วันนี้ได้มาร่วมเดินวิ่ง งานฟรี กับสวนนครเขื่อนขันธ์ นักวิ่งเยอะมาก เพราะเป็นงานฟรี
บรรยากาศเป็นไปอย่างชุลมุน เพราะเบอร์วิ่งที่ให้จองในเว็บล่วงหน้า ปรากฏว่าตอนไปรับจริงมั่วมากครับ จนไม่พบกับเบอร์ตัวเองที่จองไว้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จัดงาน ก็ตามน้ำ ปล่อยเบอร์มั่วให้กับนักวิ่งไปหมด
คนสมัครไว้ก่อนไม่ได้เบอร์ คนได้เบอร์เพิ่งมาสมัครอะไรประมาณนั้น จริงอยู่เป็นงานฟรี แต่ถ้าจะมั่วแบบนี้ไม่ต้องให้สมัครก่อนให้เสียความรู้สึกหรอกนะครับ
สำหรับวันนี้ตั้งใจจะมาวิ่งให้เต็มที่เพื่อฟื้นพลัง และความเชื่อมั่นให้คืนมา ซึ่งปรากฏว่าวันนี้ต้องมาเป็น Pacer ให้หลาน โดยไม่ได้ตั้งใจ
คือเมื่อปล่อยตัววิ่ง หลานบอกวันนี้จะวิ่ง 10 km ซึ่งข้าพเจ้าดูบรรยากาศวิ่งในสวนแล้ว ถ้าปล่อยไปคนเดียว มันคงไม่รอดแน่นอน จึงตั้งใจ วิ่งด้วยตลอดทาง หลานเพิ่งจะเริ่มมาออกกำลังกายได้ไม่ถึง 2 เดือน ส่วนใหญ่มาซ้อมวิ่งไม่ประจำ และระยะสูงสุดไม่เกิน 2 กม ทำให้ข้าพเจ้าไม่ไว้วางใจในการวิ่งครั้งนี้ แต่เดิมตั้งใจจะให้มาวิ่งแค่สั้นๆ แต่อยากตะโกนบอกจัดงานมากๆ เลยครับ ว่าคุณสักแต่ว่าจะจัดงาน โดยไม่มีองค์ความรู้อะไรเลย การจัดการวิ่งระยะเดียว 10 กม ไม่มีใครเค้าทำกัน ยิ่งคุณประชาสัมพันธ์งานว่าฟรี ลูกเด็ก เล็กแดง จากหลายครอบครัว ถูกนำมาเพื่อรายการนี้ ผมสังเกตุเห็นก่อนการวิ่งมีเด็กจำนวนมากมาย มาลงรายการนี้ เพราะเข้าใจว่ามีระยะสั้น แต่เมื่อมาถึงงานกลับมีระยะแข่งขันเพียงระยะเดียว ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์ลากให้เด็กวิ่ง 10 กม โดยไม่สมควรอย่างยิ่ง
ระหว่างรอสัญญาณการปล่อยตัว |
การวิ่งเป็นไปในลักษณะ ถนอมแรง และ ไม่ให้ล้าเกินไป เป้าประสงค์เพื่อให้จบระยะทางให้ได้ นี่คือสิ่งที่บอกหลานก่อนวิ่ง และพอเริ่มวิ่งจริง
ก็วิ่งไปในอัตราความเร็ว 8 นาที ต่อ กม และก็วิ่งได้เพียง 2 กม เท่าระยะที่หลานซ้อม และก็ต้องหยุดวิ่ง เพราะหลานบอกเจ็บขาและก็เหนื่อย
นี่คืออีกหนึ่งบทเรียน ที่เจ้าจะต้องเรียนรู้ว่า ในเมื่อเจ้ามีต้นทุนแค่นี้ เจ้าก็จะทำได้เพียงแค่นี้ ตราบใดที่เจ้าไม่สามารถที่จะขยายต้นทุนของเจ้าออกไป เจ้าก็คงไม่สามารถที่จะพัฒนาตนเองให้ได้ดีขึ้น
การวิ่งหลังจากระยะ 2 โล นั้นเราควรจะเรียกว่าเดินดีกว่า แต่ทำอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุดโดยปราศจากการวิ่ง การเดินเร็วจึงเกิดขึ้น ระหว่างทางเห็นเด็กเดินกันมากมาย มีผู้ปกครองหลายคน ต้องคอยประคอง ทั้งปลอบใจทั้งให้กำลังใจ เพื่อให้ลูกหลานตัวเอง เดินและวิ่งต่อไป
ผมมองเหตุการณ์นี้ เป็นบทเรียนราคาแพง ที่ผู้เข้าร่วมแข่ง ที่จะต้องพิจารณาเพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานตนเอง ก่อนที่จะคิดเพียงว่าเราจะได้วิ่ง เพราะหากเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ความเศร้าโศกเสียใจจะต้องเกิดขึ้น ซึ่งบทเรียนนี้ผมก็จำไว้ในใจเสมอ ว่าหากมีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ผมจะต้องตัดสินใจ ภายในสองอย่างนี้ คือ วิ่งรายการนี้ต่อไปคนเดียว หรือไม่วิ่งเลย เพราะเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ
ตอนนี้ ก็ยังยิ้มได้ |
การเดินมาราธอน ได้ผ่านพันไป ในช่วง กม. ที่ 5 เด็กๆ เริ่มออกอาการงองแง กันอีกครั้ง หลายคนจะเข้าห้องน้ำ หลายคนอยากกลับบ้าน
คนที่ปวดห้องน้ำต้องอาศัย บ้านชาวบ้านแถวนั้นช่วยปลดทุกข์
คนที่อยากกลับบ้านก็มี เพราะตอนนี้มีรถสองแถวของงานที่ไล่เก็บของ โต๊ะให้น้ำ วกกลับเข้ามา บางคน ก็ขออาศัยขึ้นรถกลับ เพราะทนสงสารลูกหลานตัวเองไม่ได้
ผมก็เป็นอีกหนึ่งคนเช่นกันที่จะส่งหลานตัวเองขึ้นรถ แต่ก็ได้รับคำตอบจากหลานว่า ถึงจะวิ่งไม่ไหว ก็ขอเดิน เข้าเส้นชัยให้ได้ เพราะนี่คือรายการแรกของเค้า เค้าอยากจะวิ่งให้จบเหมือนกับคนอื่นให้ได้ ซึ่งมีเด็กๆ มีหลายคน ที่เดินมาด้วยกันเห็นด้วย จึงประคองกันวิ่งเหยาะๆ สลับเดินกันต่อไป
กม ที่ 7 ผ่านไป เริ่มมีรถของงานเริ่มขับมาเก็บเด็กที่วิ่งไม่ไหว ซึ่งเห็นว่าขนมาเต็มท้ายรถกะบะ ซึ่งไม่มีที่ว่างให้สำหรับกลุ่มของเด็กที่เราวิ่งด้วยกันมาอยู่ ซึ่งเ้จ้าหน้าที่บอกถ้าจะขึ้นให้รอรถคันต่อไป ซึ่งกำลังจะมา
กม ที่ 8 มาถึงรถคันดังกล่าวก็มาถึงจุดที่พวกเรากำลังเดินกันอยู่สุดท้าย เด็กในกลุ่มเกือบทั้งหมดก็ถอดใจ และเจ้าหน้าที่ก็ตะโกนบอกว่าขึ้นมาเลย เดี่ยวเอาไปปล่อยไว้ที่กมสุดท้ายให้วิ่งเข้า
ข้าพเจ้าหันไปมองหน้าหลาน ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจาก การส่ายหน้า กลับมา ซึ่งจากจุดนี้เหลือเด็ก 2 คน กลับผู้ใหญ่อีก 5 คน ในการร่วมเดินทาง 2 กม สุดท้าย
เส้นทาง 2 กม สุดท้ายทำให้รู้จักเพื่อนเพิ่มขึ้นมา การพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนากันได้เกิดขึ้น ได้ความว่า บางท่านเคยวิ่งมาแล้ว แต่สุดท้ายด้วยการงานจึงหยุดวิ่งไป แต่วันนี้เห็นว่าใกล้บ้านเลยมาลองวิ่งอีกครั้ง ซึ่งทำให้รู้ถึงร่างกายเลยว่าทรุดโทรมไปมาก และทำให้เค้าตั้งใจเริ่มกับมาซ้อมอีกครั้งให้ได้
นี่คงเป็นเรื่องดีดี ที่ผมได้รับจากงานนี้
มาถึง กม ที่ 9 เมื่อมาถึงจุดนี้ สิ่งที่ได้รับ คือ ความฉงนปนสงสัย เพราะมีทางแยก ซ้ายขวา แต่กลับไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำจุดอยู่เลย อาจเป็นเพราะเป็นเวลาที่เนิ่นนาน กับแสงแดดที่เริ่มแผดเผา ทำให้เจ้าหน้าที่แยกย้ายกันกลับ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ด้านหลังแล้ว
นี่เป็นอีกจุดที่ควรปรับปรุงแก้ไข ว่าควรจะมีการประสานกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่า คนสุดท้ายมาหรือยัง หรือเพียงแต่ว่าเค้าจะดูว่า นักวิ่งแฟนซี เข้าไปหรือยังเป็นบรรทัดฐาน (แซวอาอี้เนเน่นะครับ)
การตัดสินใจในตอนนั้น คือการตัดสินใจเลี้ยวขวา เพราะคิดว่าน่าจะถูกและเห็นมีรถขับไปทางนั้น ก่อนหน้านี้ เราเดินสลับวิ่งตามรถขนเด็ก มาตลอด แต่ก่อนถึงจุดนี้ เป็นจุดอับตรงโค้ง ทำให้เกิดการคาดสายตาในการจับจ้องรถคันดังกล่าว
การตัดสินใจดังกล่าว นั้นนำไปสู่ความผิดพลาด เพราะเมื่อเราวิ่งไปสักระยะ ก็มีเสียงเจ้าถิ่นโห่ร้องต้อนรับ กันอย่างคับขั่ง และ มองข้ามไปแนวรั้วก็เป็นแม่น้ำใหญ่ที่เราคุ้นตามาตลอด การวกกลับเข้าสู่เส้นทางเดิมได้เกิดขึ้น "หลงอีกแล้วตรู"
จากนั้นจึงกระตุ้นให้ทุกคนในทีมที่เหลืออยู่เริ่มวิ่ง เพื่อเข้าเส้นชัย เส้นทางเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อวิ่งผ่านจุดที่เราจอดรถกันอยู่ การวิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าผมจะทำสถิติได้ดีเช่นนี้ กับการวิ่งเข้าเส้นชัย เืมื่อซุ้มสตาร์ท ฟินิช กำลังถูกล้มเพื่อจัดเก็บ และจะต้องจับตั้งขึ้นใหม่เพื่อให้พวกเราวิ่งผ่าน
กับสถิติเข้าเส้นชัยคนสุดท้ายที่ได้รับ ย้ำคนสุดท้ายจริงๆ จนตากล้องต้องรีบนำกล้องออกมาถ่ายใหม่
บรรยากาศที่โดนชาวบ้านแซวตลอดเส้นทาง กม สุดท้าย ที่คนอื่นกำลังเดินกลับ
บรรยากาศที่โดนพี่ๆ ในชมรม แซวเมื่อเข้าเส้น
บรรยากาศที่่โฆษกประกาศว่า เหรียญเหลืออยู่ 8 เหรียญ สำหรับ คน 7 คน
บรรยากาศการวิ่งที่สามารถนำบุคคลในครอบครัวมาเริ่มวิ่งได้ โดยตัวเองเป็นพี่เลี้ยงให้ตลอดทางจนจบ
นี่คงเป็นอีกเรื่องที่ดีดี ที่ไม่เคยได้รับจากที่ใดจากที่นี่มาก่อน
มินิมาราธอนแรก ในชีวิต ภาพจากพี่เตือน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น