Race 84 กรุงเทพ มาราธอน 2011
เมื่อชีวิตดลบรรดาลให้มาเป็นนักวิ่ง มีภูมิลำเนาบ้านเกิด อยู่ที่ กรุงเทพฯ งานวิ่งที่ผู้จัดบอกเป็นงานวิ่งนานาชาติแบบนี้ ข้าพเจ้าก็อยากมีส่วนเข้าไปสัมผัส สักครั้งในชีวิต ให้เป็นหนึ่งในความทรงจำ
ถึงแม้ว่าจะได้รับการคัดค้าน จากหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพร่างกาย เรื่องของการต่อต้านการจัดงานที่มีราคาค่าสมัครแพงเกินไป แต่หาได้หยุดยั้งความตั้งใจของข้าพเจ้าได้ จากหลายๆ เหตุผล
วันนี้ มีงานอีกสนามที่จัดพร้อมกัน แต่ข้าพเจ้าตั้งปณิธานแล้วว่าจะไม่วิ่งระยะเกินกว่า 10 กม แล้่วที่สนามนั้น เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บขึ้นมาได้ จากสภาพสนาม และสภาพภูมิประเทศ และ อากาศของงานนั้น
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลในการเปลี่ยนการตัดสินใจมาแข่งที่นี่
การวิ่งครั้งนี้ไม่มีอะไรพิเศษ สำหรับผม แต่มีความพิเศษ สำหรับพี่ชายของผม เพราะว่านี่่จะเป็นมาราธอนแรกของพี่เค้า หลังจากซุ่มซ้อมมาหลายเดือน และทางสโมสร ได้มีการเตรียมทำเซอร์ไพรส์ให้กับพี่ย้ง วันนี้ พี่ย้ง ได้ pacer ฟ้าประทานมาวิ่งเช่นเคย ส่วนผมก็วิ่งกับ คู่ปรับ กับผม โดยทำการตกลงก่อนแข่งขันว่า วันนี้ไม่แข่ง ขอวิ่ง ให้จบระยะพอ
ซึ่งได้แจ้งบอยแล้วว่าวันนี้ขอวิ่ง ที่ pace 6 นาที ไปเรื่อยๆ ดูสิว่าจะทานได้ถึงครบระยะหรือป่าว จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วที่เร่งเกินไป ทำให้ ตอนหลังแป๊ก ตะคริวขึ้น ถ้าเราลดความเร็วลง อาจจะทำเวลาได้ดีขึ้นก็ได้
ซึ่งก่อนวิ่ง ก็ได้เข้าไปวิ่งวอร์มในสวนข้างๆ ซึ่งอากาศในวันนี้ ร้อนมาก ไม่มีลม เลย ในใจเลยคิดว่า ขนาดอากาศเย็นๆ ยังตะคริวขึ้น แล้วร้อนแบบนี้จะเหลือเหรอ
ตี สาม เป็นเวลาปล่อยตัวของกรุงเทพฯ มาราธอน เป็นเวลาปล่อยตัวที่เร็วที่สุด ตั้งแต่เริ่มวิ่งมา โดยไม่นับงานวิ่งเที่ยงคืนงานนั้น
เมื่อปล่อยตัว การวิ่งขึ้นสะพานปิ่นเกล้า ถือเป็นด่านทดสอบด่านแรกของนักวิ่งทั้งผู้ที่ผ่านมาอย่างโชกโชน หรือ นักวิ่งหน้าใหม่ๆ ที่มาประเดิมสนามนี้เป็นสนามแรก การวิ่งที่ตกลงกันไว้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมจังหวะ ที่ 6 นาที ได้ดี เพราะเป็นการวิ่งที่ดูเวลาประคองไปตลอด พยายามเบรคคู่หูตลอดทางเมื่อเร็วเกินไป
การวิ่งบนทางยกระดับ นั้นมีข้อดี ข้อเสีย ปะปนกันไปขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ในส่วนตัว อากาศข้างบนนั้นดีกว่าข้างล่างมาก แต่การไม่เห็นทัศนีย์ภาพด้านล่าง มันก็ทำให้เบื่อ และวังเวง เหมือนกัน
เมื่อกลับตัวที่ กม ที่ 15 อาการแปลกๆ ที่ส้นเท้าขวาผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ยังวิ่งได้ คงเป็นเพราะสารอะดิเนอลีน ที่พล่านอยู่ในร่างกาย ณ ขณะนั้น แต่เมื่อถึง กม ที่ 18 อาการก็หนักขึ้น จึงบอกบอยให้วิ่งไปเลย เพราะรู้สึกเจ็บฝ่าเท้า และส้นขึ้นมา ซึ่งก็เป็นจุดที่แยกย้ายกัน
พยายามลดสปีดลงเพื่อเช็คอาการ หยุดในจุดให้น้ำ เพื่อขอยานวดมาทา ครั้งนี้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำบ้าง เผื่อว่าจะได้ค้นพบสูตรอะไรใหม่ๆ มาพัฒนาตัวเอง
เลยกลายเป็นว่า หลังจาก กม ที่ 20 กลายเป็นว่าถ้าฝืนวิ่งคงไม่ได้ดีแน่ เพราะอาการเจ็บ จึงเปลี่ยนวิธีการวิ่งใหม่ เป็น เมื่อรับน้ำที่จุดให้น้ำ แล้ว เดินต่อ ไปอีกระยะ 500 เมตร แล้วค่อยวิ่งต่อไป 2 กม ทำแบบนี้สลับกันไปเหมือนการลงคอรท์
ซึ่งตอนนี้เราไม่สนใจเวลาแล้วว่าจะเป็นอย่างไร ร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
สำหรับเส้นทางที่ผ่านมา สังเกตุได้ว่าวันนี้ พี่ย้งและคุณชอง ทำได้ดีมาก ใช้เวลาเฉลี่ยในการวิ่ง ต่ำกว่า 5:45 และด้วยเห็นโปรแกรมของพี่ย้งที่ซ้อมมาตลอด ทำให้คิดว่า เผลอๆ วันนี้ ต่ำกว่า 4 ชม อาจเกิดขึ้นได้แน่นอน เลยทำให้เสียดายว่าถ้าพี่ย้ง ไปแข่งที่จอมบึง ที่อากาศดีกว่านี้ ทางเรียบกว่านี้ ผลลัพธ์จะต้องดีกว่านี้แน่นอน
สำหรับเส้นทาง บนทางยกระดับราชชนนี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าวิ่งสุดถนนตรงทางลงตลิ่งชัน จากการวิ่งทำให้รู้ว่า ถนนเส้นนี้ไม่ใช่ทางราบอย่างที่เข้าใจกัน การวิ่งขึ้นเนิน ลงเนิน มีมาอยู่อย่างตลอด ถึงว่าทำไมรู้สึกว่ามันเหนื่อยกว่าจอมบึงมากนัก
กม ที่ 28 เป็นจุดที่ช่างภาพมารวมตัวกันที่สะพานพระราม 8 ซึ่งแน่นอนย่อมมีทีิมงานพี่ตุ้มอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
แต่แปลกเป็นงานที่หารูปวิ่งตัวเองไม่ได้ เศร้าใจ
เมื่อสิ้นเส้นทาง บนสะพาน พระราม 8 ก็ถือว่าสิ้นสุดระยะ 30 กม แล้ว วันนี้ กับเวลา 3 ชัวโมง สี่สิบ
ทำให้คิดพี่ย้ง ว่าป่านนี้คงใกล้จะถึงจุดที่นัดหมายกับน้องม็อคไว้แล้วแน่เลย มาย้อนคิดอีกที ไม่น่ามาลงเต็มมาราธอนครั้งนี้เลย อดอยู่ในช่วงเวลาดีดีของพี่ย้งเลย เป็นความคิดที่พลาดจริงๆ
12 กม กับการวิ่งบนถนนด้านล่าง ต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิม เพราะเวลาที่เราวิ่งนี่คือเวลาของกลุ่มแนวกลางไปทางหลัง ทำให้ถนนบางเส้นเริ่มเปิิดการจราจร เริ่มมีการติดไฟแดง ของนักวิ่งแล้ว
กมที่ 38 ปีที่แล้วที่ทำเอานักวิ่งมินิ หลงทาง ปีนี้ ก็ยังเป็นอีกเช่นเดิมครับ เป็นจุดที่นักวิ่งกลุ่ม ฮาล์ฟและมาราธอนต้องเลี้ยวขวา เพื่อไปเข้าสู่เส้นทางถนนพระอาทิตย์
นักวิ่งมินิ ตอนนี้ที่ต้องเริ่มวิ่งบนฟุตบาทแล้ว ได้เลี้ยวขวาตาม นักวิ่งมาราธอนมาหลายคน ซึ่งหลายคนรู้ทัน และยังกลับตัว บางคนไม่รู้ ก็วิ่งเลยตามเลยไป ซึ่งหลานข้าพเจ้าก็เป็นหนึ่งในการหลง ซึ่งได้รับระยะในการแถมเพิ่มไปอีก 2 กม โดยไม่รู้ตัว
เมื่อถึง กม ที่ 40 ข้าพเจ้าสามารถวิ่งมาทันคุณน้อง ที่มาวิ่งในระยะมินิ ข้าพเจ้าพยายามเร่งเพื่อหนีให้ได้ แต่การเร่งของข้าพเจ้า สุดความสามารถ ทำได้เพียง 7 กม ต่อนาทีเท่านั้น ซึ่งการเดินไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป จึงเริ่มเร่งและเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 4:50:10 ระยะทาง 42.42 กม
ครั้งแรกที่ไม่มีอาการตะคริวขึ้น การวิ่งสลับเดิน นั้นช่วยได้จริงๆ ซึ่งถือว่าได้ประสบการณ์ที่จะนำมาใช้วางแผนในการวิ่งมาราธอนปลายปีนี้อีกต่อไป
ซึ่งหลังจากเข้าเส้นชัย ก็หมดสภาพอยากนอนเป็นที่สุด เพราะความร้อนแรงของอากาศ
อ้อ ขอแสดงความยินดี กับพี่ย้ง กับมาราธอนแรก ที่ประสบความสำเร็จ กว่าที่ตั้งใจไว้
ไช้
12 กุมภาพันธ์ 2012