ทางโรงพยาบาล ได้มีจุดมุ่งหมายในการร่วมส่งมอบรายได้ให้กับมูลนิธิ 17 มูลนิธิ เพื่อนำไปใช้ในเรื่องสาธารณะประโยชน์ต่อไป

สำหรับผมเอง หลังจากที่เคยเล่าให้ฟังไปแล้วในบล็อคเก่าๆ ว่า งาน นครธน ถือเป็นงานวิ่งงานแรกที่ข้าพเจ้าได้เข้าสู่วงการวิ่งอย่างเป็นทางการ คือตั้งแต่ นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 2 ที่เสื้อที่ระลึกในงานนั้นคือ ส้ม-เขียว  หลังจากนั้นก็เข้าร่วมงานนี้ไปตลอด และคิดว่าตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมีแรงและมีกำลังทรัพย์ ข้าพเจ้าก็จะขอเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ตลอดไป

..............................................................

การกลับมาวิ่งในงานนี้อีกครั้ง ถือว่าเป็นการระเบิดปอด ตามเคล็ดลับของสถาวรรันนิ่งคลับ ที่ปรมาจารย์แห่งวงการวิ่ง โค๊ชสถาวร เคยให้เคล็ดลับมา  หลังจากที่วิ่งมาราธอนมา อีกอาทิตย์ต้องไประเบิดปอด ด้วยระยะ 10K ผมคิดว่าหลักการนี้ใช้ได้เฉพาะ ผู้ที่ผ่านมาราธอน ต่อปี ไม่เกิน 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าคุณวิ่งมาราธอนทุกอาทิตย์ขอให้มองข้าม บทความนี้ไป

ทำไมผมถึงศรัทธา กับเคล็ดลับนี้ ทั้งที่ไม่รู้ความหมายของการกระทำดังกล่าวเลย ว่าทำไปเพื่ออะไร แล้วจะได้อะไร แต่สิ่งที่ผมรู้ ก็คือ ผลลัพธ์ของมัน ออกมาดีทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ผมพยายามที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความสม่ำเสมอ

................................................................
ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด การซ้อมเพื่อลงมาราธอนที่สิงคโปร เพิ่งจะมาเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน กับเวลา 30 วัน เพื่อผ่านมาราธอน แบบไม่เสียสมดุลย์ทางร่างกาย
โปรแกรมการซ้อมยาว ทุกบรรจุในตารางการซ้อมทุกกลางสัปดาห์และวันอาทิตย์ตลอดเดือน  นั่นรวมถึงการแอบไปซ้อมยาวที่งานกรุงเทพฯมาราธอน ที่ไปมีส่วนร่วมในการสร้างตำนานความเข้าใจผิดในโอเวอร์ออลหญิง ให้อายกันไปพักใหญ่

รูปแบบการซ้อมตลอดเดือนนั้นบรรจุเพียงสร้างความอึดในระยะทางที่เพิ่มขึ้น โดยปราศจากรูปแบบการซ้อมความเร็วทั้งปวง
...................................................................

ผลประกอบการของสิงคโปรมาราธอน ที่สามารถจบ ด้วยเวลา 4:58:17  ซึ่งต่ำกว่า 5 ชั่วโมงตามที่ได้แจ้งตอนสมัครไว้ รวมกับสภาพร่างกายที่หลังวิ่งมาราธอนจบ ได้ทำการคูลดาวน์โดยการสนับสนุนจากทางผู้จัดงานร่วม  6-7 กม ทำให้ร่างกายไม่ช้ำ ไม่โรย
....................................................................

เวลา 6.00 น พิธีกรบนเวที ให้สัญญาณในการปล่อยตัว บรรดาเหล่านักวิ่ง ได้เริ่มทยอยก้าวขาออกจากจุดที่่ตัวเองยืนอยู่ออกไปจนหายไปลับตา   แต่ตัวผมเองกับพี่ย้ง ยังคงยืนอยู่ในคอก เพราะวันนี้นัดเพื่อนๆ นักวิ่งที่สั่งจองเบอร์และเสื้อ ผ่านระบบออนไลน์มารับ ยังขาดเพื่อนอีกคนที่ยังไม่มารับเบอร์ไป ซึ่งผมได้โทรตามแล้ว แต่สงสัยว่าจะเข้าใจเรื่องสถานที่ผิดหรือ ติดที่ขบวนนักวิ่งเลยเข้ามาไม่ได้ เวลาผ่านไปเกือบ 2 นาที หลังจากปล่อยตัว จึงตัดสินใจฝากเสื้อและเบอร์ ที่เหลือไว้กับโค๊ช  ที่วันนี้ตัดสินใจไม่วิ่งเพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้าบริเวณบูธสมัครวารสารไทยจ็อคกิ้งไม่น่าไว้วางใจ ให้ช่วยส่งมอบแทน

เวลา 6:02 ผมจึงชวนพี่ย้ง ออกวิ่งตามบรรดานักวิ่งไป โดยความตั้งใจแรกจะวิ่งผ่านซุ้มปล่อยตัว แต่ทว่า ณ เวลานั้น กลุ่มเดิน เริ่มทยอยเข้าพื้นที่และจับจองพื้นที่กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงตัดสินใจวิ่งออกไปทางถนนคู่ขนานแทน  ซึ่งนาทีนั่น คิดอย่างเดียวจะสับยังไงให้พ้นกลุ่มนักวิ่งที่เดินอยู่ท้ายแถว

ยังดีที่ในระหว่างที่รออยู่ในบูธ ผมได้ทำการวอร์มร่างกายด้วยการกระโดดให้เหงื่อพอซึม มีการยืดเหยียดในจุดที่พอจะทำได้ในบริเวณแคบๆนั่น จึงทำให้ร่างกายไม่น็อค จากการเริ่งสปีดตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มวิ่ง ซึ่งการวิ่งฝ่าฝูงชนกลุ่มใหญ่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากกายและลำบากใจ เพราะถ้าพูดกันตามตรง ถ้าคุณคิดจะวิ่งเร็ว เพื่อทำเวลาไม่ควรมาอยู่ด้านหลังเช่นนี้ เพราะลำบากกายมาก จากการที่ต้องวิ่งไปเบรคไป

จากบริเวณถนนพระราม 2 เลี้ยวซ้าย เพื่อเลาะขอบรั้วสำนักงานเขตบางขุนเทียนเข้าสู่เส้นทางวิ่งที่ตอนนี้ปิด 100% ไปเรียบร้อยแล้ว ก็พบ พี่ทนงศักดิ์ กับ บอย ที่วันนี้วิ่งคู่กัน นาทีนั้นหลังจากทักทายเรียบร้อย ผมก็รีบเร่งสร้างจังหวะหนีออกไป โดยคิดไว้ในใจ ถ้าสามารถ ไปถึงสะพานข้ามแยกถนนพระราม 2 เมื่อไหร่ คงวิ่งง่ายขึ้นเยอะกว่านี้ เพราะ คาดว่านักวิ่งคงจะชะลอความเร็วเมื่อเจอสะพานข้ามคลองในงานนี้

หลังจากข้ามสะพานข้ามคลองแรก ระยะทาง กม แรก ก็วิ่งมาครบระยะทาง ณ บริเวณแยก ที่ทางผู้จัดให้เลี้ยวซ้ายเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนบางขุนเทียนชายทะเล  ในตอนนั้นความรู้สึกเริ่มกระหาย อยากอัดให้มากกว่านี้ เพราะต้องการชดเชยเวลาที่เสียไปใน กม.แรก ให้ค่าเฉลี่ยของการวิ่งวันนี้ให้ลดลง

ซึ่งเมื่อวิ่งเข้าสู่ถนนเส้นนี้ ข้าพเจ้าจึงปรับจังหวะให้ก้าวยาว และถี่ขึ้นเพื่อเพิ่มความเร็ว เป้าหมายอยู่ทีึ่ค่าเฉลี่ย 4.30 ซึ่งเมื่อวิ่งจริง อากาศที่เป็นใจรวมกับความต่อเนื่องในการเพิ่มระดับความเร็วนั่นทำให้ ความเร็ว เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ ซึ่งค่าที่แสดงออกมาเมื่อครบ 2 กม คือ 4.20  ซึ่งรวมถึง การพบจุดให้น้ำแรกของงาน  ซึ่งจากเหตุการณ์ในปีก่อนจำได้ว่า จุดให้น้ำนี้จริงๆ เป็นจุดสุดท้ายของงาน  จึงทำให้ตัดสินใจไม่รับน้ำในจุดนี้ เพราะจำได้ว่าจุดให้น้ำแรกของปีก่อน อยู่ที่ บริเวณหลังลงสะพานข้ามถนนพระราม 2  จึงตัดสินใจประคองจังหวะความเร็ว เพื่อข้ามให้พ้นสะพานใหญ่ที่ถือเป็นอุปสรรคอันดับต้นๆในการวิ่งวันนี้  หลังจากลงสะพานมาเรียบร้อย แล้วผมจึงเริ่มมองหาจุดให้น้ำเมื่อปีก่อน  เห้ยไม่มี นี่คือสิ่งที่พลาดที่สุดจากการไม่ศึกษาเส้นทาง และจุดให้น้ำ เพราะความประมาทที่คิดว่าวิ่งที่นี่ทุกปี จึงทำให้นึกได้ว่า จริงๆ แล้วจุดให้น้ำหน้าปั้ม ปตท. เนี้ยเป็นจุดให้น้ำที่ทางเจ้าของมาตั้งเอง เพื่อช่วยงาน

ฮ่วย ต้องแบกความกระหายไปถึง 4 กม. แน่ๆ แบบนี้ ซึ่งแน่นอน ใน กม ที่ 4 เนี้ย มันถึง ซอยเทียนทะเล 7 เลย  จึงตัดสินใจเริ่มผ่อนจังหวะลง มิเช่นนั้น อาจเครื่องดับระหว่างทางแน่ๆ แต่ในขณะที่ผ่อนเครื่องลง วันนี้เห็นสาวเสื้อส้ม ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งไปเปิดซิงมาราธอนแรกที่สิงคโปร ด้วยเวลาที่ข้าพเจ้าวิ่งมา 5 ปี ยังไม่สามารถทำได้ อยู่ข้างหน้า  หลังจากที่วิ่งตามมาสักพัก จึงแน่ใจว่าวันนี้เธอไม่ปกติแน่ เพราะลักษณะท่าทางการวิ่ง วันนี้แปลกไปมาก ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดเพราะ มีอาการบาดเจ็บรบกวนเจ้าหล่อน จึงต้องวิ่งด้วยความเร็วที่ช้าลง   ผมจึงค่อยๆ วิ่งแซงไปและรักษาจังหวะจนกว่าจะเจอน้ำจุดที่ 2 ของงาน ซึ่งระหว่างทาง ก็เจอ เจ้าเอ้ เด็กน้อยแห่งเทียนทะเล ที่ช่วงหลัง ซ่าส์ ลงทั้งมาราธอนที่กรุงเทพ  ลง32เค ที่เขาชะโงก มาในฟอร์มยางแตก เพราะชวนวิ่งแล้วไม่ยอมวิ่งตามมา

เมื่อถึงจุดให้น้ำ จึงรีบจัดการกับน้ำที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหมายดับกระหาย แต่ดื่มมากไปจนรู้สึกจุก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวิ่งระหว่าง กม ที่ 5 ไปด้วย  ระหว่างเส้นทางนี้รู้สึกเสียดท้อง จึงเบาความเร็วและเริ่มมองฝั่งตรงข้าม เพื่อดูว่าใครวิ่งกลับมาแล้ว ซึ่งแน่นอน ก็เป็นบรรดาเหล่าแน่หน้า  องศา สิงหา และเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแน่นอน วันนี้ ที่ตอนแรกนัดกับน้องแจงว่าจะช่วยวิ่งลากกัน  วันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เห็นน้องระหว่างงานและเส้นทางเลย   เพราะเริ่มเห็นแนวหน้าขาแรงหญิง ตั้งแต่เด็กน้อย พิกุล ทองลือ ที่วันนี้วิ่งนำมาเป็นโอเวอร์ออลหญิง  และกลุ่มสาวๆ ท่านอื่นที่วิ่งผ่านไป เลยเดาไปว่าอาจจะไม่มา

เป็นอีกเรื่องที่น่าชมเชย กับการปิดกั้นถนน ที่ ถนนเส้นทาง 5 กม ที่ผ่านมา จะเห็นเจ้าหน้าที่ตั้งกรวย กั้นรถ และมีเจ้าหน้าที่อยู่ ทุกๆ 50 เมตร  เป็นงานวิ่งที่จัดกันเอง ที่ผู้จัดรายใหญ่ ต้องมาศึกษาเลยว่าเค้าทำกันอย่างไร หาเจ้าหน้าที่จำนวนมากขนาดนี้มาอำนวยความสะดวกได้อย่างไร บอกตรงๆ วิ่งแล้วอุ่นใจทุกครั้งที่นี่

เพลินดีกับการมองฝั่งตรงข้าม ถ้ารู้จักกัน เห็นกันก็ยกไม้ยกมือทักทาย ถ้าไม่รู้จัก แต่น้ำมาก็ปรบมือเชียร์ นี่คือเสน่ห์อีกอย่างของข้างทางวิ่ง  ไม่ว่าจะเป็นพี่หนิด และเป้ จากเซ็นทรัลพระราม 2 พี่หมู น้องแจ็ค จากสยามรันเนอร์ และหนุ่มๆ จากเทียนทะเล ที่วันนี้มากันพอสมควร ความเพลิดเพลินทำให้ลืมความจุก ความเหนื่อยไปได้ และวิ่งครบระยะ 5 กม. จนได้ที่เวลา 22:56  ซึ่งคลับคลายคลับคลา ว่าสถิติที่ดีสุดของระยะทาง 5 กม. ที่เคยทำได้เวลาน้อยกว่านี้ แต่มาถึงนาทีนี้แล้วอะไรก็หยุดไม่อยู่แล้วครับ เพราะผมเริ่มได้เป้าหมายในการออกไล่ล่าแล้ว เพราะฝั่งตรงข้าม สาวๆ หนุ่ม ๆ เสื้อส้มดำ จากชมรมวีเลิฟสถาวรรันนิ่งคลับ ต่างทยอยวิ่งผ่านไป ตั้งแต่คุณหนก อาปู น้องเส่ง และน้องบี ที่วิ่ง ตามกันมา ซึ่งคำนวณระยะทางแล้วน่าจะห่างอยู่ประมาณ 1 กม.

ในระหว่างที่เริ่มเร่งจังหวะในครึ่งทางหลัง กับเป้าหมายวันนี้ต้องวิ่งต่ำกว่า 50 นาทีให้ได้ ครึ่งทางแรก ทำได้แล้ว หากไม่ยางแตกไปซะก่อน วันนี้น่าจะผ่านได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่ว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรอีกหรือป่าว ระหว่างเส้นทางนี้ ก็พบ ทั้งพี่ทศ คุณไก่ พยัคฆ์ดำ ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า ซึ่งยังคงเอกลักษณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงกับการวิ่งชิวเคร้าเสียงเพลง

ความคิดแวบขึ้นมาในสมองบัดดล ว่าจะต้องวิ่ง 4.30  ใน 2 กม.ต่อจากนี้ แล้วค่อยไปผ่อนในจังหวะขึ้นสะพาน แล้วค่อยอัดให้หมดถัง เมื่อกลับตัวหลังลงสะพาน

นาทีนี้ จังหวะการเร่ง เป็นเท้าต่อเท้า เหมือนกงล้อที่กำลังถูกปลดปล่อยลงจากเขา การฉีกจังหวะแซงน้องบี สาวหมวกแดง ก็เริ่มขึ้น เมื่อจุดให้น้ำ กม ที่ 6  ยังเหลือเป้าหมายให้เกาะอีกหลายคนและหลายช่วงในวันนี้  จากการสังเกตุเมื่อกลับตัวมา  ระยะห่างแต่ละคนมีพอสมควร ที่จะให้สะสมพลังงานในการระเบิดฟอร์ม

นาทีนี้เหมือนเครื่องจักรสีแดง ที่พลังฟื้นกลับมา ไม่มีอาการจุก มีแต่ความสนุกทุกย่างก้าวที่ทะยานออกไป เริ่มร่นระยะห่าง กับ กลุ่มพลพรรค ส้ม-ดำ สองอาหลานลงมา จนกระทั่ง สังเกตุได้ว่า หนุ่มน้อยเริ่มออกอาการหล่น และเริ่มห่างจากคุณอา ทีละน้อย ผมจึงค่อยๆ เร่ง เพื่อหาจังหวะเกาะไปโดยไม่ลืมเป้าหมายของการคุมเพชเวลา 4.30 เพื่อถนอมแรงไว้สปีดในช่วงสุดท้าย กลับได้เจอกับน้องแจง ที่วันนี้เป็นสาวส้มดำ อีกคน จึงชวนให้วิ่งด้วยกัน แต่ได้รับการปฏิเสธ อย่างสิ้นเยื่อใย เพราะอาการป่วยอีกครั้ง

จุดให้น้ำจุดที่ 4  ที่ระยะ 8 กม. อยู่ข้างหน้า  มาถึงตอนนี้ เริ่มเจอเพื่อนๆ ที่คุ้นตากันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะพี่อำนวย เทียนทะเล ที่ตอนนี้ ออกสเตป วิ่งอยู่ในจังหวะและรัศมีเดียวกันกับเป้ เซ็นทรัลพระราม 2   ข้าพเจ้าจึงเร่ิมเร่งความเร็ว แซงคุณอา ยังสาวขึ้นไปก่อน ก่อนที่จะเร่งอีกจังหวะเพื่ิอแซงพี่อำนวย ที่ผมเพิ่งจะวิ่งแพ้ไปแบบสู้ไม่ได้เมื่องานวันอาทิตย์ ที่บางหญ้าแพรก ระยะฮาล์ฟที่ผ่านมา

หลังจากรับน้ำในจุดที่ 4 เรียบร้อย กินทางปาก และระบายความร้อนทางหัวเรียบร้อย ตั้งใจจะวิ่งเข้าไปใกล้เป้ให้มากที่สุดเพื่อดร๊าฟท์ ให้ใช้แรงน้อยลง ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ขึ้นสะพาน

ผลปรากฏว่าผมแรงเริ่มตก อาจจะมาจากจังหวะที่เร่งกระชากมาตลอดทาง และการไม่ได้ซ้อมลงคอร์ตใด ๆ ตลอดที่ผ่านมา  รวมกับเนินยาวๆ  แต่ดีที่ว่า ตอนนี้มีความอึดจากการซ้อมยาวมาตลอดเดือน จึงทำให้ไม่น้อค จึงต้องประคองจังหวะ ไม่คิดเร่งในจังหวะขึ้นสะพานนี้ ใช้กลยุทธ์ทุกอย่างที่รู้ ไม่ว่าจะโน้มตัวไปข้างหน้า ก้าวสั้น แต่ถี่ เพื่อประหยัดแรง แต่กลับเป็นว่า เป้ เกิดคึกอะไรไม่รู้ สปีดหนีไป ยิ่งช่วงลงสะพาน ยิ่งกระหน่ำหนีไปไกล เกือบ 200 เมตร  ผมเองจึงปล่อยไป ไม่คิดตามต่อ เพื่อสะสมพลังงานใหม่อีกครั้ง ทำให้ กม ที่ 9 เวลาวิ่งหล่นไป เกือบ 20 วินาที จากที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ยังสามารถวิ่งแซงเพื่อนนักวิ่ง ได้หลายคน ที่เริ่มถอดใจกับสะพานนี้ ด้วยการเดินเป็นแถว

เมื่อจะเริ่มกลับตัวหลังจากวิ่งดิ่งลงสะพานข้ามแยกมา ก็พบ พี่คำรณ ของสวนพฤกษ์ 99 ที่วันนี้มาวิ่งลากพี่นัท อีกครั้ง ซึ่งเป็นภาพที่คุ้นตา เหมือนที่เจอที่งาน PEA  พลางคิดในใจ ถ้ายัยแจงวิ่งเกาะมาวันนี้สนุกแน่ แต่ก็ได้แต่คิดเพียงเท่านั้น

พระเจ้า ในขณะที่กำลังจะวิ่งกลับตัว เป็นจังหวะเดียวกับที่ อพปร ปล่อยมอเตอร์ไซต์ที่กักอยู่ออกไป เพราะอาจเห็นว่าระยะคนสุดท้ายกับข้าพเจ้าห่างกันมาก แต่หารู้ไม่ว่าข้าพเจ้ากำลังสปีดเพื่อให้ทันกับจังหวะการกันรถ แต่ดีที่ว่า เจ้าหน้าที่สายตาไว จึงรีบออกมากันรถให้อีกครั้ง

ปราศจากความกลัวใดๆ จึงเริ่มเร่งสปีดอีกครั้ง เป้าหมายครั้งนี้ อยู่ที่ 4.20 นาที และใส่ให้หมดถังเมื่อ 500 สุดท้าย เมื่อข้ามสะพานเล็กข้ามคลอง มา เพื่อรับน้ำในจุดที่ 5 ซึ่งก็คือจุดที่ 1 ที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับนั่นเอง ระยะห่างจากเป้ เริ่มลดลง ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งสปีดอีกครั้ง เพราะรู้ว่า ถ้าไม่ใส่ตั้งแต่ตอนนี้ โอกาสที่จะทำสถิติใหม่ให้กับตัวเอง คงเกิดขึ้นอีกที อีกนานแน่ๆ

เครดิต ภาพ โปรรุจน์
ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวถนนพระราม 2 ก็สามารถวิ่งไล่แซงพี่สีฟ้า สาวแนวหน้าจากสยามรันเนอร์อีกท่าน และทัน หนุ่มน้อยจากเซ็นทรัลพระราม 2 ที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่สามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเอง พร้อมคว้าถ้วยอันดับ 4 ไปนอนกอดที่บ้านสมใจ จากงานบางหญ้าแพรก ที่ผ่านมา  ซึ่งบอกได้เลยว่าถ้าวันนี้ไม่ฟิต ไล่ไม่ทันแน่ เพราะการวิ่งวันนี้เจ้าเป้ วิ่งไม่มีตกเลย วิ่งจังหวะสม่ำเสมอมาตลอด ผมเลยแหย่ด้วยการเริ่มเร่ง เพื่อบิวท์กันเองให้ส่งแรงกัน ซึ่งได้ผล เพราะเมื่อผมเร่ง เป้ก็เร่งตาม ซึ่งถ้ากลับไปดูสถิติการวิ่งของเป้ จะเห็นได้ว่า เป้ประคองจังหวะได้สม่ำเสมอมาตลอดทาง จนกระทั่งผมมาล่อให้เร่ง 5555+

เมื่อเร่งขึ้นแล้ว มีการตอบรับ ยิ่งทำให้มันส์มากขึ้น ทำให้นึกไปถึงงานปลายปีเมื่อ 2 ปีก่อนที่ ถนนสายหนึ่ง ที่ผมกับบอย ผลัดกันนำ ผลัดกันแซง จนสร้างสถิติใหม่ตอนนั้นได้

นาทีนี้หยุดไ่ม่อยู่ใหญ่ เมื่อเห็นเป้าหมายสุดท้าย สาว ส้มดำ ที่วันนี้ นำม้วนเดียวจบในกลุ่มสมาชิก จึงเริ่มสปีดเพิ่ม เมื่อวิ่งไปถึงคุณหนก จึงชวนให้เร่งสปีด เพราะเห็นสาวโอ๋ ในกลุ่มอายุเดียวกันอยู่ข้างหน้า แต่เหมือนเจ้าตัวจะมีอาการอะไรสักอย่าง จึงไม่ได้ตามขึ้นมา จากจังหวะดังกล่าวส่งให้จังหวะการวิ่งขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับนักวิ่งเท้าเปล่าในคราบนักมวย ที่วิ่งด้วยกันสักพัก ก่อนที่จะมีภาพคู่กันในจังหวะที่โปรรุจน์ แห่งชัตเตอร์รั่นนิ่ง กดชัตเตอร์อยู่ ซึ่งเมื่อข้ามสะพานข้ามคลอง สะพานสุดท้าย ไปแล้ว ผมจึงเร่งอีกครั้ง เพื่อให้เข้าเส้นชัยเวลาให้ดีที่สุด เพราะโอกาสแบบนี้หายาก

ซึ่งก่อนที่จะเลี้ยวเข้าสู่ปลายทางของการแข่งขัน ก็มีโปรตุ้ม มาดักรอบันทึกภาพอยู่ จึงจัดท่านี้ให้พี่ไก่ เพื่อปลอบใจผลของแมนยูที่ผ่านมาให้
ขโมยท่ากางปีกจากผู้เฒ่าเต่ามา
เครดิตภาพ ตุ้มชัตเตอร์รันนิ่ง

จนสามารถผ่านจุด Finish ที่เวลา 50:17 นาที  แต่เมื่อกดนาฬิกาหยุดเวลาที่ข้อมือข้าพเจ้า มันหยุดที่เวลา 48:17 นาที  ซึ่งสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญอันแรกคือ  วิ่งนครธนทุกปี เวลาต้องดีขึ้นทุกปี ไปจนได้

ซึ่งเมื่อมาตรวจผลการแข่งขัน ถึงแม้จะไม่ได้ถ้วยใดๆ จากการแข่งขัน แต่ พณ ท่านเอ็นโดมอนโด ก็ใจดีมอบถ้วยให้ 3 ใบ จากสถิติใหม่
10K  45:00
5K    22:21
3Mile  21:38

พบกันใหม่ปีหน้า ที่เวลาต่ำกว่า 48 นาที

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Race 127 วิ่งปั่นเพื่อน้องโลกหัวใจ โรงพยาบาลสมิติเวช




เป็นเรื่องที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย ในวิถีชีวิตของการวิ่งที่ต้องตื่นขึ้นมาวิ่งแข่งเช้าวันเสาร์ แถมในงานยังมีการปั่นจักรยานอีกด้วย  วันนี้นอกจากมาวิ่งแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องมาแจกเบอร์และเสื้อวิ่งด้วยจากภารกิจใหม่ที่เข้ามาในชีวิต

อากาศเช้านี้เย็นสบายเหมาะแก่การนอนเป็นอย่างมาก แต่หัวใจนักวิ่งจะทำอย่างนั้นได้เยี่ยงไร อากาศเย็นควรจะต้องวิ่งมากกว่านอนอุดอู้ อยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อมาถึงบริเวณงานเมื่อเวลาตี 5 ค่อนข้างแปลกใจกับบรรยากาศในงาน  แปลกใจตั้งแต่ขับรถเข้ามา ไม่รู้จะจอดตรงไหน ไม่มีเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยเข้ามาแนะนำเลย เลยตัดสินใจจอดรถอยู่ข้างทาง และเดินออกมา จึงเจอจุดที่จอดรถ แต่ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปเพราะเวลาค่อนข้างจวนตัวและมีภารกิจต้องทำด่วน

หลังจากเท้าก้าวแรกเข้ามาในบริเวณงาน ก็เริ่มงงกับสถานที่ ไม่เห็น หรือไม่มีจุดปล่อยตัว ตั้งอยู่ในบริเวณงาน เห็นแต่เวทีบนพื้นที่จัดอยู่คู่กับรถของโรงพยาบาล  ฤา ว่า ผู้จัดหน้าใหม่ โรงพยาบาลสมิติเวช จะไม่ได้ทำการบ้านในงานวิ่งเลย  เพราะเป็นการจัดงานครั้งแรกของโรงพยาบาล สำหรับการจัดงานวิ่ง ปั่นการกุศล เพื่อหาทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจของโรงพยาบาล  มีหลายคนเข้ามาถาม แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วจึงไปปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายต่อไปซึ่งหลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ สายตากลับเหลือบไปเห็น ซุ้มลม ที่เป็นจุดสตาร์ท ตั้งตระง่านอยู่ด้านหน้า และเต็มไปด้วยจักรยานของเหล่าสิงห์นักปั่น เต็มไปหมด  ฤา นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับต้นๆของไทย ที่เกิดขึ้นในวันนี้  โดยที่ใจก็ยังวิตกว่า จะพบพานกับสิ่งอื่นใดต่อไปที่จะทำให้ประหลาดใจ
credit พี่รุจน์ shutterrunning.com
เมื่อใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวนักวิ่งต่าง ไปเตรียมพร้อมที่จุดปล่อยตัว ซึ่งเท่าที่สังเกตส่วนใหญ่ไม่เคยได้เห็นในสนามวิ่ง และเมื่อได้ยินคำบอกเล่าต่างๆ ก็ทำให้รู้ว่า บางคนไม่เคยวิ่ง แต่ครอบครัว เพื่อนๆ ชวนกันออกมาในงานนี้ เนื่องจากได้วิ่งแล้วยังได้ร่วมสมทบทุนในการช่วยเหลือเด็กๆ ซึ่งก็ได้ยอดบริจาคมามิใช่น้อย ใครว่านักวิ่งขี้เหนียว บัดนี้โลกนักวิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว   ใกล้เวลาสตาร์ท การ์มิน ข้าพเจ้ายังไม่สามารถจับสัญญาณ GPS ได้  แถมยังปวดฉี่อีกต่างหาก จึงต้องไปใช้บริการรถสุขาติดแอร์ให้เป็นประสบการณ์อีกแบบให้กับชีวิต

เมื่อปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยจึงค่อยๆ วิ่งวอร์มกับไปที่จุดปล่อยตัว พร้อมๆ กับได้ยินสัญญาณเสียงปล่อยตัว  พร้อมวิ่งไปด้วยสภาวะไร้ความกดดัน  เพราะวันนี้โจทก์ทั้งหลาย ไม่มา  และที่มา เจ้าหล่อนก็หนีไปปั่นจักรยานซะงั้น ............................... สบายใจไทยแลนด์


ซ้าย ขวา ซ้าย   ซ้าย ขวา ซ้าย จังหวะนี้มันจะวิ่งยังไง ถ้าไม่ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา  คำถามกวนประสาทแวบเข้ามาในหัว สงสัยอาจจะเป็นเพราะไม่มีใครมาลากเป็นแรงบันดาลใจ จิตที่เป็นนายก็เลยเริ่มฟุ้งซ่านซะงั้น ทำให้กายที่เป็นบ่าว เริ่มตุปัดตุ๊เป๋  เอาฟร่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว วิ่งอัดมันซะเลยดีกว่า  แถมวอร์มก็ไม่ได้วอร์ม ยืดเหยียดก็ไม่ได้ทำ  เป็นการวิ่งนอกตำราอีกครั้งหนึ่ง ที่หลังๆ มักจะทำบ่อยกว่าปกติ

กวาดสายตาไปโดยรอบ วันนี้ ไม่มีแนวหน้า ขาแรงมาสักเท่าไหร่  ใจพลางคิดไปพลาง แทบเอามือรูปปาก เอาว่ะ วันนี้ สงสัยจะได้อยู่หน้าแรก รูปวิ่งชัดเตอร์รันนิ่งแน่ๆ พร้อมกับบรรจงถีบตัวส่งตัวเองให้แรงขึ้นไปอีก  จนสามารถแหวกฝูงชน ออกมาเมื่อมาถึงปลายทางของโรงพยาบาล มุ่งหน้าสู่ถนนหลวง สายศรีนครินทร์  โดยมีเป้าหมายแรก อยู่ที่ แยกลำสาลี  

อาการตอนนี้คล้ายตอนเองเป็น เฟอร์รารี่ ขับปาดซ้าย ปาดขวา แซงหน้า บรรดานักวิ่ง ผู้ร่วมงานไปทีละคนสองคน  ซึ่งรวมไปถึง ดาราใหญ่ ที่วันนี้มาช่วยเป็นพิธีกรในงานด้วย    แปลกใจมากที่วันนี้บนเส้นทางการวิ่งที่เริ่มต้น ไม่ค่อยจะเจอใครที่รู้จัีก หรือโจทก์เก่า ๆ มาให้สร้างจินตนาการระหว่างวิ่งเลย ตลอด 2 กม.แรก  จนคิดไปว่าความสนุกคงลดน้อยลงแน่ๆ  พลางวางแผนการวิ่งว่าวันนี้จะลองดูว่าถ้าลากจังหวะ 4:45 นาทีต่อ กม. จะยางแตกที่ กม.ที่เท่าไหร่ เพื่อเอาผลงานไปปรับปรุงในการซ้อมใหม่

การวิ่งตลอด 2 กม.แรก บนถนนศรีนครินทร์ รู้สึกชอบมากๆ กับ ถนนโ่ล่งๆ บวกกับอากาศวันนี้ที่เย็นสบาย วิ่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัด และเมื่อรับรับน้ำแพ็คจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่วันนี้มาปฏิบัติภารกิจส่งน้ำให้นักวิ่ง กันตามจุดให้น้ำต่างๆ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามีกี่จุด  ข้าพเจ้าคว้าน้ำที่ทางเจ้าหน้าที่ยื่นให้ พร้อมกับบรรจงยื่นริมฝีปากขยับเข้าไปใกล้ และเริ่มดูด ด่ำกับความหอมหวานและเย็นสดชื่นที่ได้รับ

พร้อมกับประคอยแก้วน้ำไปเพราะข้าพเ้จ้าจิบน้ำไปเพียงเล็กน้อย ..... แยกเป้าหมายถึงแล้ว เราจึงรีบหักตัวหมุน 90 องศาไปทางซ้ายเพื่อมุ่งหน้าสู่ถนนรามคำแหง พร้อมภารกิจวิ่งแซงเหล่าซือ แห่ง มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกไป พลางคิดในใจสงสัยวันนี้จะไม่ธรรมดา เพราะปกติจะเห็นวิ่งช้ามาตลอดหลายงานที่ผ่านมา วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าซือ สงสัยจะมียาดีแน่ๆ  เมื่อวิ่งมาถึงถนนรามคำแหง เกิดคำถามขึ้นมาในหัวสมองทันทีว่า  ทำไมถนนเส้นนี้แถบเต็มไปด้วยซอยย่อยมากมาย  ไม่มี เจ้าหน้าที่มากั้นรถเลย เมื่อวิ่งเข้ามาถึงถนนเส้นนี้

จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการวิ่งมากขึ้น  การวิ่งตามรถเมล์ ได้บังเกิดขึ้นอีกขึ้น เพราะท่านๆ คนขับเหล่านั้น ก็บรรจงในการขับ ลาก ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้ผู้โดยสาร ที่ยังค้าง หรือเดินอยู่ในซอย เห็นและรีบมาขึ้น    เห็นทีท่าไม่ดีข้าพเจ้า จึงจำเป็นต้องหนีขึ้นไปวิ่งบนฟุตบาต ท่ามกลางสายตานับสิบ ที่ยืนอยู่ข้างทาง บ้างก็กำลังชะเง้อ มอง รถเมล์เป้าหมาย บ้างก็หันหลังให้เพื่อจับจ่ายใช้ซอย กับร้านค้าข้างทาง สายตาที่มองมา ที่กลุ่มนักวิ่ง รวมถึงตัวข้าพเจ้า  คล้ายเหมือนกับมีคำถามอยู่ในแววตา ว่า  พวกนี้มันมาวิ่งทำอะไรกัน

สาวฝีเท้าดีที่น่าจับตามอง
ระหว่างทางบนฟุตบาศก์  มีเร็วมีช้าบ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ข้างทาง จนกระทั่งพ้นอาณาเขตของรถเมล์ การกลับลงมาวิ่งบนถนนก็กลับมาอีกครั้ง  และก็พบเป้าหมายแรก คือ หนุ่มเมืองสะตอ ที่วันนี้ วิ่งค่อนข้างเร็ว และกำลังเกาะกลุ่มอยู่ กับ 1 หนุ่ม  1 สาว  ซึ่งจากการสังเกตุจังหวะวิ่งการวางเท้าแต่ละช้าง ของสาวน้อย ที่น้องหนุ่มเมืองสะตอวิ่งตามมาจังหวะวิ่งสม่ำเสมอมาก  น่าจะเป็นขาแรงอีกท่านหนึ่งที่เรายังไม่รู้จักแน่ๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นหลัง

ข้าพเจ้าอาศัยเกาะห่างๆ ไปอยู่สักพัก  ก็เริ่มรู้สึกเครื่องร้อน เมื่อพ้น กม.ที่ 3 จึงเร่งแซง ออกไปด้วยการเพิ่มความเร็วเล็กน้อย ไม่ให้เกินกว่า 4.30 นาที ที่ตั้งใจไว้ ว่าวันนี้ลองวิ่งจังหวะ ที่ 4:45 ดูว่าจะยางแตกตอนไหน  ซึ่งจากการประเมินคิดว่า ไม่น่าจะรอดที่ กม.ที่ 6 แน่ๆ  เพราะที่ผ่านมาซ้อมวิ่งแค่ 5 โลต่อวันเท่านั้น เพราะกังวลจากอาการบาดเจ็บที่ยังตามหลอกหลอนเสมอเมื่อเริ่มวิ่งยาว

เมื่อพ้น กม.ที่ 4   จากระยทางที่ข้อมือตัวเอง ก่อนจะถึงหน้า กกท แหล่งของหนุ่มสาว ที่ชอบมาออกกำลังกาย สามารถวิ่งแซงพี่โก้ สรณะ หนุ่มหุ่นเสาไฟฟ้า ที่วันนี้วิ่งเร็วกว่าที่เคยเห็น เมื่อทักทายกันเล็กน้อยข้าพเจ้าจึงเริ่มหนีออกไป  และปรับจังหวะวิ่งให้สบายขึ้น โดยตอนนี้ไม่ต้องหนีขึ้นฟุตบาทอีกแล้วเมื่อถึงป้ายรถเมล์  เพราะตรงแยกนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยกันทางให้หนึ่งนาย  แต่ตลอดเส้นทางคงไม่มีการตั้งกรวย เพราะถนนเส้นนี้คงไม่สะดวกที่จะดำเนินการเยี่ยงนั้น เพราะจะทำให้ผู้สัญจรและใช้ยวดยานแถวนั้น สวดให้แน่ๆ

ป้ายระยะทางของงานที่ตั้งไว้ มันเพี้ยนไปแล้วเมื่ออยู่บนถนนรามคำแหง ซึ่งถ้าใครไม่มีอุปกรณ์สำหรับบอกระยะทางส่วนตัว นาทีนี้คงเกลี่ยแรงกันมั่วไปหมดแน่ๆ

เมื่อมาถึง หน้า ม.รามคำแหง  ระยะห่างของนักวิ่งเริ่มยืดออกไป เริ่มมองเห็นข้างหน้าน้อยลง เพราะเท่าที่กวาดสายตาไปไกลๆ เห็นเพียง 2-3 คน ที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับแบคกราวนด์หลังของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง   อารมณ์ของแนวหน้ามันช่างเดียวดายยังนี้นี่เอง การวิ่งที่ไม่มีผู้คนรอบข้าง มันช่างอ้างว้างจับใจ เป็นการวิ่งที่อาจจะปราศจากมิตรภาพก็เป็นได้ 

นาทีนี้แรงบันดาลใจที่จะวิ่งให้จบตลอดรอดฝั่งนอกจาก การอยู่หน้าหนึ่งในชัตเตอร์รั่นนิ่งสำหรับงานนี้ ก็คือ คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ที่ข้าพเจ้าจะต้องพยายามเข้าไปให้ใกล้และแซงให้ได้ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง แต่ก็คงไม่ลืม เรื่อง เวลาที่ต้องควบคุมด้วย  ซึ่งในตอนนี้ เป้าหมายที่ข้าพเจ้าพยายามเกาะเป็นชายชุดขาวที่ระยะห่างกันประมาณ 150 เมตร

เมื่อมาใกล้ถึงแยกเอวอนจึงต้องหนีขึ้นฟุตบาศก์อีกครั้ง พร้อมกับเลี้ยวซ้ายเ้ข้าสู่ถนนพระราม 9 ยังไม่ทันที่ที่จะได้ลงจากฟุตบาศก์ เพื่อหาเป้าหมายต่อไป บรรดาเจ้าถิ่น เริ่มตะกายวิ่งออกมาต้อนรับกัน เสียงดังระงมกันใหญ่  ข้าพเจ้าถึงกับต้องเบรคเอี๊ยดดดดดดดด  เพราะถ้าขึ้นยังฝืนวิ่งต่อไป  ข้าพเจ้าอาจจะต้องได้ไปใช้บริการฟรีจากเจ้าภาพในการจัดวิ่งครั้งนี้ก็ได้

หลังจากหยุดเพื่อสังเกตอาการ ข้าพเจ้าก็เริ่มการย่างสามขุม หมายดูเชิงกัน แม้บรรดาเจ้าถิ่น มันไม่ได้มากันมากมาย หมายที่จะรุมข้าพเจ้า แต่เหมือนกับว่า เจ้าถิ่นตัวน้อย ต้องการแสดงให้รู้ถึงอำนาจและแสดงความเป็นเจ้าถิ่นของมัน 

การประสานตากันระหว่างข้าพเจ้ากับมัน จบลงทันที เมื่อ ผู้พิทักษ์ความสะอาดระแวกนั้น เดินเข้ามาและใช้ไม้คู่ใจ ตีลงพื้นพร้อมกับไล่ฝูงเจ้าถิ่น ที่ยังไม่ทันได้ระวัง จึงตะกายวิ่งหนีออกไป  ข้าพเจ้าสบตากับผู้ช่วยเหลือท่านนั้นและได้แต่เอ่ยคำขอบคุณเล็กน้อย และจึงรีบเร่งเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป

แต่ทว่าเมื่อเกิดการหยุดอย่างกระทันหัน จังหวะที่ไหลลื่นมาตลอดเริ่มใช้ไม่ได้ดังใจเหมือนเคย ลมหายใจเสียงเริ่มดังขึ้นและถี่ขึ้น   8 กม.ที่ให้ความพิถีพิถันนในการวิ่งจบลง ช้ากว่าที่คิด เพราะแต่เดิมคิดว่าคงหมดลม ที่ 6 กม. แน่ๆ  นั่นทำให้ความมั่นใจในการสู้ศึกครั้งใหม่ กับพี่น้อยวิช เริ่มมั่นใจขึ้น ถ้าข้าพเจ้าพยายามซ้อมให้ยาวขึ้น

พูดถึงพี่น้อย แล้ว นับถือพี่น้อยมากในเชิงของการค้นหาความจริงด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บ การซ้อม วิธีการซ้อม และตารางการซ้อม เป็นคนที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่เคยซ้อมร่วมกันมาเมื่อ 2 ปีก่อน  มาวันนี้ พี่น้อยสามารถดีดตัวเองขึ้นไปเป็นหมายเลข 1 ของกลุ่มเพื่อนนักวิ่งในรุ่นเดียวกัน

3 สนามหลัง ไม่สามารถที่จะวิ่งทันพี่น้อยได้ ซึ่งใครที่บาดเจ็บ หรือวิ่งแล้วไม่ดีขึ้น สามารถสอบถามค้นหาแรงบันดาลใจในการวิ่งจากพี่เค้าได้ รับรองว่านอกจากภาคปฏิบัติที่สุดมันส์ ท่านจะได้รับความรู้เชิงทฤษฏีอีกเพียบ

ศึกครั้งใหม่ ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะดวลกันที่ใด แต่ที่แน่ๆ ครั้งหน้า คงมีรายชื่อ ดังต่อไปนี้ในศึกครั้งใหม่ แน่นอนคนแรก  สาวแจง สาวแรง แห่งรัชมังคลา ส่งเข้าประกวด  โจทก์ท่านนี้หาโอกาสเอาคืนข้าพเจ้าอยู่หลังจากข้าพเจ้า ปาดหน้าเข้าเส้นที่ใต้สะพานพระราม 8  เมื่อปลายปีก่อน สามารถเรียก เสียงกรี๊ดร้องไปทั้งสนาม

หนุ่มหล่อเมืองสะตอ
คนที่สอง หนุ่มโก หนุ่มเมืองสะตอ ที่ตอนนี้พยายามซุ่มซ้อมเพื่อเร่งกลับไปที่อยู่ที่ระดับความแรงระดับเดิมก่อนอาการบาดเจ็บ  ซึ่งจะประมาทไม่ได้

คนที่ 3  พี่น้อย ผู้สร้างบาดแผล 3 ครั้งซ้อนให้กับข้าพเจ้า ที่เป็นเป้าหมายหลักที่จะต้องโค่นบัลลังก์ลงมาให้ได้

ส่วนคนนี้คนสุดท้าย สกาบอย  ช่วงนี้ เป็นม้านอกสายตา เพราะร่างกายที่บึกบึนขึ้นมาก แต่ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน

ตัดกลับมาที่ กม. 9   ซึ่งเป็น กม.ที่ข้าพเจ้าหมดจริง  ไม่สามารถประคองการวิ่งให้ต่ำกว่า 5 นาทีได้อีกแล้ว  ซึ่งถึงนาทีนี้ ได้แต่วิ่งประคองด้วยความเร็วที่ลดลงไปตลอดเส้นทางที่เต็มไปด้วยยวดยานที่สัญจรด้วยอัตราความเร็วสูง

นักวิ่งยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ  เริ่มมีขาแรงเริ่มเร่งแซงข้าพเจ้าไปทีละคนสองคน ในขณะที่ข้าพเจ้าช็อตไม่สามารถที่จะยื้อกับการโดนแซงเหล่านั้นได้เยี่ยงปกติ แต่ก็ยังใช้ความพยายามในการประคองจังหวะวงรอบการก้าวของตัวเองไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งสามารถไล่ทันหนุ่มเสื้อส้ม จากแก๊งค์ เครซีรันนิ่ง เพราะจำสัญลักษณ์ด้านหลังเสื้อได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะเป้าหมายตั้งแต่แยกเอวอน ที่ข้าพเจ้าหมายตาไว้ ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ตลอด แถม ข้าพเจ้ากลับถูกแซงกลับโดยหนุ่มชุดขาว จาก RBKS  ซึ่งลำดับการวิ่งตอนนี้ กลายเป็น  ขาว /RBKS / ข้าพเจ้า / Crazy Running  จินตนาการบรรเจิดอีกแล้ว ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงลำดับได้หรือไม่ เมื่อถึงเส้นสิ้นสุดของการแข่งขัน

มันมาอีกแล้ววววว น้องหมาเจ้าถิ่น ณ กม.ที่ 11 บริเวณทางแยกก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีนครินทร์ ทำเอาข้าพเจ้าขนลุกซู่ จนต้องหนี วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง เพื่อหยั่งเชิงดูสถานการณ์ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ทำให้ถึงกับต้องหยุดเหมือนครั้งแรก ซึ่งสังเกตุแล้วว่าเจ้าถิ่นกลุ่มนี้ ใจดี ข้าพเจ้าจึงออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ บนถนนศรีนครินทร์ ซึ่งก็ได้เจอกับโปรรุจน์ จากชัตเตอร์รันนิ่ง ที่กำลังเดินย้อนกลับมาถ่ายภาพนักวิ่ง หลังจากแอคชั่นไปเล็กน้อย เหมือนเีรี่ยวแรงเริ่มกลับมา จึงค่อยๆ สปีด หมายจะไล่ 2 หนุ่มชุดขาวให้ทัน แต่จนแล้วจนรอดเมื่อวิ่งจนถึงเส้นสุดท้าย ก็ไม่สามารถไล่ทัน และที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเข้าเส้นชัยตรงไหน เพราะซุ่มปล่อยตัวยังอยู่ที่เดิม แต่เส้นทางที่จะวิ่งไปที่ซุ่ม ถูกบังทางอยู่

การวิ่งงานนี้จบลงเมื่อวิ่งผ่านด้านข้างของซุ้มปล่อยตัว..........................เป็นอันจบ race นี้แบบงงๆ






















วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

Race 126 PEA #4

เช้านี้ เป็นเช้าของวันวิ่งที่ความรู้สึกไม่เหมือนที่ผ่านมา  อาจจะคงเป็นเพราะ เป็นเช้าแรกที่รู้สึกเฉยๆ กับการไปวิ่ง ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ ที่จะมาบิ้วท์ ให้รู้สึกกระหาย หรือฮึกเหิม ต่อการแข่งขันไม่

ก่อนที่จะถึงวันงาน ข่าวคราวของงานวิ่งที่นี่ นอกจากการแถลงข่าวแล้ว กลับนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งแตกต่างจากงานอีกงาน ณ กลางเมืองหลวง ที่บัตรวิ่งที่เปิดจำหน่ายหมดก่อนงาน 1 สัปดาห์ จนต้องวิ่งวุ่นผลิตเบอร์สำรอง ออกมาจำหน่าย

ความกังวลของผู้จัดงาน PEA ณ เช้าวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าคิดว่า เจ้าภาพคงกลุ้มใจกับงานที่มีนักวิ่งมาร่วมงานน้อย เพราะตอนเช้าวันงานประมาณตี 3 - 4  ฝนได้ตกลงมา

แต่เหตุการณ์ความว่างเปล่านั้น ก็คงเกิดขึ้นได้แค่ในมโนภาพของข้าพเจ้าเพียงเท่านั้น เพราะว่าในโลกของความเป็นจริง  เช้าวันงาน เต็มไปด้วยนักวิ่งที่มาสมัครที่หน้างาน จนกระทั่งเบอร์หมด เสื้อหมด ซึ่งทำเอาเจ้าภาพ ตลอดบุคคลที่เกี่ยวข้องในวันงาน หน้าบานเป็นจานกระโ้ด้งก็มิปาน

ซึ่งข้าพเจ้าจะบอกว่า ท่านตัดสินใจเลือกได้ถูกต้องแล้ว เพราะในบรรดาสนามวิ่งที่ข้าพเจ้าไปวิ่งมาใน กรุงเทพฯ  สนามนี้ เป็นสนามที่ ติด 1 ใน 3  สนามวิ่งในดวงใจของข้าพเจ้า เพราะอะไร ข้าพเจ้าถึงกล้าที่จะการันตีกับงานเล็กๆ ที่ผู้จัด ใจใหญ่มาก เยี่ยงนี้

ปัจจัยที่กล้าการันตี มิใช่มาจากงานนี้ แจกตุ๊กตา สัญลักษณ์ประจำ กฟภ  หรือ กำไรทำมือ ที่จุดเช็คพอยต์ และหาใช่เสื้อยืดคอปก ที่ มูลค่าทั้งหมด คิดว่ามีค่ามากกว่า ค่าสมัคร 300 บาท ที่จ่ายไป แต่กลับเป็นสิ่งที่ประัทับใจของที่นี่ กลับเป็นความตั้งใจของผู้จัดงานที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด (แต่ปีนี้พลาด เรื่องเข็มกลัดที่หมด ซึ่งทำให้ความรู้สึกเสียไปบ้าง)  

เส้นทางที่ผู้จัดงาน สามารถวิ่งเข้าไปในสนามกอล์ฟนอร์ธปารค์ กับเส้นทางวิ่งที่สวยงามและมีความปลอดภัย จากการวิ่งถนนโลคัลโรด   ขณะวิ่งถ้าไม่แข่งกันทำเวลากันมากเกินไป ท่านก็จะได้รับโอโซนอากาศที่ค่อนข้างบริสุทธิ  เพราะมียวดยานสัญจรน้อยในเช้าวันงาน  และที่สำคัญ มิต้องโดนผู้ใช้รถใช้ถนน อวยพร ตลอดเส้นทางการวิ่ง

พูดถึง 1 ใน 3  สนามวิ่ง ในเมืองหลวง ที่ข้าพเจ้าประทับใจ  ยังมี อีกสองที่  คือ งานอดิดาสคิงส์ออฟเดอะโรดปี 2012 ที่ปิดถนนสาทร วิ่งกันตอนตี 4  ไม่รู้เป็นอะไรคิดถึงถนนเส้นนี้ทีไร ขนลุกทุกที กับการปิดถนนกันรถของเค้าที่เรียกว่าต้องยกนิ้วให้ ซึ่งสนามนี้เป็นสนามที่ข้าพเจ้าอยากให้ปิดถนนจริงๆ 100% แล้ววิ่งกันตอนสว่าง  วิ่งกันให้เต็มถนน คงรู้สึกดีมิใช่น้อย  ลองมโนภาพ แล้วท่านจะเห็นผู้คนเรือนหมื่น ฉากหลังเป็นอาคารสำนักงาน สถานทูต สถานีรถไฟฟ้า  อาจจะถือเป็นการสร้างสัญลักษณ์ของเมืองใหม่ก็เป็นได้และผู้ร่วมงานก็คงจะเยอะมาก เพราะอยู่กลางเมือง การสัญจรไปมาสะดวก

ส่วนอีกสนามที่ ที่ข้าพเจ้าประทับใจ ก็คือ ที่ไหน โปรดติดตามต่อตอนหน้า.......

........................................................................

บรรยากาศวิ่งปีนี้ แตกต่างจากปี 2011 ที่ข้าพเจ้ามาเยือน เพราะในครั้งนั้น พลพรรคเสื้อเหลือง ชมรมเซ็นทรัลพระราม 2  ขนกันมาเต็มพิกัด  มีการขับเคี่ยวกันตลอดเส้นทางเป็นที่สนุกสนาน แต่ปีนี้ จากอาการบาดเจ็บ หรือจุดเปลี่ยนของเพื่อนบางคนที่เกิดขึ้น ทำให้บรรยากาศของเพื่อนๆ ร่วมชมรม ลดลงไป แต่ก็ไม่ทำให้บรรยากาศการแข่งขันด้อยลงไปแต่อย่างใด เพราะทุกครั้งเราก็ต้องสร้างเป้าหมายใหม่ ขึ้นมาจรรโลงและกระตุ้นตัวเองอยู่ตลอดเวลา

เครดิต รุจน์ shutterrunning

หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว จึงมาเตรียมตัวที่จุดสตาร์ท พร้อมน้องโก และบอย  วันนี้น้องโกบอกว่าขอวิ่งเกาะ เพราะนาฬิกาวันนี้ไปทำธุระไม่ยอมให้ใช้งาน ซึ่งการรอปล่อยตัวอยู่ประมาณแถวที่ 12-13 จากข้างหน้า เป้าหมายในวันนี้ จริงๆ ตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งให้ดีกว่าครั้งที่แล้วเมื่อปี 2011  แต่สืบเนื่องจากอาการบาดเจ็บ จึงเปลี่ยนมาเป็นวิ่ง 10K ให้ต่ำกว่า 50 นาที ก็เพียงพอ 


พอสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ข้าพเจ้า ก็เริ่มเดิน ออกไปเรื่อยๆ  ประมาณ 100 เมตร ถึงจะเริ่มมีพื้นที่ให้วิ่งได้  

ซึ่งจริงๆ แล้ว อยากให้งานทุกงานกันพื้นที่สำหรับคนที่ต้องการใช้ความเร็วบ้างก็ดี เพราะทุกวันนี้ มักมีนักวิ่งที่วิ่งช้า มักชอบไปยืนอยู่แถวหน้า แล้วพอสตาร์ท ก็มักจะเกิดปัญหากับนักวิ่งที่ใช้ความเร็วที่อยู่ด้านหลังพอสมควร นอกจากนี้ยังเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวนักวิ่งด้วย

วินาทีนั้นเหลือบเป็นเห็น บิ๊กกล้วย ที่เริ่มเร่งความเร็วออกไป ข้าพเจ้ามองซ้าย มองขวา จึงเร่งฝีเท้าตามออกไป จนพ้นขอบรั้วของ กฟภ  ออกสู่ถนนใหญ่ หมายจะเกาะไปเรื่อยๆ  ทำให้ภาพครั้งเมื่อปี 2012  ย้อนกลับขึ้นมาในสมอง  ในปีนั้น ก็เป็นแบบนี้ เพราะเมื่อข้าพเจ้าเหลือบเห็นเพื่อนที่ซ้อมด้วยกัน จึงวิ่งเกาะไป ทำให้ความเร็วเกินพิกัด แล้วยางก็แตกเมื่อถึงจุดกลับตัวกลับย้อนเข้ามาอีกครั้ง  ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อไป ความเร็วของพี่บิ๊กกล้วย ก็ลดความเร็วลง คงปรับเป็นการวิ่งจังหวะปกติ  อ้าวพี่ .......  เครื่องผมติดแล้ว ผมจึงดึงจังหวะวิ่งของผมต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปเจอหนุ่มใหญ่ ชาวพิษณุโลก ที่วันนี้มาในชุดสีชมพูหวานแหว กระทาชายนายนั้น ก็คือ โจ้ ธนาคารออมสิน  ข้าพเจ้าจึงวิ่งตามไปอยู่ห่างๆ ซึ่งสังเกตุว่าหลังจากโจ้ เปลี่ยนไปซ้อมวิ่งระยะกลาง คือ 800   1500  เมตร  สปีดต้นของโจ้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งหลังจากวิ่งไปได้พักนึง เมื่อถึงจุดให้น้ำแรก  เมื่อรับน้ำเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงวิ่งตีขนาบหมายที่จะตีเมืองพิษณุโลกให้แตกไปในบัดดล

ซึ่งหลังจากทักทายกัน ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นเล็กน้อย เพราะยังรู้สึกว่าร่างกายยังพอที่จะเร่งอยู่ได้ ก็เริ่มมีการบี้ตามกันมาเป็นระยะทางพอประมาณ ซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยก็คือลุงสับปะรดขลุ่ย ผู้มีลีลาสะบัดปากกาเหมือนสะบัดผมบ๊อบ อยู่ในเส้นทางเดียวกัน และ พอเพียงที่จะเร่งแซงสาวหมวยจากชลบุรี ที่อยู่ด้านหน้า ซึ่งหลังจากเร่งแซงไป มีการทักทายแซวกันเล็กน้อย  สาวหมวย ก็เริ่มเร่งตาม และแซงกลับมา  สร้างความสนุกสนานระหว่างเส้นทางวิ่ง สำหรับกลุ่มแนวกลาง เน้นความฮาตลอดเส้นทางวิ่งอย่างเราๆ 

ซึ่งแน่นอน ข้าพเจ้าคงไม่ยอมให้คุณมอร์ แซงตลอดรอดฝั่งได้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะเป็นวงรอบ จนแซงและข้าพเจ้าก็เร่งหนีออกไป  ครั้งนี้ถือว่าเป็นการแซงเร็วที่สุดมั้งเท่าที่จำได้เพราะทุกครั้งกว่าจะไลุ่คุณมอร์ทัน ก็ กิโลเมตร ที่ 7-8 แล้ว  แต่การเร่งครั้งนี้ของข้าพเจ้าเป็นการเร่งเพื่อหมายไปตายเอาดาบหน้า  เพราะนาทีนั้นเริ่มรู้สึกตุ่ยๆ ที่ข้อขาขวาของข้าพเจ้าขึ้นมาอีกแล้ว  แค่ 3 กม ยังออกอาการเยี่ยงนี้ 7 กม.ที่เหลือ ถ้าจะไ่ม่รอด วินาทีนั้นคิดอย่างเดียว ว่าอย่าไปคิดมัน ไปคิดเรื่องอื่นแทน ชมนก ชมไม้ หรือไปวิตกเรื่องอื่นแทน คงจะดีกว่า  นาทีนั้น จึงต้องปล่อยให้ลุงสับปะรดวิ่งเดียวดายไปข้างหน้าคนเดียว เพราะข้าพเจ้าเริ่มเร่งไม่ขึ้น ขืนฝึนตามไปคงเสร็จแก ก่อนจะครึ่งทางแน่ๆ

แต่เหลือบสายตาเมื่อพ้น กม.ที่ 4 หลังจากที่ย่างกายเข้าสู่อาณาบริเวณของสนามกอล์ฟนอร์ธปาร์ค นี่ถ้าไม่หากไม่ได้ออกมาวิ่ง คงไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่เป็นแน่แท้ เพราะเรื่องกอล์ฟกับข้าพเจ้าเหมือนเส้นขนานระหว่างกัน ไม่ใช่อคติหรืออะไรต่อกีฬาประเภทนี้หรอก เพียงเพราะว่าไม่มีปัญญาซื้อไม้และอุปกรณ์ ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเล่นต่างหาก   กีฬาวิ่งนี่มันเจาะฐานได้ทุกกลุ่มจริงๆ ทำให้ฝันไปว่าจะมีงานวิ่งไหนที่กล้าจัด วิ่งเข้าสถานทูต   วิ่งเข้าวัด  วิ่งเข้าห้างสรรพสินค้า หรือ สถานที่ที่ ใครก็นึกไม่ถึงว่าไอ้พวกนี้ มันจะวิ่งเข้ามาทำไม

หางตายังเห็นชายเสื้อชมพู ตามมาติดๆ ไม่ห่าง  เค้าแรงจริงๆ ไอ้หนุ่ม 1500 เมตร เอ๊ะหรือว่าเราช้า ชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเอง ถึงกระทั่งต้องหยิบนาฬิกาขึ้นมาเพ่ง และดูเวลาว่า ความเร็วเรายังปกติอยู่

แต่เริ่มเอ๊ะกับเส้นทางขึ้นมาเพราะความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเหมือนที่เคยได้รับมาเมื่อ 2 ปีก่อน วันนี้เส้นทางแปลกไป เธอไม่เหมือนคนเดิม ทำให้คำประกาศที่เคยกล่าวชมไว้ในโลกโซเชี่ยลเริ่มมีความไม่มั่นคงทางอารมณ์เกิดขึ้น  เพราะดันไปประกาศว่า งานนี้ระยะเป๊ะ 10K พอดี จากการวัดเมื่อ 2 ปีก่อน

อุบ๊ะ เค้าเปลี่ยนเส้นทางกันปีนี้ หรือ ตั้งแต่ปีก่อนหว่า ไม่มีเวลาร่ำเวลาคิดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะแรงเริ่มหมด อาจจะเป็นเพราะจังหวะที่กระชากแข่งกับคุณมอร์ ตามมาหลอกหลอนแน่ๆ แต่แล้ว ฟ้าก็ยังเป็นใจส่งเหยื่อรายใหม่ มาให้ข้าพเจ้าเกาะไปสักพักอีกแล้ว   นั่นคือน้องโอ๋ แห่งสำนักไปรษณีย์ไทย  แนวหน้าขาแรงรุ่น 30  และพี่ณัฐและพี่หมู ที่วิ่งมาด้วยกัน ที่ข้าพเจ้าวิ่งตามไม่ทันอยู่บ่อยๆ  

หลังจากเคาะปรับจูนเบาเครื่อง ให้ได้จังหวะตาม วิ่งไปได้สักพัก เรี่ยวแรงที่เมื่อกี้มันหล่นหายไป กลับฟื้นสภาพขึ้นมา คล้ายๆ กับการตอนซ้อมอินเตอร์วอล ที่มีเร่ง มีผ่อน เพื่อให้แรงกลับมา  นี่คือผลของการซ้อมอินเตอร์วอลแน่ๆ ที่ร่างกายปรับสภาพได้เร็วขึ้น  ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง หมายตีคู่ประกบแนวหน้าให้รู้สึก ฟินเล่นๆ แต่หลังจากทักทายกันแล้ว น้องกลับบอกว่า พี่ไช้ ไปเลย   .......... อ้าว อุตส่าห์จะบิ้วท์ ว่าแข่งกับแนวหน้าสักหน่อย มาผลักไสเราซะงั้น 55555

เชอะ ไปก็ได้ ใจคิดพลางประหนึ่ง พระเอกในละครทีวีหลังข่าว  .....  แล้วนาที ตรูจะตามใครเนี้ย  เอาว่ะ วิ่งหาแรงบันดาลใจข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ ดีกว่า พลางคิดในใจว่าเมื่อไหร่จะกลับตัวซะที เมื่อพ้น กม.ที่ 5 จนกระทั่งถึงจุดกลับตัว  ที่ระยะทาง 5.20 กม  พลางคิดในใจงานนี้มีแถมเกือบครึ่งโล แล้วจะเอาแรงที่ไหนวิ่งต่อหว่า

นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ กระทาชายนายกล้วยหอม ประกาศว่าวันนี้จะวิ่งเท้าเปล่า ที่ 50 นาที  สงสัยจะยากแล้วพี่ เพราะเส้นทางวันนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะว่าถึงจุดกลับตัว ถ้าใช้เวลาเกิน 25 นาที 5 โลหลังนี่ต้องใส่เกียร์หมาอย่างเดียว  ขนาดข้าพเจ้า ยื้อแล้วยื้ออีก ยังใช้เวลา 24 นาที แบบหืดเริ่มขึ้นคอ 

หลังกลับตัวเริ่มเห็นโจทก์ในงานวิ่ง กำลังบี้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น น้องโก กับบอย ที่ยังวิ่งไม่ห่างกันเท่าไหร่

เมื่อพ้น กม ที่ 6  คานเหล็กที่คอยพยุงจังหวะให้ยื้อมาได้ 6 กม. กลับพังลง เรี่ยวแรงหล่นหาย จนต้องลดเพดานความเร็วลงด้วยอัตราที่น่าใจหาย จากจังหวะวิ่ง 4 นาที  กลายเป็น 5 นาทีกว่าๆ ในบัดดล เรียกตามภาษานักวิ่ง ก็คือยางแตก นั่นเอง  ก๊อกสองก็ใช้ไปหมดแล้วด้วย ตอนนี้ จึงได้แต่วิ่งประคองจังหวะไม่ให้เร็วร้ายไปกว่านี้ และหวังว่าข้าพเจ้าไม่ต้องถึงกับต้องก้มลงไปภาวนาให้มีก๊อกสามเกิดขึ้นโดยเร็ว เหตุเพราะว่า สายตาเหลือบไปเห็น ชายเสื้อชมพู วันนี้เกาะติดเหนียวแน่ ตลอดเส้นทาง  เหมือนกับใจจะเริ่มถอด แต่ก็ไม่ถอดเพราะหลังจากเบาเครื่องลง และแล้วก๊อกสามก็กลับมาจริงๆ  จากแรงบันดาลใจในเส้นทางวิ่งวันนี้

เครดิต พี่เตือน บางขุนเทียน กับบรรดานักวิ่งที่ข้าพเจ้าเก็บมาด้านหลัง
ด้านหน้ามีแนวหน้าหญิงบี้กันอยู่สองคน คือพี่ดวงขวัญ กับพี่ปราณี ที่วิ่งประคอง สลับกันนำ กันตามอยู่ ข้าพเจ้า จึงได้โอกาสเลียนแบบวงรอบ จังหวะการวิ่งของแนวหน้าหญิงทั้งสอง ที่วันนี้สังเกตุว่าน่าจะไม่สมบูรณ์ทั้งคู่    "ไม่สมบูรณ์" มิใช่คำเปรียบเปรยว่า ผอมหรืออะไรนะครับ แต่เป็นเพราะพี่เค้าทั้งคู่มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย  เจ็บท้องคนหนึ่ง เจ็บเข่าคนนึง  ไม่ต้องห่วงนะครับ เรื่องแข่งกับผู้หญิง ข้าพเจ้าถนัดนัก

จึงถือโอกาสวิ่งลากตามยาวตลอดเส้นทางโลคัลโรด โดยแรงเริ่มกลับมาที่ละน้อย แต่ก็ยังไม่คิดที่จะเร่งแซงจนกว่าจะใกล้ถึงแยกที่จะเลี้ยวกลับไปถนนเส้นหลักก่อนเข้างาน ในใจพยายามสะกดใจให้ทำเช่นนั้น

ใจว่างได้พักเีดียว พี่จิ๋ว ที่ฝีเท้าไม่จิ๋วสมชื่อ ก็ได้วิ่งขึ้นมาแล้วเธอก็หนีไปลับตา ไ่ม่ทันได้ตั้งตัวที่จะแก้ไขสถานการณ์อะไรเลย

เมื่อพ้นจุด ที่โปรรุจน์มายืนถ่ายรูป ประมาณ กม.ที่ 8 เกือบ ๆ 9  สายตาก็เห็นพี่บ่าวขาแรงแห่งเซ็นทรัลพระราม 2 หยุดวิ่งลง เพื่อผูกเชือกรองเท้าที่หลุด  วินาทีนั้น เหมือนวิญญาณนักล่าที่หมายจะขย้ำเหยื่อกับเข้าสิงอีกครั้ง  หลังจากถามและทักทายเล็กน้อยข้าพเจ้าจึงเร่งหนี ออกไป  เอาว่ะ วันนี้ต้องเป็นที่ 1 ของเซ็นทรัลแน่ๆ ทำไงก็ได้ให้เก็บพี่เบิ้ลให้ได้   ยังไม่ทันไร สายตาก็ยังเหลือบไปเห็น ชายเสื้อชมพู ที่ยังตามเกาะมาไม่ห่างอยู่แวบๆ  พลางคิดในใจ พี่โจ้ ครับ  เมื่อไหร่ พี่จะหมด ผมเหนื่อยแล้วนะ เท่านั้นยังไม่พอ กระทาชาย นายโก้ วันนี้ มาอยู่ข้าหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ก็ควงคู่ใครอีกคนที่ข้าพเจ้าไม่รู้จัก วิ่งหนีขึ้นไปเชิญเลย  

ไม่รีรออะไรอีกแล้วข้าพเจ้าจึงเร่งฝีเท้าถึงจะไล่ นายโก๋ไม่ทันแน่ๆ  แต่เพื่อครั้งนี้จะได้เป็นที่ 1 ของเซ็นทรัลเสียที หลังจากที่จวนเจียนได้มาหลายรอบ แต่ก็เสร็จแนวหน้ารุ่น 60  ปีขึ้นไป  ลุงบัง สุวิทย์ ทุกที  จึงเริ่มออกล่าตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่อยู่บนเส้นทางถนนนี้  โดยลืมไปว่า เมื่อสักครู่ โดนพี่จิ๋วแห่งเซ็นทรัลพระราม 2 แซงไปหยกๆ

ขาแรงจากออมสิน ที่หลงเ้ข้าใจผิดว่าเป็นโจ้
สภาพจิตใจตอนนั้น สับสน คิดอะไรไม่เป็นลำดับขั้นตอน อยากทำโน่นนี่นั่น ตลอด รู้สึกขาดสมาธิ เพราะการกำหนดเป้าหมายมากเกินไปตลอดเส้นทาง แต่ก็ทำให้รู้สึกการวิ่งไม่น่าเบื่อหน่ายได้เหมือนกันใครจะลอกเลียนแบบข้าพเจ้าก็ไม่สงวนสิทธิ์ เพียงแต่มีคำเตือนก่อนลอกเลียนแบบว่า ควรมีสมาธิขั้นสูงก่อนการเรลีียนแบบ และห้ามเลียนแบบเกินกว่าวันละ 2 ครั้ง เพราะจะทำให้ร่างกายเหนื่อย

กลับมาที่เส้นทางวิ่ง การกระชากแรกสามารถแซง พี่ดวงขวัญ แนวหน้าหญิงรุ่น 60 ลงไปได้  โคตรภูมิใจสุดๆ สำหรับการแข่งครั้งนี้ และแน่นอนที่พลาดไม่ได้ คือการเร่งแซงพี่ปราณี แนวหน้ารุ่น 40 ลงไปได้อีกก่อนที่จะเลี้ยวเข้าสู่บริเวณจัดงาน แต่นาทีนั้นหนุ่มเสื้อชมพูกลับเร่งฝีเท้าแซงข้าพเจ้าขึ้นไป เห้ยผิดคน หลงเกร็งตั้งนานนึกว่า นายโจ้ จึงหวังจะเบาเครื่องลง เพราะเริ่มมีอาการเจ็บที่ข้อเท้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังไ่ม่ทันได้เบาเครื่องให้รอบต่ำลงถึงจุด recovery จริง  คราวนี้เอะใจ เลยเหลียวกับไปมองด้านหลัง ปรากฏว่ามากันเป็นแผงเลย ตั้งแต่พี่เบิ้ล น้องโอ้ พี่ดวงขวัญ และที่สำคัญที่สุด นายโจ้ตัวจริงเสียงจริง ที่ยังตามมา ก็เลยเริ่มสับสนว่าที่ตามมาตลอดเส้นทางนั่นคือใคร  วันไหนเจอเจ้าตัวต้องถามถึงเหตุการณ์ในวันนั้นซะหน่อย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ใส่แว่นจึงมองเห็นไม่ถนัด จำแต่สีเสื้อเอาตลอด

นาทีนั้นไม่คิดอะไรอีกนอกจากเร่งๆ และก็เร่งๆ เร่งเพื่อให้ต่ำกว่า 50 นาที  เร่งเพื่อสลัดให้พ้น ซึ่งหลังจากผ่านจุดที่พี่เตือนบางขุนเทียนถ่ายรูปอยู่ จึงผ่อนลงเมื่อเข้าเส้น Finish จึงนึกขึ้นได้ว่าลุงสับปะรดอยู่ไหน หลังจากเราสะลัด เอ้ยลุงแกฉีกหนีไปแล้วก็ไม่เจออีกเลย 

หลังจากนั่นย้อนดูรูปถ่ายจากค่ายบางขุนเทียนที่พี่เตือนถ่าย จึงรู้ว่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกลเลย (รู้งี้ซ้อมเยอะๆ ดีกว่า จะได้ไม่หมดแรง   เพราะที่ผ่านมาซ้อม 5 กม.มาตลอด)

ขอบคุณช่างภาพ พี่ตุ้ม พี่รุจน์ จากบางขุนเทียน  เอ้ย ชัตเตอร์รั่นนิ่งที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบ
ขอบคุณ พี่เตือน บางขุนเทียน ที่ทำให้เก็บความทรงจำหน้าเส้นได้ชัดเจนขึ้น

พบกันใหม่ PEA 2014  สนามที่ดีสนามหนึ่ง สำหรับเมืองที่คนตกท่อ





วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Race 125 Mizuno International Half Marathon 2013

พูดถึงงานวิ่งที่โด่งดัง ในเดือนกันยายน ของทุกปี คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงงานมิซูโน่ ริเวอร์แคว ฮาล์ฟมาราธอน ที่ผ่านร้อนผ่านฝนมาถึง 31 ฝนแล้ว
ข้าพเจ้าเคยได้เข้าร่วมวิ่งครั้งประวัติศาสตร์ ครบรอบ 30 ปี เมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นงานวิ่งที่ปูพื้นฐานการวิ่งยาวสำหรับการลงมาราธอนของข้าพเจ้าเลยทีเดียว

เค้าพูดกันว่าว่า หากมาวิ่งที่นี่แล้ว ถ้าไ่ม่โดนหรือสัมผัสหยาดฝน ถือว่าคุณมาไม่ถึง เค้าที่พูดถึงนี่คือตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะอะไร ข้าพเจ้าถึงได้ใช้บริบทเช่นนี้ออกมา เพราะ 2 ครั้งที่ผ่านมาข้าพเจ้าเมื่อวิ่งเสร็จ ไม่ต่างอะไรกับน้องหมาที่เล่นน้ำ ตัวเปียก มะรอกมะแรก ทุกครั้ง แต่ถามว่าเข็ดหรือไม่ ตอบได้เลยว่ามันส์พะยะค่ะ  ไอ้นี่ตอบไม่ตรงคำถามกับที่ถามอีกแล้ว  ข้าพเจ้ามองว่าคำตอบที่ออกมานั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนในการที่จะเลือกตอบ ซึ่งในคำถามเดียวกันนี้ หากไปถามคนอื่น คนอื่นอาจตอบว่าไม่เข็ด หรืออีกหลายคนอาจจะเลือกตอบว่า วิ่งแล้วฟินน์ วิ่งฝ่าสายหมอก ต่างๆนาๆ สำหรับคำตอบ

คำตอบเหล่านี้ท่านจะต้องไปค้นหามันเอง ใครบอก เค้าบอก ไม่สู้เท่าที่สัมผัสเองหรอกครับ

มาในครั้งที่ 32 นี้ เป็นการสมัครล่วงหน้าที่เกิดขึ้น ที่นานๆ จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า จากกระแส Running Boom ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในสังคมนักวิ่งที่มีนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งออฟฟิศ เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการกลัวว่าจะตกรถ จึงสมัครล่วงหน้าเอาไว้ แต่แล้ว หลังจากงาน บางกอกโพสต์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับอาการบาดเจ็บ จนทำให้ไม่สามารถเดินได้อยู่ 4 วันเต็มๆ  เพิ่งจะเริ่มกลับมาซ้อมได้ไม่กี่วัน ก่อนที่จะมาร่วมงานนี้  ไม่น่าเชื่อว่าการหยุดวิ่งเพียง 2 สัปดาห์ การกลับมาซ้อมใหม่ จะเหนื่อยแสนสาหัส ปกติวิ่งซ้อมที่ pace 5 นาที ต่อ กม. ก็ยังสบายๆ แต่นี้ ใช้เวลา 7 นาที ยังเหนื่อยมากแถมยังวิ่งได้เพียง 5 กม. ก็เริ่มเจ็บบริเวณเอ็นข้อเท้าเดิมที่ไปทำการรักษาอยู่ จึงทำให้ต้องหยุดพัก แบบนี้ตลอดในช่วงเวลาการซ้อม

พูดถึงอาการบาดเจ็บที่ว่านี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มักปฏิเสธการนำยาเข้าสู่ร่างกายมาเสมอ แต่พอมาเจออาการแบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทานยาเพื่อรักษาอาการเส้นเอ็นอักเสบ จากคนที่ไม่ค่อยทานยา ทำให้ไม่รู้ว่าผลข้างเึคียงหรืออาการประหลาดที่เกิดขึ้นหลังจากทานยาเกิดขึ้นมาจากผลของตัวยาที่ทานเข้าไป ยาที่ได้รับจากแพทย์มาก็คือ Arcoxia ทานหลังอาหารเช้าทันที

อาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวคือ รู้สึกท้องอืด เหมือนจะมีลมในกระเพาะอาหาร ถ่ายไม่ออก มีแต่ลม อาการนี้ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจ เพราะนอนหลับแทบไม่ได้ ต้องเรอ และผายลมตลอดเพื่อไล่ลมในร่างกายออก  ตอนนั้นท้องก็บวมๆ  จนกระทั่งมานึกย้อน ทำให้พอจะเดาได้ว่า น่าจะเกิดจากยา พอนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเพื่อน ก็เป็นเช่นนั้นแล  อาการนี้เหมือนอาการกรดไหลย้อน จะมีลมในกระเพาะอาหารเกิดจากตัวยาที่ไปกัดกระเพาะ ที่คนเป็นโรคกระเพาะเป็นกัน

ซึ่งหลังจากทน ทรมานอยู่ 5-6 วัน กับอาการดังกล่าว  จุดสิ้นสุดที่จะต้องสะบั้นความสัมพันธ์ลง ก็เกิดจากอาการเท้าที่ไม่บวมแล้ว (เกิดจากการประคบร้อนเย็น ตลอด)และความทนทรมานกับการนอนหลับไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ตัดสินใจหยุดยา  อาการดังกล่าวจึงบรรเทาใน 3 วันต่อมา ซึ่งจากที่เกริ่นนำมาทั้งหมดนี้ แค่อยากจะบอกว่า ฮาล์ฟนี้ ขอแค่จบแบบไม่เจ็บก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ซึ่งมานั่งเช็คการวิ่งในปีนี้ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าฮาล์ฟนี้ จะเป็นเพียงฮาล์ฟที่ 2 ในรอบปี ซึ่งถือว่าน้อยผิดปกติมาก

ซึ่งทั้งหมดก็เป็นที่มาของคำว่าจะรอดหรือไม่ กับชาเล้นท์ ระยะครึ่งมาราธอน ในครั้งนี้

สำหรับการเดินทางมาวิ่งต่างจังหวัด ที่กลุ่มคณะมักจะลืมไม่ได้ คือ การเที่ยว เรียกว่าหาได้ว่าไม่มีอาการกังวลกับการที่จะต้องใช้แรงงานในไม่อีกกี่ชั่วโมงข้างหน้า  ซึ่งในครั้งนี้มีสถานที่คาดหมายไว้ คือ พระราชวังพระตำหนักทับแก้ว ซึ่งหลายท่านคงจะงงหากติดตามบล็อคข้าพเจ้ามาแต่แรก ว่าทำไม ถึงไม่ไปเที่ยวที่นี่เมื่อครั้ง มาวิ่งที่ ม.ศิลปากรทับแก้ว  ซึ่งจริงๆแล้วในครั้งนั้นข้าพเจ้าติดอบรมจนทำให้มาถึงที่งานมืด ทำให้พลาดโอกาสในครั้งนั้นไป

สถานที่ในพระราชวัง มีทั้งของใหม่ ของเก่าที่บูรณะใหม่ปะปนกันไป  เราสามารถเยี่ยมชมภายในพระราชวังทั้งหมดได้ แต่ต้องงดการถ่ายรูป อันเนื่องมาจาก สิ่งของทั้งหมดปัจจุบันเป็นสมบัติของสำนักพระราชวังไปแล้ว หากเปิดให้ถ่ายรูป อาจจะมีการปลอมแปลงของที่มีอันเดียวออกมา

ภายในนั้นเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด อย่าหวังว่าท่านจะเล็ดลอดถ่ายรูปได้ ไม่มีทาง

นอกจากในพระราชวังแล้ว เรายังได้ไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลสยาม ได้ฟังเจ้าหน้าที่แนะนำตลอดการพาชมห้องและสิ่งของต่างๆ แล้วขนลุก ที่ทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนกันไปทั่วเพราะการเล่นพรรคเล่นพวกและการเมืองไปหมด

...............................................

วินาที ที่โฆษกนับถอยหลัง 4-3-2.....1   แป้นๆ ปู้นๆๆ แล้วแต่ใครจะได้ยินเสียงอย่างไรตามจินตนาการ เหล่านักวิ่งที่ต้องการทำเวลาต่างทยานออกไปข้างหน้าอย่างกับม้าศึกที่จะรู้ตัวว่าจะออกสู้ศึกกับศัตรู เมื่อ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มสว่าง กับเวลาปล่อยตัว 6.00 พร้อมกันทั้งสองระยะ รวมกับอากาศที่เย็นจากสายฝนยามค่ำคืน ยิ่งเมื่อรวมกับโอโซนที่ถูกปล่อยออกมาจากธรรมชาติ ทำให้เส้นทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข  ........ กับเส้นทางนี้ 5 กม.แรก เป็นเส้นทางสลับขึ้นเขา โดยเน้นการขึ้นเป็นส่วนใหญ่ นักวิ่งที่ไม่สมบูรณ์อย่างข้าพเจ้าจึงได้แต่ต้องเก็บอาการและเจียมในสังขารตลอดการวิ่ง 5 กม.แรก เป็นไปตามสเตป เพิ่มจังหวะขึ้นทีละน้อย เริ่มไล่แซงเพื่อนๆ นักวิ่งทีละคน ซึ่งส่วนใหญ่รู้จัก จนกระทั่งเมื่อครบ 5 กม.ตามแผน จากนั้นจังหวะลงเขาจึงเริ่มปล่อยไหลเพื่อประหยัดพลังงาน เมื่อจังหวะกดลงเขา เมื่อรู้สึกเหนื่อยหอบ จึงผ่อนแรง เพื่อเป็นการรักษาแรงให้เหลือให้มากที่สุด ผ่านไป 9 กม. จากที่คิดว่าวิ่งสบายๆ เพราะเข้าใจว่า บอยและเพื่อนสาว วิ่งอยู่ด้านหลัง ก็ต้องสะดุ้่งเอือกใหญ่ เมื่อพบพี่น้องอยู่ด้านหน้า  เห้ย   แซงไปตอนไหนเนี้ย  แล้วโจทย์ผมไม่วิ่งกระฉูดไปแล้วหรือนี่ ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ บรรดานักวิ่งน้องใหม่ปีที่แล้ว แต่เริ่มเก่าปีนี้ สวนมากันหมดแล้ว ไม่ว่าจะคุณนก น้องพลอย  ทำให้พาลคิดไปถึงโจทก์เ่ก่า แจง กินแหลก  ถ้าน้องมางานนี้ มีหวังต้องใช้หนี้กันแน่ๆ

แปลกแต่จริง อาการเจ็บที่เคยกลัว เคยแปล๊บเมื่อซ้อมที่ pace7  กลับไม่แสดงอาการอะไรเลยเมื่อข้าพเจ้าเริ่มปรับจังหวะวิ่งให้ปริ่มขอบที่ pace 5 ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี กับ เป้าหมายมาราธอนปลายปีที่จะได้เริ่มซ้อมจริงจังได้เสียที

แมน เป้  พุฒิ พี่โก้  บรรดาคนรู้จักที่ครั้งนี้พักที่เดียวกัน วิ่งสวนกันไปหมดแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้ายังต้วมเตี้ยมอยู่ที่ กม. ที่9  จวบจนเมื่อมาถึงหลักกิโลที่ 10  ซึ่งกว่าจะกลับตัวได้ ผ่านจุดเช็คชิพ ก็ใช้เวลา 1:06 นาที   จากนั้นปรากฏการณ์ตะกวด ก็เริ่มขึ้น เพราะตอนนี้จังหวะการวิ่งของข้าพเจ้าเริ่มเอาแต่ใจ เพราะว่าสั่งยังไงก็ไป วิ่งแล้วลอย วิ่งสนุก ยิ่งไล่แซง ยิ่งเร่งยิ่งกระหาย  ความรู้สึกนี้ถ้าเรียนกันตามตรงห่างหายไปนานแล้ว  แม้แต่งานจ๊อคแอนด์จอย ยังไม่รู้สึกแบบนี้เลย หรืออาจเป็นเพราะรายการนี้ ข้าพเจ้าวิ่งโดยมิได้คาดหวังอะไรกับอันดับที่จะออกมา  ความรู้สึกที่อยากมาวิ่งที่นี่เพราะบรรยากาศ และต้องการซ้อมยาวให้พ้น กม.ที่ 10 ให้ได้เสียที

ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่จบอย่างที่คาดหวังไว้ก็เป็นไปได้หากข้าพเจ้าฝืนตะบี้ตะบันตั้งแต่ กม.แรก  น้องๆ หลายคนถามว่า พี่ไม่วอร์ม ไม่วิ่งยืด ไม่สไตรด์หรอ ข้าพเจ้าทำได้เพียงแต่ยิ้ม โดยไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูดออกไปแต่ะแสดงออกด้วยสายตาอันน่าเวทนาไปแทน และ พยายามยืนยืดเส้นเล็กๆน้อยๆ  ไม่มากเหมือนเมื่อมีการวอร์มอย่างเต็มที่

เหตุที่ข้าพเจ้าไม่กล้าวอร์มเพราะกลัวว่าวอร์มแล้ว อาการต้านของข้อเท้าที่มักจะมีอาการเมื่อครบ 5 กม. ทุกครั้งเมื่อซ้อมวิ่งตอนเย็นจะกลับมาเยือนอีกก่อนที่ภาระกิจวิ่งขึ้นเนินลูกใหญ่สำเร็จ

คู่เทียบนักวิ่งคนแรกที่ข้าพเจ้าไล่ตะปบ ก็คือพี่โก้ ในจังหวะลงเขา ในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเร่ง ที่ กม ที่ 12 เป้าหมายแรกคือวิ่งเข้าไปประกบด้านข้างทางขวา และหมายโฉบหนีออกไปให้หมั่นไส้เล็กน้อยตามแผน แต่ทว่า....... พี่โก้รู้ตัวและหันมาบอกว่าเจ็บ แล้วพี่เค้าก็หยุดเดิน  ...... เฮ้ยย...ผิดแผน กะว่าจะให้จังหวะลากกันไปต่ออีกหน่อย Fail ซะแล้ว จึงได้แต่หันไปบอก เจ็บก็หยุดเดินแหละพี่อย่าฝืน..... จากนั้นก็เิริ่มปรับจังหวะการวิ่งลงมาที่ จังหวะที่หายใจสบาย ๆ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บว่ายังมีอยู่หรือไม่ ซึ่งผลคือไม่รู้สึกอะไร ซึ่งอาจจะเกิดจากการพันผ้าไว้ก็เป็นได้

เมื่อวิ่งขึ้นเนิน ก็ปรับจังหวะก้าวให้สั้นลง เพื่อใช้แรงให้น้อยที่สุด และเมื่อเส้นทางลงเนิน ก็ปล่อยไหล ลงไปที่ pace 4.30 เลยทีเดียว มาถึงตอนนี้ ก็ไล่แซงคุณพุฒิ และแมน ไปได้  ที่ กม ที่ 16

และเนินสุดท้ายของ กม ที่ 16 ก็เป็นเนินลงที่ฉีกเป้ เซ็นทรัลลงไปได้ จังหวะนี้อะไรก็หยุดไม่อยู่แล้ว 4 กม ที่เหลืออยู่ กับพลังกาย คิดว่าสามารถลงคอร์ต 4K ได้ จึงจัดไป ด้วย 4.30 ในช่วงแรก

เมื่อถึง กม ที่ 17 ซึ่งเป็นจุดที่พี่รุจน์ ยืนถ่ายรูปอยู่ ก็พบโจทย์ตลอดการ คทาชาย นายบอย ซึ่งตอนนั้น อาการที่แสดงออกมา เมื่อข้าพเจ้ามองจากด้านหลังเห็นว่าหมดแน่ ๆ  วิ่งเป้ไปเป้มา ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่ง เร่ง เร่ง จนกระทั่งแซง และ ฉีกหนีไปด้วย เพช 4 ที่กะไม่ให้มีโอกาสไล่ตาม เรียกว่าเป็นการตัดไม้เพื่อข่มน้ำ เร่งเพื่อให้รู้ว่า อย่าตามมาเพราะข้ายังเหลืออีกเยอะ

ปรากฏว่าไม่ตามมาจริงๆ เซ็งชะมัด   เพราะไม่มีเป้าหมายให้ท้าทายอีกแล้ว จนกระทั่งสายตาเหลือบไปมองที่นาฬิกา คำนวณเวลาอย่างคร่าวๆ เห้ย นี่ ถ้าทำได้ต่ำกว่า 2 ชม. นี่มันยอดมากเลยนะ เพราะครึ่งทางเราใช้เวลาไป 1:06  ข้าพเจ้าคิดในใจพลาง และไม่ลืมสับฝีเท้าเร่งจังหวะขึ้นไป กับเป้าหมาย เพิ่งคิดเมื่อกี้นี้ พยายามใช้จังหวะเร่งบ้าง ดึงลงบ้างสลับไปพลาง ซึ่งเมื่อนาฬิกาผ่านเป้าหมายแรก 21.1 กม. เวลาอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย  เป้าหมายใหม่ก็คือ วิ่งให้ถึงเส้นชัย ต่ำกว่า 2 ชม ซึ่งเป็นเป้าหมายติงต๋องมาก เพราะว่ากับระยะทางที่เหลืออยู่ กับเวลาที่มีให้อย่างจำกัด นี่มันต้องฝีเท้าระดับบุญถึง หรือสัญชัย ถึงจะทำได้  ซึ่งแน่นอนเมื่อผ่านจุดเช็คพอยต์สุดท้าย ข้าพเจ้าใช้เวลาเกินไป 49 วินาที

ขอเวลาไปฝึกวิทยายุทธอีกนิด 49 วินาที หลังนี่มีเฮแน่



เครดิต ภาพ จาก พี่ตุ้ม พี่รุจน์ ชัตเตอร์รันนิ่ง



วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Race 124 Bangkok Post 2013


พูดถึงงานบางกอกโพสต์ปีก่อนยังรู้สึกแย่กับเสื้อเมื่อปีก่อนที่เอาเสื้อตลาดนัดมาสกรีนโลโก้ Sketcher ที่เป็นสปอนเซอร์หลักของงานเมื่อปีก่อน แต่พอกาลเวลาผ่านไปก็ทำให้รู้ว่า ไม่มีของแท้ในงานวิ่ง ถ้ามีก็คงน้อยมากหรือถ้ามีก็คงต้องเป็น โลโก้หรือตราสินค้านั้นมาจัดงานเอง จึงทำให้ในปีนี้ ทำใจได้สำหรับการที่จะได้เสื้อวิ่งที่ดีมีคุณภาพที่คงเป็นไปได้ยากในโลกความเป็นจริง

ปีนี้งานบางกอกโพสต์ย้ายจากบริเวณด้านข้างห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มาจัดบริเวณด้านหน้าห้าง ตรงบริเวณลานอเนกประสงค์ ที่ปีนี้ กลายเป็นลานล้อมรั้่วเหล็ก ตลอดหน้าลาน เพื่อป้องกันชาวบ้านเข้ามายึดพื้นทีเพื่อประท้วงโน้นนี่นั่น   จากลานที่กว้างกลายเป็นแคบไปถนัดตา กับปริมาณนักวิ่งที่มากันอย่างล้นหลาม และบางส่วนของพื้นที่ถูกปิดจากรั้วเหล็ก

วันนี้หลังจากอาทิตย์ก่อนไปคว้าถ้วยมาสำเร็จ หมายมั่นปั้นมือ ที่จะสอยพี่น้อยลงให้ได้สักที หลังจากวิ่งงานเดียวกันทีไร วิ่งตามตลอด ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตอนวิ่งเลย หวังว่าวันนี้จะพอมีลุ้นบ้าง 

ระหว่างวิ่งวอร์ม วันนี้ สามารถคุยได้ว่าสามารถข่มนักวิ่งทีมชาติ  ระยะ 800  1500 เมตร น้องโยธิน ลงไปได้ เพราะตอนวอร์มข้าพเจ้าวิ่งเร็วกว่า นิดนึง  หลังจากวิ่งวอร์ม ยืดเหยียดเรียบร้อย กะยึดพื้นที่ด้านหน้าในการออกตัว จึงปักหลักอยู่ที่บริเวณที่วอร์ม คุยกับเพื่อนนักวิ่งคนโน้นคนนี้จนเพลิน จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมวันนี้ไม่มีใครเข้ามารอเช็คอินเลย  เมื่อมองขึ้นมากลับเห็นนักวิ่งทั้งหมดอยู่อีกฝั่งหนึ่งกันเต็มไปหมด  ปล่อยไก่ตัวเบ่อเริ่มอีกแล้ววันนี้ จึงรีบวิ่งไปต่อแถวอีกฝั่ง ซึ่งกว่าจะแทรกตัวเข้าไปได้ก็ไปอยู่เกือบใต้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ห่างจากจุดปล่อยตัวมาก  คาดว่าหลังจากนี้คงเหนื่อยอีกแล้ว

สัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น ข้าพเจ้า กว่าจะแทรกตัวออกจากพันธนาการกลุ่มนักวิ่งสุขภาพ ก็ใช้พลังไปอย่างมากในการฝ่าออกไป แต่ยังสามารถทะลุเวลา 4.36 ต่อ กม.เมตร แต่ต้องแรกด้วยการใช้พลังงานอย่างมากในการฝ่าออกไป ซึ่งทำให้รู้ภายหลังว่าไม่คุ้มเสียเลย เพราะเครื่องส่ออาการรวน เมื่อการวิ่งในครั้งนี้ถูกประกบและชวนวิ่งด้วยกันจากเพื่อนนักวิ่งที่คุ้นเคย กลายเป็นจังหวะที่ผิดเพี้ยนไป และสิ้นสภาพเมื่อวิ่งผ่านสวนลุม ที่ระยะ 5 กม. จึงเบาเครื่องลงและแจ้งให้เพื่อนนักวิ่ง ไปก่อน เพราะข้าพเจ้าหมดถัง ทำให้ใจคิดไปถึงพี่น้อย ขนาดข้าพเจ้าวิ่งต่ำกว่า 5 นาที ตลอด 5 กม. แรก  ยังตามพี่น้อยไม่ทัน ยิ่งมาหมดแล้วยิ่งไม่ต้องหวังกันไปใหญ่ จึงปรับความเร็วลดลงตามสภาพที่เริ่มร่อแร่ ไม่เหลือพลังงานในการวิ่ง

จึงค่อยๆ วิ่งไปตามจังหวะที่ 5 นาทีต่อ ก.ม. ตามสภาพร่างกาย เริ่มแซงเพื่อนนักวิ่งทีแซงคืนทีละคน 2 คน แต่การวิ่งในเมืองมันช่างไม่น่าภิรมย์เท่าใดนัก ไหนจะเส้นทางบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่เป็นเส้นทางที่ทับซ้อนกันระหว่าง วิ่ง 10 กม. วิ่ง 5 กม และเดิน  กลายเป็นเส้นทางสำหรับวิ่งเหลือเพียงช่องการจราจรที่ไม่ได้ปิดเพื่อการนี้ เป็นการนำเอาชีวิตไปเสี่ยงโดยแท้ ครั้นจะไปวิ่งในช่องที่เค้าจัดไว้ให้ก็ไม่มีช่องว่างให้เบียดเ้ข้าไป  เพราะการเดินและวิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า เรียกว่าหน้ากระดานนั่นเอง

ซึ่งวิ่งตามรายการต่างๆ มาก็ 5 ปีแล้ว ยังไม่รู้เลยว่า จะแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร ก็เข้าใจทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายเดิน ที่มาเดินเพื่อสุขภาพไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการมาร่วมออกกำลังกาย กับผู้ที่มาวิ่ง และต้องการทำเวลา   สมาคม สมาพันธ์ ผู้จัดต่างๆ น่าจะมาคุยกันหาข้อกำหนดอะไรก็ดีนะ

งานวิ่งครั้งนี้ไม่ธรรมดาสำหรับกลุ่มนักวิ่งที่ซ้อมด้วยกันที่ ม.รามคำแหง วันนี้ มีพี่น้อย ที่พัฒนาการทางความเร็วพัฒนาขึ้นเยอะ และ น้องโก ที่วันนี้เกาะมาตลอดเส้นทางเหมือนกัน เรียกว่าถ้าเพี้ยงพล้ำอาจจะโดนน้องเก็บก็ได้

สุดท้ายเมื่อเข้าเส้นชัย ก็ตามพี่น้อยไม่ทันเช่นเคย แถมยังเกือบถูกน้องโกเก็บซะอีก 

บรรยากาศหลังเส้น เต็มไปด้วยน้ำอัดลม และเบอร์เกอร์ ข้าพเจ้าวันนี้ขอฉีกกฏ กินซะหน่อยเพราะไม่ไหวจริงๆ ทั้งควัน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว

ลาทีงานวิ่งกลางเมือง




วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Race 123 jog and joy day part III

เครดิต รูป จาก พี่ Tom Tri-Zest
หลังจากกลับตัว ที่ กม.ที่ 5 เรียบร้อย เวลาก็เป็นไปดั่งใจที่คิดไว้ล่วงหน้า ที่ไม่เกิน 23 นาที  และเมื่อรู้อันดับตัวเองว่าอยู่ที่ 4 ก็ทำให้คลายความวิตกกังวลลงไปได้บ้าง ความเครียดที่มีสะสมมาตั้งแต่ก่อนแข่งบรรเทาเบาบางลง  ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรอง ณ ขณะนั้น คือ จะทำอย่างไร ที่จะสามารถประคองอันดับและจังหวะการวิ่งของตนเองให้สามารถยืนหยัดไปสู่ปลายทาง 10K ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในวินาทีนั้น เหลือบสายตามองไปที่ข้างหน้าเห็นแนวหน้าหญิง ที่วันนี้มาในชุดดำ ที่กำลังวิ่งนำหน้าอยู่ ดูจังหวะแล้วคิดว่าสามารถติดตามได้ จึงเริ่มเร่งเพื่อให้เข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยก็จะได้วิ่งไปเรื่อยๆ แนวหน้าระดับนี้คงคำนวณเวลามาเป็นอย่างดีแล้ว  ซึ่งทำให้ ความเร็วในกิโลเมตรที่ 6 ความเร็วกลับไปอยู่เหมือนช่วง 4 กมแรก และทำให้เข้าไปใกล้คู่เทียบเฉพาะกิจ มาก โดยคะเนจากระยะทางไม่น่าจะเกิด 3 เมตร ที่ข้าพเจ้าวิ่งตาม

อีกเรื่องที่ไม่พลาดคือการสังเกตนักวิ่งในฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่กลับตัวมา ซึ่งแน่นอน ได้เห็นพี่ที่ได้อันดับที่ 5 เมื่อปีก่อน ตามมา ซึ่งจากการคะเนด้วยสายตา ระยะห่างไม่น่าจะเกิน 200 เมตร รวมถึงบอย ที่วิ่งตามมาห่างๆ  ตามด้วย น้องที่ได้อันดับ 3 รุ่น 85 กก เมื่อปีก่อน ที่ปีนี้อัพรุ่น หนีตามบอยขึ้นไป โดยระยะทางดูแล้วตามบอยมาไม่ห่าง ไม่น่าจะเกิน 50 เมตร

สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะตอนซ้อมวันที่โอเวอร์เทรนนิ่ง ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ก็ตามมาหลอกหลอนจนได้หลังจากเร่งความเร็วจากรอบที่ผ่านมา  อาการเหนื่อยหอบและเร่งไม่ได้ดั่งใจ การหายใจเริ่มสั้น เร็วและหอบถี่ ก็เกิดขึ้น  นาทีนั้น ในใจคิดว่าอยากจะให้การแข่งขันจบลงไวไว ณ ตรงนั้นเลย แทบไม่อยากวิ่งต่ออีกแล้ว

แต่ชั่ววินาทีเสี้ยวความคิดหนึ่งก็แวบที่เข้ามาให้หัวสมองในขณะนั้น คือบทความจาก สถาวรรันนิ่งคลับ ที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาความรู้อยู่เสมอ ในแฟนเพจ มากจาก หัวข้อ "วงรอบที่สมบูรณ์" จากย่อ หน้าที่ 7 กล่าวไว้ว่า ดังนี้


"ลองเร่งความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ถ้าความรู้สึกเปลี่ยน
มีอาการเหนื่อยหอบเพิ่มขึ้นมากก็แสดงว่าเราผ่านเกินจุดนั้นแล้ว

ถ้าลดความเร็วลงก็จะเกิดอาการล้า ไม่คล่องตัว

เมื่อปรับเข้าความเร็วเดิม ความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปแล้ว



ดังนั้นต้องจดจำความรู้สึกที่ได้รับสำหรับการวิ่งครั้งต่อไป

เมื่อวิ่งถึงจุดดังกล่าวต้องรักษาระดับความรู้สึก

และจังหวะความเร็วที่วิ่งในขณะนั้นให้นานที่สุด

จะทำให้การวิ่งมีคุณภาพและเกิดประสิทธิผลที่ดีมากขึ้นครับ" -- สถาวร จันทร์ผ่องศรี

จากบทความนี้เอง ความหมายของมันอยู่ในวิกฤตในครั้งนี้ นั่นหมายความว่า ถ้า้ข้าพเจ้ายังยังดันทุลัง วิ่งที่ ความเร็ว ที่ระดับเร็วกว่า 4:40 ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ จนผิดวงรอบ  หรือว่าควรที่จะทิ้งเป้าหมายหลัก แล้วลดความเร็วลงไปต่ำกว่า 5 นาที อาการต่างๆ ก็คงไม่ดีขึ้น เพราะเมื่อวิ่งช้า ก็เกิดอาการล้า ไม่คล่องตัว อย่างที่ โค๊ชสถาวร กล่าวไว้

และอะไรล่ะ คือจุดลงตัว การคำนวณอย่างหยาบๆ ได้เกิดขึ้น  เอาว่ะ โค๊ชว่าไว้อย่างนี้ คงต้องปรับตามต้นทุนตัวเองที่มีอยู่ไปก่อน มีโอกาสหน้าซ้อมดีดี ค่อยว่ากันใหม่ สถิติ 10K จ๋า (เพิ่งมาซ้อมได้เดือนเดียวจะเอาอะไรมากมนุษย์หนอมนุษย์) ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับจังหวะ ให้อยู่ใน Pace 4:50 ทันที ซึ่งแน่นอนความรู้จากโค๊ชผู้เชียวชาญที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทางด้านกรีฑามามากมายที่นำมาเป็นทฤษฏีอ้างอิงในครั้งนี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องไม่ระเบิดระหว่างทางอย่างที่กังวล และเรื่องที่โชคดีอีกเรื่อง คือแนวหน้าหญิงที่ข้าพเจ้าพยายามเกาะติด และตามอยู่ วันนี้คงมาวิ่งจ็อคเล่นเพราะเพิ่งเห็นไปวิ่งฮาล์ฟที่พัทยามาราธอนมา ความเร็วจ็อคของน้องเค้าเลยอยู่ในระดับใกล้เคียง ในขณะที่ข้าพเจ้าพยายามกวด  และหายใจได้เกือบปกติ ทำให้สามารถมีคู่เทียบให้เกาะเคาะเท้าไปได้อย่างมีจังหวะ

แต่ในระหว่างที่ทดลองปรับโน้นปรับนี่ ถึงแม้จะปล่อยการทำลายสถิติออกไปจากเป้าหมายในวันนี้ แต่ก็ยังไ่ม่วายที่จะต้องยังคงรักษาอันดับ ระหว่างทางที่มีเพื่อนนักวิ่งแซงไป ก็สังเกตจากรูปร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตัวเล็กกว่าข้าพเจ้า ก็เลยคิดว่า คงยังไม่มีใครแซงไป และยังคงสามารถ ประคองอันดับได้อยู่

ยิ่งวิ่งยิ่งใช่ จังหวะที่ตามหา มานานนี่ มันอยู่ที่ 4:50 นี่เอง กม.ที่ 7 ผ่านไป เส้นทางกลับเข้าสู่บริเวณเส้นทางตัวหนอนที่คุ้นเคย นั่นหมายความว่าจุดกลับตัวข้างหน้าสุดทางสระน้ำจะพบจุดให้น้ำจุดสุดท้ายของงานนี้นั่นเอง  พยายามเคาะจังหวะฝีเท้าให้เข้ากับลมหายใจ โดยที่เป้าหมายยังคงเกาะข้างหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดล่ะ

กม.ที่ 8 มีฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่กว่าข้าพเจ้าเล็กน้อย เร่งแซงผ่านไป ในใจคิดเลยว่าคงเป็นรุ่นเดียวกันแน่ๆ แต่ก็ได้แต่ทำใจและมีสมาธิกับตัวเอง ในการรักษาจังหวะเอาไว้  พยามยามไม่สนใจรอบข้างเท่าใดนักเพราะเหลืออีกเกือบ 2 กม.  การซ้อมที่เคยเร่ง 2 กม. สุดท้าย ได้ความเร็วประมาณ 4.20 ต่อ กม. คงเอามาใช้ในงานนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะ 7 กม ที่ผ่านมาเป็นการวิ่งที่ใช้ความเร็วกว่าการซ้อมที่มักจะซ้อมอยู่ที่ 5 นาทีต้นๆ จึงทำให้มีแรงเหลือ ที่มาเร่งในตอนท้าย  นี่เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัย ที่หลังจากนี้จะต้องนำเอาไปปรับใช้ในการซ้อมต่อไป

จวบจน มา ถึง กม ที่ 9  น้ำที่ข้าพเจ้าดิ้นรน ถือมาตั้งแต่ออกสตาร์ท ก็เริ่มมีประโยชน์กับตัวข้าพเจ้าขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี่การทำผิดกติกาหรือไ่ม่ กับการถือน้ำมาวิ่งเอง

ข้าพเจ้าซัดน้ำ ที่มีอยู่ในขวดไปครึ่งขวด พอสร้างความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย และน้ำในขวดที่เหลือ ก็บรรจง ราดลงศรีษะทั้งหมด เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในตัวลง ซึ่งได้ผลในเชิงจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะนำฝาขวดที่อยู่ในมือซ้าย ข้ามมาเพื่อบรรจงปิดขวดเหมือนเดิม ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น อาจจะเป็นมือข้าพเจ้ากำลังสั่นอยู่ก็คงเป็นไปได้ ฝาไม่ลงล็อค และหล่นลงไปที่พื้น ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเร่งขึ้นไป ใน อีก 800 เมตรข้างหน้า

ไม่มีเวลาที่จะคิดย้อนกลับลงไปเก็บมันขึ้นมาแน่ๆ ข้าพเจ้าจึงไม่อาจที่จะทนให้ฝาอันเป็นที่รัก พลัดพรากกับขวดที่คู่กันมานาน จึงบรรจง หย่อนขวดน้อยๆ ไว้ข้างทางเพื่อมิให้มันพลากจากกัน (ขออภัยที่ทำให้สวนสกปรก มา ณ ที่นี้)

มาถึงนาทีนี้ เหมือนนกที่กำลังโบยบินเพื่อหาเสรีภาพ เสียงนาฬิกาที่ดังมาตลอด แต่ทว่าข้าพเจ้าแสร้งทำไม่ได้ยิน กลับมาก้องในหูอีกครั้ง หมายมั่นที่จะวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ให้ไปหมดที่เส้นให้ได้ มา นาทีนี้ อยากรู้แล้ว ถ้าอัดจนหมด เข้าเส้นจะมือไม้ชา ตัวเย็น ไม่มีแรง เหมือนการรีดพลังให้หมดทุกเม็ดอย่างที่ีพี่น้อย เคยเล่าให้ฟังหรือป่าว  แต่เอ๊ะ แนวหน้าที่เราเกาะหายไปไหนแล้ว บ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าแซงมาหรือนี่

มิใช่เลย น้องเค้าสปีดหนีไปไกลโพ้นห่างกันเกือบ 100 แล้วเห็นจะได้ 555+  แต่การสปรินท์ในครั้งนี้ทำให้สามารถวิ่งไล่ขึ้นมาทันคุณฝรั่งที่แซงไปเมื่อ กม ที่ 8  หลังจากแซงขึ้นไปได้ อาการหมดแรงกลับมาอีกครั้งกับชีวิตนักวิ่งวันนี้

เอาไงล่ะที่นี้ นี่มันหมดก่อนเข้าเส้นแน่ๆ เถียงไปได้ไม่ไกลกว่านี้แน่เลย คิดว่าก๊อก 2 คงหมดไปแล้วแน่ๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจ เอี้ยวคอไปทางซ้าย และก้มลงต่ำเล้กน้อย เป้าหมายอยู่ที่หน้าอก เอ้ย เบอร์ที่หน้าอกของฝรั่งท่านนั้น

"75"    75 เว้ย ฝืนบี้มาตั้งนาน คนละรุ่นซะงั้น     ข้าพเจ้าจึงเบาเครื่องลงในจังหวะ recovery อีกครั้งที่ระยะ 100 เมตร  ก่อนที่จะเข้าสู่ interval สุดท้ายในนาฬิกา คือ 300 เมตร   นาทีนั้นหลังจากสัญญาณนาฬิกาเตือนว่าให้สปีดได้แล้ว  ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อเป้าหมายที่เพิ่งเข้ามาในหัวเมื่อสักครู่ในการวิ่งให้จบที่ ต่ำกว่า 47 นาที ในระยะ 10 กิโล  นั่นหมายความว่าในขณะที่ข้าพเจ้าวิ่งผ่านเข้าจุดฟินิช เวลาจะต้องอยู่ที่ 46 นาที ให้ได้ เพราะว่าสนามนี้ระยะไม่ครบ 10 กม แน่นอน หลังจากที่ข้าพเจ้ามาร่วมงานหลายครั้ง ระยะจะอยู่ที่ประมาณ 9.8 - 9.9 กิโลเมตร แล้วแต่ลักษณะการวิ่งในแต่ละครั้ง

ข้าพเจ้าทะยานเข้าเส้นชัย ด้วยเวลาที่ข้อมือตัวเองที่  46:35 นาที  นาทีนั้นลุ้นเหมือนกันว่าเราจะนับตัวพลาดหรือป่าว เพราะน้องที่หน้าเส้นชัย นิ่งมาก เหมือนกับว่านักวิ่งคนนี้ ไม่ติดอันดับใดๆ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาในระหว่างที่ข้าพเจ้าจะก้าวผ่านตรงจุดนั้นตรงขึ้นไป

"85    อันดับ 4"    เสียงนี่มันสะท้อนก้องในหูไปชั่วขณะ  ใจคิดเรานี่ก็บวกเลขเก่งไม่ใช่เล่นเหมือนกัน

หลังจากรับป้ายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามปกติของกิจกรรม ก็มีแจกเหรียญและเช็คป้าย แต่นาทีนั้นข้าพเจ้าใจรู้ว่ายังมีภาระกิจ อีก เกือบ 120 เมตร ที่จะต้องไปตามเก็บให้ครบ จึงเริ่มออกตัวเพื่อจะเร่งเก็บระยะให้ครบ

"เดี๋ยวววววววครับ    ขอ.....คืน และ รับเหรียญ พร้อมจับสลากเบอร์ด้วย" เห้ย มันมีพิธีการอะไรอีกเนี้ย แล้วอีตาคนข้างหน้าก็ช้าเหลือเกิน มัวแต่เลือกจะจับเบอร์โน้นเบอร์นี้อยู่นั่น อย่างกับรางวัลเป็นบ้านพร้อมที่ดินนี่กระไร  ข้าพเจ้าจะสปีดหนีวิ่งออกไปก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีรูเล็กๆ อยู่รูเดียวให้ผ่าน จึงต้องจำใจ รอ และรับสลากให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิ่งออกไป จนครบ 10 km เพื่อบันทึกเป็นสถิติใหม่ประจำเดือนคือ 47.11 นาที

แต่เอ๊ะ ตะีกี้เค้าขออะไรคืนหว่า  แต่ช่างเถอะวิ่งครบแล้ว  ไปคูลดาวน์ดีกว่า ข้าพเจ้าจึงได้วิ่งต่อไป เพื่อเป้าหมายคูลดาวน์ ลดการเต้นหัวใจให้ช้าลง แต่ประทานโทษ วิ่งๆเดินๆไปได้แค่ 300 ตะคริวเหมือนจะขึ้น จึงต้องยุติการคูลดาวน์ไว้เพียงเท่านี้  จึงหาที่ยืดคลายกล้ามเนื้อแบบเบาๆ และเดินกลับที่จุดสตาร์ท เพื่อหาน้ำและหาของกิน เพราะตอนนั้นรู้สึกโหยหาอาหารอย่างเต็มที่ มิได้กินเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวเองให้เข้าเกณฑ์ตามที่ผู้จัดกำหนดไว้เหมือนปีก่อน

หลังจากจัดแจงแซนวิสในงาน เติมน้ำ และเกลือแร่ พอหอมปากหอมคอเรียบร้อย จึงพบกับบอยที่กำลังสาระวน ในการหาของกินอยู่เหมือนกัน จึงชวนกันเข้าไปสู่บริเวณรายงานตัว ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตนักวิ่ง  ในระหว่างแถวที่รอเพื่อชั่งน้ำหนัก เหมือนกับนักมวยที่กำลังขึ้นชก มีทั้งผิดหวังและสมหวังกันหลังจากชั่งน้ำหนัก จนมาถึงคิวของข้าพเจ้า เท้าซ้ายค่อยๆ แตะไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้  งานนี้คุณเจี๊ยบ จ้อคแอนด์จอย เป็นผู้ควบคุมการตรวจสอบเองกับมือ  ตัวเลข เริ่มรันขึ้น จาก เลข 1 สู่เลข 2 และ เริ่มหยุดสนิทที่ เลข 4 ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจก้าวขาขวาที่ยังคงเหยียบพื้นดินอยู่ ขึ้นไปบรรจบกับขาคู่แรกที่วางอยู่ ตัวเลขเริ่มขยับจากเลข 4 ไปเลข 5 และข้ามไปสู่หมายเลข 8 และ.....

ข้าพเจ้าเริ่มมีความไม่แน่ใจว่าตาชั่งที่งานนี้จะได้ค่าที่ออกมาเหมือนกับตาชั่งส่วนตัวที่บ้าน เพราะโดยปกติเมื่อข้าพเจ้าซ้อมเรียบร้อยแล้ว หลังจากจิบน้ำ และชั่งน้ำหนัก  น้ำหนักจะอยู่ในเกณฑ์ 85 อัพ เสมอ แต่การระเบิดปอดออกไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าน้ำหนักมันจะลดลงไปมากกว่าเดิมหรือไม่

ซึ่งในระหว่างที่รอรายงานตัว ได้คุยกับพี่ช่อทิพย์ เลยน้ำหนักตัวที่ลดไป หลังการวิ่ง ก็ได้ความว่า ขึ้นอยู่กับอัตราความเร็วที่ใช้เผาผลาญไป ถ้าเทียบแล้วคล้ายๆ กับว่าถ้ายิ่งเร่งเร็ว เหงื่อที่เสียออกไป ก็จะยิ่งมากขึ้น มากกว่าวิ่งช้า

ตายละหว่า หรือว่าเราจะประมาทเกินไปที่ไม่คิดตุนเพิ่มน้ำหนักในระหว่างรอ  หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวเลข 8 หยุดนิ่ง และเลขด้านหลังเริ่มเปลี่ยนจาก 0 เขยิบไปเรื่อยๆ  ใจภาวนา อย่ามาตกม้าตายเพราะเรื่องน้ำหนักนะเฟ้ย  เพราะก่อนหน้านี้ รุ่น 85 กก  อันดับที่ 3 ก็ตกม้าตายไปหนึ่งท่านเรียบร้อยแล้ว ตัวเลขขยับและสงบหยุดนิ่งอยู่ที่  85.1  กก  คุณเจี๊ยบบันทึกลงในกระดาษใบน้อยก่อนยื่นให้ข้าพเจ้านำไปยื่นเพื่อยืนยันผลการแข่งขันกับเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ประจำโต๊ะ

ซึ่งมารู้กติกาที่หลังเพิ่มเติมอีกว่า โดยปกติ จะอนุโลมเรื่องน้ำหนัก ให้ +- ครึ่ง กิโลกรัมอยู่แล้ว (แล้วตรูจะกังวลไปทำไมเนี้ย)

ยินดีกับตัวเอง สำหรับถ้วยใบที่ 2 ในชีวิตของตัวเองจังเฟ้ยยย

บรรยากาศในขณะที่รอรับถ้วย ก็มีเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ กลุ่มนักวิ่งชาวไทยปีก่อนที่รับถ้วยในรุ่น 85 กก. ปีที่แล้ว ปีนี้มากันครบ และติดอันดับกับด้วยทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นอันดับ 3 ปีก่อน น้องพงศกรที่ปีนี้ข้ามรุ่มไปรุ่น 95 กก และคว้าอันดับ 3 ได้   ส่วนข้าพเจ้า อันดับ 4 ปีก่อน เขยิบอันดับในปีนี้ขึ้นมาเป็นที่ 3

และพี่กฤติพงศณ์ ที่ปีก่อนได้อันดับที่ 5 ปีนี้ยังอยู่รุ่นเดิมและได้อันดับที่ 4 ในปีนี้  และที่ลืมไปไม่ได้ อันดับที่ 6 ในปีก่อน ปีนี้ ทำน้ำหนักหนีขึ้นไปอยู่รุ่น 95 กก สามารถคว้าถ้วยรางวัลจากการแข่งขันใบแรกในชีวิตนักวิ่งได้ ในอันดับที่ 2 ของรุ่น ก็คือนายบอย  เพื่อนคู่ซ้อมของผมนั่นเองงงง.

ขอบคุณ จ๊อคแอนด์จอย ที่จัดรายการวิ่งแปลกๆ ขึ้นมา ทำให้ในช่วงชีวิตหนึ่ง มีลุ้นกับเค้าบ้าง จากใจ นักวิ่งอ้วนๆ คนหนึ่ง

ซึ่งแน่นอน ปีหน้า เราจะกลับมาอีกครั้ง ที่สนามนี้แน่นอน ก่อนจากที่เส้นที่เค้าขอคืนเพิ่งมารู้ตอนสุดท้ายว่าเค้าขอชิพคืนน นั่นเอง

Race 123 jog and joy day part II

ความเดิมจากตอนที่แล้ว
http://portman1975.blogspot.com/2013/07/race-123-jog-and-joy-day-part-i.html

ภาพบรรยากาศปล่อยตัวจาก www.jogandjoy.com
หลังจากที่สามารถเข้าถึงและรับรู้ความรู้สึกของชึวิตแนวหน้าในการปล่อยตัวแล้ว ว่าเป็นเยี่ยงไร ข้าพเจ้าก็กลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง ......

ในครั้งนี้มีสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยทำมาก่อนและต่อไปก็คงไ่ม่คิดทำอย่างนี้กับงานอีกไหนๆ อีกแล้ว คือ การวิ่งวันนี้ตั้งใจให้ตัวเองเปรียบเสมือน โรบอทที่ไม่มีชีวิต ไม่ฟังเสียงลมหายใจตัวเองขณะวิ่ง หรือ รับรู้ความรู้สึกใดใด นอกจาก เสียงสัญญาณดิจิตอล ที่ใช้ควบคุมตัวเอง ดั่งตัวเองเป็นหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ก็มิปาน

โปรแกรมที่วางแผนไว้

Garmin 610 workout วันนี้ถูกตั้งโปรแกรมควบคุม วิธีการวิ่งเอาไว้เพื่อทดสอบการควบคุมตนเองเอาไว้ โดยวันนี้ต้องการที่จะวิ่งสเตปและด้วยวิีธีแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง โดยวิธีการคำนวณก็ทำง่ายๆ และรวกๆ โดยนำเวลาและสถิติในอดีตที่เคยทำได้ดีที่สุด คือ 46:06 นาที มาเป็นตุ๊กตาในการตั้งโปรแกรมและกำหนดแนวทางการวิ่งเอง

คุณสมบัติของการตั้งโปรแกรมแบบ Interval ในนาฬิกาการ์มิน รุ่น 610 คือ เราสามารถตั้งจังหวะที่ต้องการเป็นช่วงระยะเวลาที่ต้องการได้ โดยหากวิ่งเร็วกว่าเวลาเป้าหมาย นาฬิกาก็จะร้องเตือนและแจ้งให้ "Slow Down" แต่ถ้าหากว่าผู้ใช้ วิ่งช้าเป็นเต่ากว่าค่าต่ำสุดที่ตั้งไว้ นาฬิกา ก็จะส่งเสียงร้องและสั่นเตือน และแจ้งข้อความว่า "Speed Up"   ซึ่งหากผู้ใช้สามารถควบคุมเวลาให้อยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ และสามารถประคองจังหวะได้สม่ำเสมอ นาฬิกา ก็จะแสดงข้อความเป็นกำลังใจให้ว่า "Desire Zone"

แต่ทว่าการกำหนดเวลาแบบนี้ในแต่ละ Interval Target โดยประเมินจากสถิติตัวเอง มากำหนด ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะสถิติที่ทำได้ในครั้งนั้น สถิติที่ดีที่สุดเป็นช่วงเวลาที่พัฒนาการ ทางการวิ่งมีมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้น และมันคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการนำมาประเมินศักยภาพในวันนี้  อย่างที่นักวิ่งทั่วไป มักจะเรียกว่า  "ประเมินต้นทุนที่แท้จริงตัวเองไม่เป็น" แต่นั่นคือสิ่งที่ยังไม่รู้ตัวก่อนที่จะวิ่ง
.................................................................................................................................................................

แผนการณ์ในการวิ่งอธิบายแบบคร่าวๆ ก็คือ จะวิ่ง จังหวะ 4:30-4:35  ในกิโลเมตรแรกและ ผ่อนความเร็วลงเหลือ 4:40-4:45 ในกิโลเมตรหลัง  วิ่งแบบนี้ จนครบ 8 กม. พูดง่ายๆ ก็วิ่งซ้ำๆ แบบนี้ 4 เที่ยว และ ตามด้วยการลงคอร์ตสั้น 400 เมตร และ 200 เมตร ไปเรื่อยๆ จนเข้าเส้น

แต่ทว่าหลังจากกระชากออกจากจุดปล่อยตัวไป จริงๆ แล้วก็ตั้งใจจะวิ่งตามฝรั่งรุ่นเดียวกันที่น่าตาละม้าย คล้ายคลึง กับ เคราร์ด ปิเก้ สุดยอดกองหลังของยอดทีมบาร์เซโลน่า แต่คุณพี่ไม่รู้วิ่งเหมือนวิ่งหนีเจ้าหนี้ที่ไหน พี่ท่านเล่นฉีกหนีไประลิ่วไม่ทิ้งฝุ่นไว้ข้าพเจ้าสูดดมเลย ข้าพเจ้าจึงทำได้แค่ตามหลัง ผู้กองยอดนักวิ่งท่านหนึ่ง ตามไปได้สักระยะ ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต สักวันหนึ่งฝันว่าจะลองวิ่งตามโยธิน นักวิ่งทีมชาติดูบ้าง คงเท่ห์ไม่น้อย แต่การปล่อยตัวเองให้วิ่งไปตามบรรยากาศและไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้ แค่เพียง 1 กม.แรก ข้าพเจ้าก็แทบจะถอดวิญญาณออกจากร่าง  ซึ่งตอนนั้นยังคิดอยู่ในใจว่า ถ้าไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลา คงวิ่งได้ไม่เกิน 3 กม เป็นแน่ๆ

แต่ทว่ายังไม่หมดแค่นั้น เพราะว่าวันนี้ข้าพเจ้าค่อนข้างมีปัญหากับนาฬิกามาก เพราะวันนี้ตั้งหน้าปัดนาฬิกาให้แสดงข้อมูลแต่ละรอบตามโปรแกรม Interval แทนที่จะตั้งดูภาพรวมเหมือนกับการใช้งานในครั้งก่อนๆ  เพราะเหตุนี้ นี่เอง เมื่อเกิดภาวะเหนื่อยกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการหูดับตาลาย จำอะไรไม่ค่อยได้ขณะวิ่ง ครั้นจะเปลี่ยนหน้าปัดมาใช้แบบเดิม ก็เกรงใจตัวเอง และประกอบกับ วันนี้ถือขวดน้ำวิ่งด้วยจึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการปรับเปลี่ยนเท่าใดนัก
สิงหา ปานดำ นักวิ่งแนวหน้าจากวินเนอร์รัน
เมื่อเข้าสู่เส้นทาง เกือบกม ที่ 2  สิงหา ปานดำ ดนักวิ่งชั้นแนวหน้า ก็ได้วิ่งขึ้นมาประกบด้านขวามือ ทักทายกันนิดหน่อย และเค้าก็จากเราไปอีกคน  เมื่ออ่านถึงบันทัดตรงนี้อย่าคิดว่า ข้าพเจ้าวันนี้สเตปเทพ แต่ความเป็นจริงคือ สิงหา  น่าจะมาสาย และอยู่ด้านหลัง กว่าจะสปีดขึ้นมาตามทัน เลยใช้ระยะทาง กว่า 1 กม. ซึ่ง จริงๆ แล้ว ก่อนเวลาตรงบริเวณจุดปล่อยตัว  มีนักวิ่งแนวหน้า หลายท่าน ถามหา สิงหา กันหลายท่าน ซึ่งก็เดาไปต่างๆ นานา ว่าคงไม่มา เพราะเมื่อวาน เพิ่งไปปล่อยของ ที่ ร.ร. สตรีวิทยา 2 มา  (อย่าคิดลึกล่ะ เมื่อวาน สิงหา เพิ่งไปคว้า อันดับ 1 ในรุ่น 30 ปี ระยะ มินิมาราธอนมา) ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดเยี่ยงนั้น ว่าวันนี้คงไม่มา เพราะอาจจะเตรียมไปเชียร์หงส์แดงในตอนเย็น หรือว่าอาจจะล้า จนมาไม่ไหว อิอิ นอกจากจะโดนแนวหน้า สิงหา ปานดำ แซงไป อีกคนที่ต้องเอ่ยถึงและลืมไม่ได้ ก็ คือ คุณป้อม litte tiger ที่วันนี้สเตปการวิ่งเนียนและเร็วมาก คิดว่าคงมีเป้าหมายในงานนี้เหมือนกัน เพราะปกติไม่ค่อยเห็นคุณป้อมในจังหวะที่มุ่งมั่นแบบนี้เท่าใดนัก..
หน้าจอ Garmin Connect

จุดให้น้ำแรก อยู่ที่ กม ที่ 2 กว่า ๆ  ณ ตอนนั้น ข้าพเจ้าใช้เวลาไปประมาณ 9 นาที  ซึ่งเีร็วกว่าแผนไปมาก หลังจากโฉบรับน้ำที่โต๊ะแรก ก็นำมาราดลงศรีษะเพื่อลดความร้อนที่สะสม เรียบร้อย จึงรีบฉกน้ำแก้วที่สอง และบรรจงจิบ ไปเล็กน้อย พอลดความกระหาย แล้วเริ่มกระชากออกไป  แต่ทว่าหลังจากออกจากจุดนี้ไปข้าพเจ้ากลับเกิดอาการเบลอร์จากเสียงนาฬิกาที่มันร้องเตือนตลอดเวลา เพราะว่าการวิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

กลายเป็นคิดไปว่า ตอนนี้ กำลังวิ่งเข้าสู่ กม ที่ 4  มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนเจอป้าย บอกระยะทางที่ตั้งอยู่ข้างทาง ว่าเป็น กม. ที่ 3  สมองที่ล่องลอยอยู่ ณ ขณะนั้น จึงคิดว่าคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเสียที มิเช่นนั้น สมองก็คงจะเบลอร์ ไปกับการนั่งคำนวณเวลา จิตไม่สงบเสียที จากนั้นจึงทำการปรับเปลี่ยน display นาฬิกา ให้กับเป็นหน้าจอปกติ ซึ่งทำให้สามารถเห็นระยะทางปัจจุบัน และเวลาที่ใช้จริง 

เหมือนเริ่มรู้สึกตัวว่าทำอะไรผิดไป จึงเลิกการควบคุมตัวเองโดยเทคโนโลยีทันที เริ่มกลับมาฟังเสียงร่างกายตัวเองในการวิ่งแทน ปรับจังหวะหายใจให้สบายขึ้น หลังจากที่ต้องหอบมาตลอด เริ่มรู้สึกตัวเบาขึ้น แต่เสียงการเตือนของนาฬิกาก็ยังตามหลอกหลอนอยู่เป็นระยะ แต่นาทีนั้นคือตัดสินใจแล้วว่าไม่สนใจ และต่อไปคงไม่ตั้งแบบนี้อีกแล้ว (ถึงตอนนี้ ระหว่างทางมีเจอเพื่อนๆ น้องๆ ที่มาร่วมซ้อมกับโค๊ชดินที่สวนหลวงวันนี้ แต่ทักทายไม่ได้ เพราะมันเหนื่อยอยู่ ทำได้แต่เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น)

เมื่อมาถึงจุดให้น้ำจุดที่ 2  ก็คือ บริเวณ กม. ที่4 ซึ่งเป็นบริเวณใกล้สนามเทนนิส ในสวนหลวง ร. 9  ก็ทำเหมือนกับที่เคยทำให้จุดแรก อีกครั้ง   จำได้ว่าจุดให้น้ำนี้เป็นจุดที่ให้น้ำ ซ้อนกันคือ จุดที่ 2 และ 3 เป็นจุดเดียวกัน แต่ตั้งโต๊ะให้น้ำกันคนละฝั่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า จุดกลับตัวที่อยู่ข้างหน้า ก็คือ อีก 1 กม. ซึ่งจุดกลับตัวตั้งอยู่บริเวณหน้า้ห้องน้ำ ในจุดที่ข้าพเจ้าและเพื่อนไปวอร์มกันก่อนแข่ง

ระหว่างทาง กม.ที่ 4-5 นี่แหละ มักจะเป็นจุดที่สังเกต หรือจุดชี้เป็นชี้ตาย สำหรับนักวิ่งที่กลับตัวมาแล้ว เพื่อเช็คอันดับตัวเอง คร่าวๆ ว่าอยู่ตำแหน่งใด ซึ่งแน่นอน คนแรกที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านมา ก็คือ นายเคราร์ด ปิเก้ ที่เห็นในตอนเช้า ซึ่งมาทราบชื่อในภายหลังว่า คือ มิสเตอร์นาธาน ควิก  แค่ นามสกุลก็ไวแล้ว 555


จากนั้น คนที่ 2 และ 3 ในรุ่น 85 กิโลกรัม ก็ผ่านไป  ซึ่งหากสายตาไม่เบลอร์จนเกินไป ขณะนี้ ตัวข้าพเจ้ายังครองตำแหน่งอยู่ในลำดับที่ 4  ซึ่งแน่นอน เมื่อถึงจุดกลับตัวที่ กม ที่5 ยังไม่มีนักวิ่งท่านใดแซงข้าพเจ้าขึ้นไปได้ ซึ่งเมื่อระยะทางวิ่งครบ 5 กม.แล้ว สังเกตจากเวลาใช้เวลาไป ไม่ถึง 23 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างพอใจ และมีความเป็นไปได้ ที่จะทำลายสถิติ 46 นาทีลงไปได้

ผ่านมาถึงจุดนี้ทำให้คิดถึงงานนี้ เมื่อปีก่อน ที่หลังจากกลับตัวแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ประสีประสาอะไร กับเรื่องการนับตัวอะไรเท่าใดนัก เพราะไม่เคยมีลุ้นในการแข่งขันอยู่แล้ว แต่มีเพื่อนนักวิ่งที่อยู่ตรงข้าม ที่วิ่งมาและยังไม่กลับตัว ตะโกนบอกนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า ว่าอยู่ที่ 5  ตายละหว่า ถ้าพี่เค้าอยู่ที่ 5 ข้าพเจ้าก็อยู่ที่ 7 อ่ะดิ  เพราะที่ 6 ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เจ้าบอย  ที่ปีก่อนยังอยู่ในรุ่น 85 รุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้า ที่ตอนนั้น น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 93-94 กิโลกรัม ซึ่งในปีนั้นข้าพเจ้าก็เร่งสปรินท์ จนแซงไปได้รับป้ายอันดับที่ 5 แืทนจนได้ แต่รับถ้วยจริงเป็นอันดับที่ 4 เพราะมีนักวิ่งฟาล์ว เพราะน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์

จบตอน 2/3

โฉมหน้านักวิ่งรุ่นใหญ่ 85-94 กิโลกรัม ปี 2013