วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Race 121 ดอกบัวคู่ มินิฮาล์ฟมาราธอน

เมื่อครั้งหนึ่ง จำได้ว่าเคยมีอดีตที่ไม่น่าจดจำกับที่นี่ ซึ่งก็เป็นครั้งเดียวที่ได้มาเยือนกับอีเว้นท์นี้ กับระยะ 21.10 กม. ซึ่งหลังจากวันนั้นก็ตั้งปณิธานว่าจะไม่วิ่งระยะฮาล์ฟที่นี่อีก

เพราะอะไรจึงทำให้รู้สึกเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า นอกจากสนามดูดวิญญาณ เส้นคลองสูบน้ำสุวรรณภูมิที่ทำให้ข้าพเจ้าบาดเจ็บ กระทั่งต้องเดิน ครึ่งระยะทางของงานวันนั้น  งานดอกบัวคู่เมื่อปี 54 ก็เป็นอีกงานที่ข้าพเจ้าต้องเดิน แถมยังเป็น Twin Walk กับน้องโก น้องที่ซ้อมด้วยกันทุกวันเสาร์เมื่อปี 2 ปีก่อน  ไม่แน่ใจว่าจากสภาพถนนที่เป็นคอนกรีตหรือว่า ร่างกายที่อ่อนแอมาก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดอาการนี้ขึ้น

ดังนั้นเมื่อปีก่อนข้าพเจ้าจึงเว้นวรรค งานของที่นี่ไป  ปีนี้ก็เช่นกันเดิมทีก็คิดว่าจะเลือกที่นี่เป็นที่สุดท้ายหากไม่มีงานใดน่าสนใจ แต่แล้วเมื่อสวรรค์บรรดาร พี่กิ๊บสมัครงานนี้ให้เพราะพี่เค้าชอบเสื้อของปีนี้ ข้าพเจ้าเลยได้อนิสงค์ เบอร์วิ่ง มาวิ่งฟรี นี่จึงเป็นสาเหตุให้ปีนี้ ต้องมาวิ่งที่ดอกบัวคู่

อคติที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการจัดการที่ไม่ดีแต่ประการใด แต่เกิดจากจิตวิญญาณในตัวของข้าพเจ้าต่อต้านการมาเยือนสนามนี้อีกครั้ง กระทั่งถึงวันเสาร์ก็ยังอยากจะเปลี่ยนสนามวิ่งเป็นที่อื่นไม่เสื่อมคลาย แต่จนแล้วจนรอดก็ได้มาวิ่งที่นี่อยู่ดี

ข้าพเจ้ามาถึงงานเวลา 4.40 น ซึ่งนักวิ่งได้เข้ามาถึงในบริเวณงานค่อนข้างมาก สายฝนโปรยปรายตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามาในสวนหลวง ร.9 จนต้องหาที่กำบังสายฝน มิให้ตัวเปียกปอนไปกว่านี้

เมื่อฝนซาลง จึงไปดำเนินการเปลี่ยนรุ่น ให้ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้บริการดีมาก เท่าที่สังเกตวันนี้ ดอกบัวคู่น่าจะขนพนักงานทั้งบริษัท มาช่วยจัดงานแน่ๆ เพราะกลุ่มสต๊าฟเยอะมาก

สำหรับเป้าหมายในการวิ่งวันนี้ ข้าพเจ้าต้องการมาวิ่งจ็อค ที่ pace 6 นาที เท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้ร่างกายบอบช้ำติดๆ กันทุกอาทิตย์ เพราะ หลัง Super Sport 10 Miles ข้าพเจ้า ตึงไปหมดทั้งตัว และอีกทั้งเข่าซ้าย จุดเดิมที่เคยเจ็บกลับมามีอาการ ตั้งแต่กลับมาจากการแข่งครั้งก่อน

จากที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะมาวิ่งงานนี้ ทำให้ไม่ได้ศึกษาเส้นทางการวิ่งของวันนี้เลย แต่ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไร ค่อยๆ เกาะข้างหน้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีกว่า  หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็เดินดูในบริเวณงาน เห็นว่า มีแต่นักวิ่งที่วิ่งเร็วๆ ทั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะว่างานนี้เป็นงานเดียวที่มีเงินรางวัล และแจกเยอะรางวัลที่สุด

วันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นการปล่อยตัวที่น่ารักที่สุดของดอกบัวคู่ ในระยะมินิ เพราะว่า ประธานในพิธี เปิดงาน โดยกล่าวเพียงว่า "ปล่อยตัว" ซึ่ง ณ ขณะนั้น ยังเหลือเวลา อีก 2 นาที!!!!!! จะถึงเวลา 6.00 น.

บรรดานักวิ่งต่างอัดสปีดต้น หลังได้ยินสัญญาณดังกล่าว ในขณะที่ข้าพเจ้า วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่แซงใคร และพยายาม หลบน้ำทุกแอ่งที่เจอะตลอดเส้นทาง เพราะไม่อยากให้รองเท้าเปียก ในขณะที่ฝนไม่ตกแล้ว

พูดถึงรองเท้าเปียก ไม่น่าเชื่อว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ฝนจะตกทุกเวลา 5.00 แทบทุกวัน รองเท้าที่ซ้อมเปียกทุกคู่  ซ้อมเสร็จหรือตากบ้าง ทำให้ส่งกลิ่นอับบ้าง ซึ่งสุดท้ายก็ต้องนำมาซักเพื่อบรรเทากลิ่นให้เบาบางลง  จึงเป็นเหตูให้วันนี้ไม่อยากให้รองเท้าเปียกอีก

ในขณะวิ่ง ข้าพเจ้าพยายามรักษาสมาธิในการวิ่งไม่ให้โดนแอ่งน้ำ วิ่งไม่ให้เร็ว ทั้งที่ใจอยากจะใส่ให้หมดแม็กซ์  ทำให้ 2 กม แรก ใช้เวลาเฉลี่ยที่ถือว่ามากพอดูที่ 7 นาที ต่อ กิโล ซึ่งใน 2 กม. แรก นี้ ก็ได้วิ่งมากับ คุณลิบ กับน้องอีกคนหนึ่งของกลุ่ม เครซีรันนิ่ง ซึ่งวิ่งไปสักพัก ข้าพเจ้าก็โดนแซงไป

ไม่สนใจ ไม่สนใจ ใครจะเร็วก็ปล่อยไป เดี่ยวผ่านไปสัก  3 โลเราค่อยเร่ง เพราะว่าวันนี้ ตัดสินใจไม่วิ่งวอร์มก่อน ไม่ดริลล์ ไม่สไตรด์ อะไรทั้งนั้น เพราะไม่ต้องการกระตุ้นร่างกาย  เลยใช้ 3  กม แรก เป็นระยะทางของการวอร์มไปในตัว

หลังจากรับน้ำจุดแรกเรียบร้อย จึงปรับเพิ่มสปีดขึ้นเล็กน้อย เพราะร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นแล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นเส้นทางวิ่งเข้าไปในบึงหนองบอน ที่เมื่อ 2 ปีก่อนข้าพเจ้าเดินตลอดเส้นทางในนั้น

ในช่วงแรกก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะกลุ่มที่วิ่งเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งกลุ่มมินิมาราธอน แต่หลังจากวิ่งไปได้สักพัก กลุ่มแนวแน้าจากระยะฮาล์ฟ เริ่มวิ่งเข้ามาทับเส้นทางเดียวกัน ซึ่งเริ่มทำให้รู้สึกเส้นทางมันเล็กและอึดอัดเกินไป แนวหน้าที่วิ่งมาก็ต้องใช้สปีด และคอยระวังไม่ให้ชน กับกลุ่มที่กำลังวิ่งไป และ กลุ่มแนวหน้ามินิ ที่กำลังวิ่งสวนกลับ  โดยในตอนกลางของบึง เป็นช่วงลงเนิน กลับมีก้อนดินก้อนใหญ่ และกิ่งไม้มาขวางเส้นทางวิ่ง ข้าพเจ้านึกในใจเดี่๋ยวต้องมีคนล้มแน่ๆ เพราะดินเหนียว กับน้ำ มันลื่นมาก
และก็เป็นจริงดังคาด เพื่อนข้าพเจ้าล้มตรงจุดนั้นจริงๆ หลังจากวิ่งเสร็จมาคุยกันจึงได้รู้เรื่องดังกล่าว

ทำให้วินาทีนั้นข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจกระทำอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งขัดต่อเจตนารมย์ในวันนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ วินาทีนั้น หลังจากกลัวตัวที่ กม ที่ 4.95 ข้าพเจ้าเห็นแนวหน้ารุ่น 50 ที่วิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอน กำลังแหวกฝูงชน ที่ทั่งวิ่งไปในทางเดียวกันและที่กำลังสวนมาบนถนนลาดยางหน้ากว้างไม่เกิน 3 เมตร ทำให้ข้าพเจ้า ที่มีความรู้สึกอึดอัดจากการวิ่งที่กระจุกเบียดเสียด และต้องโดนปาดไปปาดมาตลอด อดรนทนไม่ไหว จึงกระชาก ตามแนวหน้าคนนั้นไป รู้สึกฟินมากๆ อาจจะเป็นเพราะการวอร์มตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทำให้กล้ามเนื้อพร้อมใช้งานหนัก ปรับจังหวะมาอยู่ที่ กม. ละ 4 นาที กว่าๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่ข้าพเจ้าเคยทำได้ เมื่อตอนที่ซ้อมหนักๆ แต่ กับสภาพตอนนี้ ที่ซ้อมน้อย ซ้อมสั้น และซ้อมช้า มากระชากจังหวะระดับนี้ ทำให้ถึงกับต้องเป่าปาก หายใจแรงไปตลอด ในขณะที่ด้านหน้า คู่หูที่ข้าพเจ้าแอบดร๊าฟ กับวิ่งด้วยท่วงท่าที่สบายๆ ไม่มีเสียงลมหายใจให้ได้ยิน ซึ่งในขณะวิ่ง สภาพตอนนั้น ก็ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะพ้นออกจากบึงซะที เพราะ อาการของเก่าจะออกเริ่มขย่อนมาทีละน้อย จนทำให้ต้องผ่อน และเห็นแสงสว่างในชีวิต เมื่อ ผ่านพ้นประตู ของ บึงหนองบอน

ข้าพเจ้ารีบผ่อนลงทันที โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกา GPS เตือน เหมือนเมื่อตอนซ้อมลงคอร์ทต่างๆ  ซ้อมน้อย มาวิ่งแบบนี้ ทีหลังอาจมีเป็นลมก็เป็นได้ หลังจากออกจากบึงเป็นที่เรียบร้อย อาการอึดอัดต่างๆ ก็หายไป เพราะ ออกมาถนน คนน้อย หายใจสะดวกขึ้นมาก แต่ออกมาได้พักเดียว ก็ต้องวกกลับเข้าไปในสวนหลวง อีกครั้ง ตรงประตูทางเข้าของบริษัทพัฒนกล มหาชน จำกัด

เมื่อเข้าไปในสวน ก็เริ่มอ่อยอิ่ง วิ่งไป ดูข้างทาง ดูนักวิ่งสาวๆ ไป เมื่อมาถึงทางแยก ที่เป็นบริเวณที่จอดรถ เริ่มเห็นนักวิ่งระยะฮาล์ฟ ที่ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปเก็บระยะทางในบริเวณนั้นอีก (นี่เป็นอีกเหตุผลที่ไม่อยากวิ่งฮาล์ฟ) ส่วนตัวข้าพเจ้า ก็เริ่มวิ่งลั่นล้าไปตลอดเส้นทาง เพราะไม่รู้จะเร่งไปเพื่ออะไร จนเข้าจุดฟินิช และปณิธานกับตัวเองในครั้งนี้ว่า "ถ้าครั้งหน้ายังวิ่งเส้นนี้อยู่ ก็ขอโบกมือลากันที" กลายเป็นไม่ว่าจะมินิ หรือ ฮาล์ฟ หากไม่ปรับปรุงเส้นทางก็บ๊ายบาย

แต่จริงๆ งานเค้ามีวัตถุประสงค์ดี สนับสนุนเด็กและเยาวชนนะครับ ควรส่งเสริม แต่เสียที่เส้นทางนี่แหละ

เครดิต รูปจาก ตุ้ม www.shutterrunning.com

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Race 120 Super Sport 10 Miles

สำหรับงานซูเปอร์สปอร์ต 10 Miles ชื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์ในงาน ภายใต้คอนเซปต์ 10 ไมล์ ครั้งแรกในไทย เดิมที่ จะจัดขึ้นที่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในอดีต อย่างที่บางคนยังเรียกชื่อนี้อยู่ ใน วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 แต่เนื่องจากการประเมินถึงความปลอดภัยจากทางผู้จัด จึงเลื่อนมาจัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2556 และเปลี่ยนสถานที่จากที่เดิม มาที่สวนลุมพินี ให้รู้แล้วรู้รอดว่ายังไงก็ต้องจัด

ซึ่งทำให้เส้นทางในการวิ่งที่ถูกกำหนดเริ่มต้นไว้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางจากเส้นทางเดิมเป็นเส้นทางใหม่  และเมื่อข้าพเจ้าไปสมัครและได้รับเสื้อพร้อมได้รับแผนที่เส้นทางใหม่มา ก็เก็บไว้ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่ง โดยเมื่อวันที่ไปรับชิพ เมื่อนำแผนที่ที่มีอยู่ ไปเทียบกับเส้นทางวิ่ง ที่ปิดบอร์ดประกาศไว้ ณ จุดรับชิพ  คนละเส้นทาง???? (เป็นการเปลี่ยนทางวิ่งครั้งที่ 3) ซึ่งถือเป็นบทเรียนที่นักวิ่งทุกคน ควรพึงสังวรไว้ ว่า การศึกษาเส้นทางวิ่งควรศึกษาอย่างถ่องแท้ และควรเช็คให้แน่ใจ เพื่อเป็นการรักษาสิทธิที่ตนเองควรได้รับ และไม่ควรมาตีโพยตีพายทีหลัง เมื่อเกิดการวิ่งผิดเส้นทาง

กำหนดการปล่อยตัว ของระยะ 10 ไมล์ กำหนดไว้ที่ ตี 5 ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่ผู้จัดคาดว่าจะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเมื่อทีมข้าพเจ้าเดินทางมาถึงสวนลุมเวลาตี 4.30 ไม่น่าเชื่อว่าที่จอดรถแทบจะเต็มสวนลุมแล้ว นี่คงเกิดจาก จำนวนนักวิ่งทุกระยะที่มาร่วมงานกว่า 5000 คน ในครั้งนี้  ข้าพเ้จ้ายังนึกไม่ออกเลยว่า นักวิ่งที่วิ่งระยะอื่น ถ้ายังไม่มาก่อนตี 5 จะหาที่จอดรถได้ที่ไหน

5.00 เป็นเวลาที่ปล่อยตัวจากบริเวณหน้าห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี ใน ขณะที่กลุ่มของข้าพเจ้า 3 หน่อ ยังเดินแรดอยู่แถว หลังลานพระบรมรูป ร.6 ซึ่งไม่ได้ยินสัญญาณปล่อยตัว  ก็ไม่ได้คิดอะไรเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นนักวิ่ง วิ่งออกไปเกือบหมดแล้ว จึงจะเริ่มวิ่งตามออกไปจาก บริเวณ ซุ้ม ลู่วิ่งจอห์นสัน ปรากฏว่ามีนักวิ่งสาว เดินมาถามว่า "พี่ค่ะ อันนี้ไว้ทำอะไร"

ชิพหาย!!!  น้องครับ อันนี้เค้าเรียกว่าชิพ ติดไว้ที่รองเท้าครับ จากนั้นก็ยืนดูน้องคนนั้นจนกระทั่งติดเรียบร้อย ข้าพเจ้าถึงได้ฤกษ์วิ่งออกจากจุดสตาร์ท ซึ่ง บอย กับ เป้ ก็ออกตัวล่วงหน้าไปนิดนึง ใช้เวลาเลทกว่า 2 นาที กว่าจะปล่อยตัวออกจากจุดเช็คชิพจุดแรก แต่ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่ตรงนั้น

ปัญหาคือ วันนี้ตั้งใจจะวิ่ง 10 Miles ที่เวลาไม่เกิน 1:25:00 นั้น การที่ออกสตาร์ทตามหลัง นักวิ่งกว่า 1200 คน ที่ออกตัวไปล่วงหน้านั้น ทำให้จังหวะวิ่งไม่ไหลลื่น เพราะติดขัด สะดุด จากการชะลอตัวของนัิกวิ่งที่ไม่สามารถออกตัวแรงๆ ได้เพราะติดกลุ่มนักวิ่งด้านหน้าเหมือนกัน

นอกจากนี้ เส้นทางในส่วนลุม ที่ใช้วิ่งจากจุดสตาร์ท ออกมาด้านประตู โรงเรียนสวนลุมพินี นั้น ค่อนข้างมืด ไม่รู้ว่ามันมืดจริง หรือข้าพเจ้าเมาขี้ตาก็ไม่รู้ วันหลังต้องกลับไปพิสูจน์เส้นทางนี้อีกทีแน่ๆ

งานนี้เลยต้องสอดส่องมองหาเพื่อนที่ออกตัวล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้ มีคุณสมบัติ ทะลุทะลวง หาเส้นทาง แหวกทางวิ่งได้เก่ง ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าเห็น จึงอาศัย การแหวกเส้นทางของ บอย ไปอย่างห่างๆ จนกระทั่ง พ้นประตูสวนลุมพินี ซึ่งเส้นทางวิ่งต้อง วิ่งตัดข้ามถนน เพื่อมุ่งสู่ถนนพระราม 4

จึงสามารถวิ่งขึ้นไปตี คู่ กับบอย โดยมี เป้ อยู่ด้านหน้า  ซึ่งถึงจุดนี้ ก็ยังต้องวิ่งๆ เบรคๆ ชะลอ ๆ เป็นระยะ เพราะ กลุ่มนักวิ่ง ยังมีค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นกลุ่มแนวหลัง ส่วนใหญ่มักวิ่งกันเป็นหน้ากระดาน!!!! ทำให้ยากต่อการแทรกแซง เพราะหากแทรกไม่ดูตาม้าตาหรือ อาจเจอตาตุ่มโดยไม่รู้ตัว




ซึ่งหลังจากที่พยายาม ย่างก้าว ฝ่าดงตรีน ดงแล้วดงเล่า มาถึงระยะ ที่ กม.ที่ 2 จากนาฺฬิกาข้อมือตัวเอง สามารถชดเชย ความสูญเสียทางด้านเวลาใน กม แรก ลงไปได้ ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับครุ่นคิด ในขณะที่กำลังสับขาก้าวออกไปอย่างมีสมาธิ ว่า หากยังปล่อยให้จังหวะการวิ่งแบบนี้ เป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ เวลาที่ปรารถนาจะครอบครองมันในครั้งนี้ คงหาที่จะทำได้ไม่ อันเนื่องมากจากการสะดุดเป็นระยะ เหมือน มอเตอร์ไซด์ ที่ต้องสำลัก เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภท

ข้าพเจ้าจึงต้องงัด ตำราพิชัยสงคราม ฉบับ ปราบปรามตัวเอง ขึ้นมาใช้ ดำเนินการเปลี่ยนจังหวะวิ่งหลังพ้น กม ที่ 2 เป็น คอร์ท 2K เพื่อเป้าหมายสลัดฝูงชน ให้จงได้ เมื่อพ้น กม ที่ 4

เมื่อพูดถึงเรื่องระยะทาง งานนี้เป็นงานวิ่งที่แสดงระยะทาง เป็น ไมล์ ให้สอดคล้องกับระยะทางของงาน ซึ่ง ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน กับจังหวะการวิ่ง ระยะทางที่แสดงในนาฬิกา และป้ายระยทางที่แสดง มันขัดๆ กัน แต่ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ในวงการวิ่ง  ไม่รู้ว่ามีใครรู้หรือไม่ ว่า 1 ไมล์ นั้นเมื่อเทียบระยะกับ กิโลเมตร นั้น มีอัตราส่วนเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากในปัจจุบัน ถ้าคุณถาม อากู๋ ก็ได้คำตอบ คือ

1 ไมล์ = 1.609344 กิโลเมตร

หมายความว่า ถ้างาน 10 Miles นี้ ในวันนี้ บรรดาสิงห์นักวิ่ง จะได้วิ่งระยะ ที่ 16.0934 กม. มาลุ้นกันว่าจะทำได้หรือไม่ กับ event นี้

เมื่อผ่านจุดให้น้ำจุดแรก ก็ได้ พบจุดให้น้ำ 3 โต๊ะ ซึ่งข้าพเจ้ามาในกลุ่มหลัง ก็ยังพบแก้วน้ำวางอยู่ อย่างพอเพียง  ทำให้คิดว่า เรื่องน้ำวันนี้ น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะผู้จัดเตรียมตัวมาดี มีการจำกัดจำนวนนักวิ่ง

เมื่อพูดถึงจุดให้น้ำ ไม่รู้ว่า นักวิ่งท่านอื่น มีทัศนคติ กับการแจกน้ำ ณ จุด ให้น้ำอย่างไร ในมุมมองของข้าพเจ้าเองและที่ได้รับคำบอกเล่าต่อๆ กันมา นักวิ่งที่ต้องการทำเวลา มักจะประสบปัญหากับการที่จุดให้น้ำ มีผู้ให้บริการที่หวังดี มายืนตรงหน้าโต๊ะและยื่นแก้วให้ ซึ่งทำให้บางครั้งเมื่อจังหวะความเร็วที่ส่งมากับการที่ต้องวิ่งแข่งกันมาตลอดทาง ทำให้ต้องพลาดการรับน้ำไปเลยทีเดียว ซึ่งการพลาดการรับน้ำนั้น ย่อมส่งผลถึงสภาพร่างกาย ที่ต้องแบกรับภาระ ไปอีกถึง 2-2.5 กม กว่าจะได้รับน้ำใหม่อีกครั้ง

ซึ่งอาจเป็นความปรารถนาดี ของผู้ให้น้ำ ที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับนักวิ่ง แต่ข้าพเจ้าคิดว่า  ผู้จัดควรมีมาตรการหรือมาตรฐาน ในการให้ความรู้ต่อ น้องๆ พี่ๆ ที่มาให้บริการที่จุดให้น้ำด้วย เพราะแค่เสี้ยววินาที ที่เสียตรงนี้ อาจจะทำให้เกิดการผิดพลาด ในก้าวต่อๆ ไปก็ได้  ซึ่งถ้าอยากจะยื่นแก้วให้ จริงๆ เพราะรู้สึกมีส่วนร่วมในกิจกรรม ก็ควรไป อยู่ในจุดท้ายของโต๊ะ จะดีกว่า

กม ที่ 2 กว่าๆ ณ เวทีมวยลุมพินี ข้าพเจ้าวิ่งตามมาทัน เป้ และขึ้นไปนำ แบบดึงๆ ล่อๆ หวังให้ น้อง วิ่งตามขึ้นมา เพื่อสลับกันนำ สลับกันตาม เพื่อรักษาจังหวะในการวิ่งคอร์ทนี้ ก็ทำได้ตามเป้าหมายระยะทางสั้น ๆ แต่ก็ต้องลากเดี่ยว เพราะเป้ เกิดอาการจุก จนข้าพเจ้าต้องสลัด เพื่อทำตามเป้าหมายตนเอง ที่ต้องการสลัดกลุ่มนักวิ่งกลุ่มใหญ่ด้านหลัง

ซึ่งเมื่อวิ่งไปได้สักระยะ พ้น กม ที่ 4  ซึ่งครบคอร์ท 2 กม ที่วางไว้ ซึ่งสามารถทำเวลาเฉลี่ย อยู่ที่ 4:48 ก็ได้เห็นและ ล็อคเป้าหมายใหม่ ที่จะต้องดีดตัวเองตามขึ้นไป เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนน รัชดาภิเษก

น้องแจง ขาโจ้ แห่งรัชมังคลา ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า ข้าพเจ้า สปรินท์ ตามขึ้นไปและวิ่งอยู่ห่างๆ ที่ 10 เมตร และผ่อนแรง และรักษาจังหวะวิ่งให้เข้าสู่สภาวะเดิม ก็ได้พบสิ่งปกติที่เกิดขึ้นด้านหน้าคือ แจง จังหวะก้าวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ข้าพเจ้าวิ่งขึ้นมาทาบ โดยไม่ต้องเร่งแต่ประการใด ทำให้ได้ทราบความว่า น้องเกิดอาการเจ็บที่บริเวณเดิม เลยต้องผ่อน และลดระดับการวิ่งลง ด้วยสีหน้าเซ็งๆ และถูกไล่ให้ไปเลย

และทำให้ได้ทราบว่าคุณพี่น้อยวิช อยู่ข้างหน้า  ลืมไปเลย โจทก์เก่า จากภูเก็ต ที่แรงเหลือเกินในตอนนี้ ทำให้ข้าพเ้จ้าได้เป้าหมายใหม่ ในวันนี้อีกครั้ง เมื่อพ้นหน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ ด้วยความไม่ได้วิ่งยาวมานานมากกกกก ตั้งแต่ บางขุนเทียน มินิฮาล์ฟมาราธอน ตั้งแต่ต้นปี ทำให้เกิดอาการ กลัวว่าจะน็อคกลางทาง เลยตัดสินใจปรับจังหวะการวิ่งให้เบาลงอยู่ มาอยู่ที่ 5:10 ต่อ กม. และงัดแผนการซ้อม 6K เข้าผนวกกับการวิ่งในจังหวะนี้

แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กลับรู้สึกสบายขึ้น ดีจังหวะนี้ เบากว่า 2K ที่ใส่มาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพ้นถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสุขุมวิท เท่านั้น อาการอึดอัดเริ่มเกิดขึ้นมา สันนิษฐานน่าจะเกิดจากการวิ่งใต้เส้นทางรถไฟฟ้า ทำให้ อากาศไม่ถ่ายเท เท่าที่ควร ทำให้ความร้อนเริ่มสะสมขึ้น แต่ยังโชคดีที่ว่า สามารถสลัดกลุ่มนักวิ่งกลุ่มใหญ่ออกมาได้

ระหว่างวิ่งดูโน้น นั่นนี่ ก็คิดไปถึงเรื่องเส้นทางวิ่งที่ดูมา ว่าจังหวะสุดท้ายจะเริ่มเร่งที่ กม ไหน ก็เริ่มเข้ามาในสมอง แต่ยังไม่ทันที่จะคิดไปถึงเรื่องอื่นต่อ ณ ซอย นานา ในขณะที่ผู้คนกำลังมองฝรั่งและอนงค์ นวลน้อง สาวน้อย สาวใหญ่ กันอย่างเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าโดน หนุ่ม ไม่ใส่เสื้อ ร่างกายดำคล้ำ วิ่งข้ามถนน เข้ามาชี้หน้าด่านักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า หรือ ข้าพเจ้า  คำพูดที่พูดออกมาตอนนั้น ณ ตอนนี้ จำไม่ได้ เพราะหูอื้อ แต่รู้ว่าเข้ามาหาเรื่อง  ทำให้ข้าพเจ้าต้องเบาเครื่องลง ก่อนที่จะชะลอหันกลับมามองชายผู้นั้นอีกที แต่ก็เห็นว่าเค้ายังชี้โบ๊ชี้เบ๊ บ่นออกมาอยู่ ทำให้รู้ว่า "ไม่บ้าก็เมา" ข้าพเจ้าจึงออกวิ่งต่อไป

วิ่งสบายๆ อยู่ไม่เท่าไหร่ เมื่อพ้นแยกวิทยุ หน้าธนาคารกรุงเก่า ก็มาบรรจบ กับกลุ่มนักวิ่ง 5 ไมล์ เข้าอย่างจัง อาการวิ่งแล้วสะดุดเกิดขึ้นอีกแล้ว การเรียงหน้ากระดานวิ่ง มีให้เห็นเป็นระยะ ทำให้ข้าพเจ้าที่มีเป้าหมายในการทำเวลา จะต้องวิ่งฉีกเลนขวาออกไป ซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนมาก

ในขณะวิ่งออกขวาเพื่อแซง ต้องหันกลับไปมองรถ ทุกระยะ เมื่อแซงเสร็จก็ตบเข้าในเพื่อความปลอดภัย แต่ทำอย่างนั้นไม่ได้นาน เพราะตบเข้าใน ก็เจอฝูงชน วิ่งต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจกระชากออกตรงแยกราชประสงค์   วันนี้ขอเรียนตามตรงว่าวิ่งไปเสี่ยงไป กับรถที่วิ่งคู่กันมาตลอดทาง ซึ่งเมื่อสลัดหลุด ก็สามารถกลับมาใช้จังหวะวิ่งตามเดิมได้

วินาที่นั้น ในขณะที่กำลังเริ่งเพื่อข้ามแยกบริเวณโตคิว ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะกักนักวิ่งเพื่อระบายรถที่ติดอยู่ออกไป บริเวณป้อมตำรวจ เห็นมีผู้ใช้ถนน กำลังสอบถามเส้นทางว่าขับผ่านไปได้หรือไม่ บริเวณป้อมตำรวจ เมื่อข้าพเจ้าวิ่งผ่านแยก จึงได้ทราบว่าคนที่ถามอยู่เหมือนเป็นชาวต่างชาติ ที่กำลังงงเส้นทาง ว่าจะขับไปต่อยังไง เพราะเห็นกั้นถนนไว้หนึ่งเล่น รู้สึกสังหรณ์ตะหงิดๆ ข้าพเ้จ้าเลยชิดซ้ายขอบถนน ยังไม่ทันจะเข้าซ้ายสุด กลับได้ยินเสียง "เอี๊ยดดดดดด ฟิ้วส์ๆๆๆๆๆ"  และรถคันนั้น ก็ขับราวกับว่าอยู่ในสนามฟอร์มูล่าวัน หรือตัวเองเป็นพระเอกในภาพยนตร์ชื่อดัง fast and  furious และก็หายไปจากสายตา (เค้าคงหงุดหงิด ที่โดนปิดถนนนานๆ แน่) นี่ถ้าไปโดนกักอยู่ตรงถนนวิทยุ และขับแบบนี้ ไม่รู้ว่า นักวิ่ง จะโดนกวาดเก็บสแปร์ไปกี่คน แค่คิดก็สยอง

10 กม ผ่านไป รู้สึกโล่งใจมากที่วันนี้ ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ส่งสัญญาณขึ้น เวลาที่ผ่านจุดนี้ อยู่ที่ 52 นาที ถือว่าเวลาดีกว่าวิ่งที่ภูเก็ตเยอะเลย 5555+

จนวิ่งมาทันสาวเสื้อกล้วย ซึ่งเมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นคุณนก จึงวิ่งประคองไปด้วย ถือโอกาสพักหายใจ ผ่อนกำลังขาไปในตัวด้วย เพราะยังมีภาระกิจ 2K ที่ต้องทำอีก

จากการที่วิ่งเส้นทางนี้ บ่อยๆ ทำให้ทราบว่า บริเวณแยก ถนนพญาไท ไปถึง ห้องสมุดสวนลุม ถ้าวิ่งเข้าประตู โรงเรียน ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 3 กม. ซึ่งเมื่อคำนวณบวกลบ กับเส้นทางที่วิ่งอยู่ตอนนี้ กับนาฬิกาที่บอกระยะทางปัจจุบัน รู้ในทันทีว่า วันนี้ ไม่ถึง 10 ไมล์ ตามคำโฆษณาแน่ๆ

หลังจากวิ่งดึงๆ คู่กับคุณนก มาจนเลี้ยวเข้าสู่ถนนพระราม 4 แรงเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม จึงขออนุญาติคุณนก ฉีก เมื่อพ้นถนนพญาไท ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับจังหวะเร่งขึ้น กลับมาที่จังหวะการวิ่งเดิม ซึ่งคราวนี้ อากาศที่ร้อนขึ้น แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่จะเวลา 6.00 แดดแรงมาก และที่สำคัญรถเยอะมาก จะเยอะไปไหนเนี้ย

ทุกจุดให้น้ำ ต้องมีการราดน้ำใส่หัวตัวเอง เพื่อลดความร้อนสะสม พยายามเร่งๆๆๆ แต่ทว่ารู้สึกตัวอีกทีว่าเร่งไม่ขึ้นไปกว่านี้แล้ว แถมยังเวลาเลวร้ายกว่าที่เคยซ้อมอีก เพราะอะไรนะหรือ ที่ทำให้เกิดเครื่องตัน เร่งไม่ขึ้นตามปรารถนา

ประการแรกก็คือ เป็นระยะเวลานานแล้วที่ข้าพเจ้าซ้อมวิ่งอยู่ที่ 5-10 กม ต่อวัน ทำให้ร่างกายไม่เคยชินกับการแบกระยะทางที่เพิ่มขึ้น  (อันนี้โทษใครไม่ได้ ซ้อมน้อยเอง)

ประการที่ 2 คือ น้ำที่ราดหัวราดตัว มันเข้ามาอยู่เต็มรองเท้า ทำให้เท้าหนักขึ้น และรู้สึกลื่นเมื่อปลายขาสัมผัสพื้น

ยังงงตัวเองอยู่มากกับตอนหลังนี้ เพราะรู้ว่าแรงยังเหลืออีกเยอะ แต่เร่งไม่ขึ้น ซึ่งจนแล้วจนรอด พยายามขืนเร่งเท่าที่ได้ เมื่อผ่านจุดสตาร์ที่เวลา 1:20  ตามเวลาที่แสดงที่แขวนไว้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถตามหาพี่น้อย ได้ทันอีกงาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้ในทันทีว่า ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พี่น้อย คงทุ่มเท ให้กับการซ้อมมากมาย จนทำให้กลับมาวิ่งในครั้งนี้ แข็งแกร่งกว่าเดิม

ขอบคุณคุณพี่น้อย ที่ทำให้ผมมีแรงกระตุ้นที่จะกลับมาซ้อม เพื่อ Jog and Joy Day สิ้นเดือน กรกฏาคม นี้ ครับ

จบศึก ครั้งนี้ แต่ศึกยังไม่จบ ยังมีดร่าม่า ตามมาอีกหลายเรื่อง ทั้งการโอดครวญในการพ่ายแพ่ ความผิดพลาด และเรื่องสปิริตนักกีฬาของบรรดาเหล่านักวิ่ง ความเสียดายในรางวี่รางวัลที่หมายมั่นปั้นมือไว้ และรวมถึง การที่นักวิ่งชาย เอาเบอร์นักวิ่งหญิงมาวิ่ง จนทำให้นักวิ่งหญิงเหล่านั้นต้องพลาดโอกาสที่ควรจะได้รับ

แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางผู้จัดได้ดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะมีหลักฐานจากทางพี่ที่ ฟอร์รันเนอร์ แจ้งไปทางผู้จัด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าชมเชย มากกับการแก้ไขปัญหาอย่างทันถ่วงที

พูดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด ในตอนที่รับเบอร์และชิพ และมีนักวิ่งที่มาสมัครไม่ทัน และสามารถหาเบอร์และชิพมาวิ่งได้จากท่านอื่นที่สละสิทธิ โดยข้าพเจ้าให้คำแนะนำให้ไปแก้ไขทีุ่จุดเช็ค จนต้องถูกป้าหมาที่น่ารัก เอ็ดเอาและสอนให้รู้จักเคารพกติกา   ซึ่งมานั่งคิดตอนนี้ ก็คงเป็นประสบการณ์ของผู้จัด และคงเป็นเรื่องที่ผู้จัดคงเล็งเห็นแล้วว่าหากให้แก้ไขแล้วปัญหาจะตามมาเลยไม่อนุญาติให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ขออภัยจริงๆ

ซึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ  คราวหน้าเค้าข้าพเจ้าจะไม่ทำแล้ววววครับ จะไ่ม่ยุ่งเรื่องคนอื่นแล้วครับ

และแนะนำต่อเพื่อนนักวิ่งต่อไปว่า ถ้าคุณคิดจะมาแข่งขันเพื่อคว้ารางวัล โปรดรับผิดชอบสมัครล่วงหน้าให้เรียบร้อยก่อนปิดรับสมัครด้วย อย่าคิดมาดูตัวหน้างานแล้วสมัคร ถ้าคิดว่าฝีเท้าแน่จริง ก็ไม่ต้องกลัวใคร และงานวิ่งเดี่ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ผีหลอกเหมือนสมัยก่อน

สำหรับงานนี้ ถ้านักวิ่งอันดับรองๆ ประท้วงกันจริงๆ  พี่ๆ น้องๆ ที่ได้รับรางวัลครานี้ คงฟาวล์กันไปหลายคน เพราะชื่อวิ่ง ไม่ตรงกับ ชื่อจริง ที่รับรางวัล

ปล. ผู้จัดครับ คราวหน้าขอ 10 ไมล์จริงๆ ทีนะครับ ให้ไปวนในสวนสักครึ่งรอบก็ได้ เสียดายจริงๆ







วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Race 119 ลากูน่า ภูเก็ต มาราธอน


หลังจากที่ภาระกิจชีิวิตที่ยุ่งเหยิงเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี ทำให้ไม่สามารถที่จะบันทึก race การวิ่งตั้งแต่ งาน พันท้ายนรสิงห์
งานกรีนไลฟ์ฟิตเนส, งานหัวใจอาสาครั้งที่ 3 ,งาน รพ พระมงกุฏ ,งาน รพ.ศิริราช และ งานจันทบุรี มินิฮาล์ฟมาราธอน ที่ทุกงาน ข้าพเจ้า ทำได้เพียงวิ่งในระยะมินิมาราธอน


ซึ่งการจะมาเขียนไดอารี่ย้อนหลัง กับเหตุการณ์ประทับใจเหล่านั้น ก็คงหาได้ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งกับอรรถรสที่ได้รับมานั้นไม่ เพราะเปรียบเสมือนการดูทีวีย้อนหลัง ซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว (เว้นแต่ อยากจะบันทึก และแบ่งปันสิ่งดีดีที่ได้รับอยู่ในใจเพื่อบันทึกเป็นอีกหนึ่งความทรงจำ ก็ค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง)

สำหรับภาระกิจการวิ่งในครั้งใหม่นี้ เป็นภาระกิจ ที่เรียกได้ว่า เป็นภาระกิจที่ใช้เส้นทางยาวนานในการเดินทางมาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบให้พอเห็นภาพ อาจเรียกได้ว่า เป็นมหากาพย์ ไซอิ้ว ที่เดินทางจาก เมืองต้าถัง ไปอัญเชิญ พระไตรปิฏก จากชมพูทวีป อย่างนั้นก็ไม่ปาน

ระยะทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ โรงแรมลากูน่า จังหวัดภูเก็ต  829 กม. เป็นระยะทางที่ถือว่าไม่ธรรมดามาก กับการไปวิ่งระยะ 10 กม. แต่ความบ้าบิ่นนั้น ข้าพเจ้าคิดว่ามีอยู่ในจิตวิญญาณของนักวิ่งทุกคน ที่มักทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้อยู่บ่อยๆ


งานลากูน่าภูเก็ต งานวิ่งนี้ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ว่าไม่มีอยู่ในแผนการวิ่งของปีนี้เลยและไม่คิดว่าตัวเองจะได้มาร่วมงานในครั้งนี้เลย ถ้าไม่ได้รับการชวนจากเพื่อน,พี่ ที่ร่วมซ้อมและรู้จักกันมา 2 ปี

จากเหตุผลบางประการทำให้ได้เข้ามาช่วยงานเป็นสต๊าฟในทีมเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย กับงานวิ่งที่ทรหดที่สุดในชีวิต  การนัดหมายการเดินทางสำหรับเพื่อนร่วมทางทุกคน อยู่ที่ สวนลุมพินี เวลานัดหมาย คือ 20.00 น. เพื่อเริ่มเดินทาง โดยในครั้งนี้ เป็นการเดินทางคาราวานใหญ่ มีรถในขบวน ถึง 3 คัน  นอกจากนี้ที่บริเวณ นัดหมาย ยังได้พบกับทัวร์วิ่งของฟอร์รันเนอร์ และจิมรันนิ่ง ที่เป็นขาประจำในการวิ่งระยะไกลอยู่แล้ว

แน่นอนการเดินทางเป็นหมู่คณะใหญ่ ย่อมมีอุปสรรค และสถานการณ์ต่างๆ ที่ได้ให้แก้ไขกันไปตลอดทาง แต่ผลที่ออกมาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจกับการดูแลมวลชนขนาดนี้ และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องความปลอดภัย

เมื่อเดินทางถึงภูเก็ต จากเวลาที่มีน้อยจากแผนเดิมที่วางไว้ จึงทำได้เพียงไปไหว้พระที่วัดฉลอง เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ จากนั้น จึงทยอยกับที่พัก และ มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน เพื่อไปรับเบอร์และชิพ พร้อมรับประทานอาหารที่งาน

เรียกได้ว่าเส้นยาแดงผ่าแปด เพราะว่ากว่าที่คาราวานเราจะไปถึงก็เกือบ 5 โมงเย็น ซึ่งเป็นกำหนดเวลาที่สิ้นสุดการลงทะเบียน แต่ก็คิดว่าผู้จัดอนุโลมเวลาให้ เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีบรรดานักวิ่งทยอยเข้ามาลงทะเบียนเป็นระยะๆ

สำหรับการลงทะเีบียนยังสับสนอยู่ จากเดิมที่แจ้งให้ใช้บัตรประชาชนมารับ กลายเป็นมากรอกรายละเอียดในแบบลงทะเบียนใหม่ เพื่อรับเบอร์และชิพแทน ซึ่งก็ต้องอาศัยดูที่ Register Board เพื่อหาข้อมูลหมายเลขวิ่งมาบันทึกในเอกสาร

เท่าที่สังเกตุด้วยสายตา เห็นเจ้าหน้าที่แบ่งการทำงานเป็นโต๊ะ ๆ เรียงตามลำดับไปเรื่อยๆ จนถึงทางออก เพื่อเดินเข้าสู่โซน Expo แสดงสินค้าของงาน

ซึ่งก็คงไม่ได้ยุ่งยากอะไรในโต๊ะที่ 1 นี้  หากเบอร์ที่แจ้งที่โต๊ะว่าหมายเลขใด รับที่โต๊ะใด ไม่ตั้งเอียงจนกลายเป็นอีกโต๊ะ ซึ่งทำให้ผู้ที่เข้าแถวต่อคิวเพื่อรอรับเบอร์ เข้าใจผิดไปหลายท่าน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย  เมื่อเปลี่ยนแถว และรับเบอร์ ชิพ ถ้วยใบไม้ซิลิโคน และบัตรรับประทานอาหาร เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่โต๊ะที่ 2 เพื่อเช็คข้อมูลในชิพ

หลังจากนั้น ก็มุ่งหน้าสู่โต๊ะสุดท้าย เป็นโต๊ะที่แจกเสื้องานวิ่งนี้ เป็นอันเสร็จพิธี

อัยหย่ะ มานึกได้ตรงเห็นเ้จ้าหน้าที่ของออแกไนต์ เจ้าหนึ่งที่จัดงานวิ่งระัดับประเทศ นั่งทำงานอยู่ในนี้ด้วย ทำให้มีสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องมาลุ้นว่าจะมีเซอร์ไพรส์ ในถุงเบอร์และชิพ อีกครั้ง

หลังเพียรพยายาม ควานแล้วควานอีกในถุง พบเพียง ถ้วยซิลิโคน เบอร์วิ่ง เข็มกลัด และ ชิพ หาได้เจอสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์จะพบ เพิ่มเติมในถุง ทำให้เรียกว่าโล่งใจ ไปอีกงานว่า ไม่ต้องวิ่งก็ได้รับเหรียญให้เสียความรู้สึก  และขายขี้หน้าประชาชี อีกงาน

ได้มีโอกาสไปร่วมวิ่งงานที่เค้าเรียกว่างานอินเตอร์เนชั่นแนล มาหลายงาน ก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกว่าเป็นงานตามที่เค้าประกาศแบบนั้นซะที จนมาถึงที่นี่ แค่บรรยากาศในงานเอ็กซ์โป ก็เห็นแล้วว่า ชาวต่างชาติมากกว่าชาวไทยเสียอีก  ไม่รู้ที่คนไทยมาน้อย เพราะมันไกลไป หรือราคาสูงไป อันนี้ ก็ต้องไปหาคำตอบอีกที หรืออาจเป็นเพราะว่าชาวต่างชาิติมาวิ่งที่นี่เยอะเพราะต้องการมาเที่ยวที่ภูเก็ต เป็นของแถม ซึ่งเหตุผลข้อหลังนี้มีความเป็นไปได้สูง

หลังจากนั้นเริ่มเิดิน ไปสถานที่จัดเลี้ยง Pasta Party ที่บรรยากาศดี อาหารมีหลากหลาย แต่ข้าพเจ้าทานไม่ค่อยได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะการเดินทางที่ยังเหนื่อยอยู่ เลยทานไปแค่เบาะๆ อาหาร 3 จาน น้ำอัดลม 6 แก้วด้วยความกระหาย ทานได้แค่นี้จริงๆ

นอกจากอาหารในงานแล้วยังมีวงดนตรีมาเล่นขับกล่อมด้วย ซึ่งประทับใจกับมือกลองสาวของวงนี้มาก แต่ประทับใจยังไง ขอเก็บไว้ในใจพอ

ภาระกิจประจำวันก่อนการวิ่งกำลังจะจบลง ด้วยการแยกย้ายสู่ที่พักตามที่ได้แจ้งไว้ เพื่อพักผ่อน แต่เดี๋ยว ภาระกิจยังไม่หมด มาทะเลทั้งที ไม่ถึงทะเล ก็กะไรอยู่ เมื่อถึงโรงแรม เบสท์เวสเทิน เพื่อส่งผู้ร่วมเดินทาง รถคันที่ 2 และ 3 เรียบร้อย กับภาระกิจ นำสัมภาระบางอย่างกลับที่พักตัวเองก็เกิดขึ้น ซึ่งภาระกิจนี้ทำให้ข้าพเจ้าถูกขังอยู่ในรถบัส ร่วม 15 นาที  เพราะคนขับไม่รู้ว่าข้าพเจ้าติดอยู่ในรถ ซึ่งกว่าจะได้ลงจากรถ ก็ต้องให้รถหาที่จอดรถได้เรียบร้อยและ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำภาคพื้น เข้าไปแจ้งคนขับให้ทราบ  (เกือบได้นอนในรถแล้ว)

การเดินเรียบหาด ไปสู่ที่พัก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที อากาศบริสุทธิ์ เส้นทางมืด และไปสว่างเมื่อเจอร้านอาหาร เช่นนี้สลับกันไป  ระหว่างเดิน มีเจ้าถิ่นมาต้อนรับเป็นระยะๆ จึงได้อาศัยถามกลยุทธ์จากกล้วยปั่นในการปกป้องตัวเองจากบรรดาเจ้าถิ่น

มีเสียงตะโกน มา ไม่ต้องกลัว มันไม่กัด มันแค่เห่า  แต่ขอโทษผมเสียว ผมมาเห่าอยู่ข้างขา ผมเนี้ยนะ จนแล้วจนรอด ก็ผ่านพวกมันมาได้

เมื่อมาถึงโรงแรม เช็คอินที่พักเรียบร้อย ชำระล้างร่างกายเรียบร้อย ก็มานั่งเศร้าต่อ กับช่อง truesport 4 เมื่อ ชาราโปว่า ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับ เซเรน่า เฉกเช่นเดิม

ตี 3.50 คือเวลาตื่น มุ่งหน้าสู่สถานที่ปล่อยตัว เพื่อไปซึมซับบรรยากาศการปล่อยตัวมาราธอน จากนั้นก็ไหล ยาว เดินไปดู โน่นนี่นั่น เรื่อยเปื่อยในงาน จนกระทั่ง ถึงเวลาปล่อยตัว ของตัวเอง ที่เวลา 6.30

        


แต่เดิม การวิ่งในวันนี้ ตั้งใจ จะถือกล้อง วิ่งไปถ่ายรูปไป เรื่อย ๆ เพื่อดูบรรยากาศข้างทาง แต่การตัดสินใจก็เปลี่ยนไป เมื่องานนี้ พี่น้อย ให้เกียรติมาประลองวิทยายุทธ เป็นงานแรก ก็เลยกะวิ่งตามพี่น้อย ที่ตั้งใจจะวิ่งไม่ให้เกิน 52 นาที  คือเป้าหมายที่ออกสื่อ (แต่เป้าหมายในใจ อันนี้ไม่รู้ต้องไปถามคุณพี่เค้าเอง)  

จึงตั้งนาฬิกา ไว้ที่เวลาเฉลี่ย 5.15 ไว้ เพื่อประคองเพช ถ้าเจอพี่น้อย แสดงว่าพี่น้อยสอบตก แต่ถ้าไม่เจอ แสดงว่าพี่น้อยทำได้ตามที่ตั้งใจไว้

แก้วใบไม้ซิลิโคน ได้ถูกนำมาใช้ในงานนี้ ได้ทำความสะอาดเตรียมไว้ตั้งแต่คืนวันเสาร์เรียบร้อย สิ้นเสียงแตรวูด ดัง บรรดาเหล่าขาโจ๋ ก็วิ่งผ่านจุดเช็คชิพ (มันเท่ห์มากเลย วิ่งมินิ มีชิพด้วย) เส้นทางหลังออกจากโซนปล่อยตัว ก็ต้องวิ่งเทรล ผ่านเส้นทางหญ้าสลับดิน ระยะทางสั้นๆ ประมาณ 500 เมตร จึงเข้าสู่ถนน ที่ใช้เป็นเส้นทางวิ่ง

จุดให้น้ำจุดแรก อยู่ที่  กม กว่า ๆ จุดนี้ เป็นจุดที่แจกน้ำเป็นขวด ซึ่งขอบอกว่าชอบมากที่จุดให้น้ำไม่ประจำทางจุดนี้แจกน้ำเป็นขวด เพราะน้ำขวดนี้แหละ เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้นักวิ่งอย่างข้าพเจ้า ไม่กลัวเรื่องน้ำหมด เพราะสามารถถือไปได้ตลอดเส้นทาง น้ำในขวดสามารถทำให้ข้าพเจ้าสามารถบริหารจัดการ น้ำได้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี โดยไม่ต้องใช้งบประมาณ เป็นแสนล้าน 

เส้นทางวิ่งมินิมาราธอน ปิดถนนได้ยอดเยี่ยม ไม่ต้องกลัวเรื่องรถ ข้าพเจ้าเลยอาศัยเส้นแบ่งถนนตรงกลางเป็นเส้นทางวิ่งตลอดเส้นทาง  วิ่งไปสังเกตุ ผู้คนรอบข้างไป มีหลากหลายอารมณ์ตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าที่ยิ้มแย้ม สนุกสนาม  หรือเป็นสีหน้าที่มุ่งมั่น กับการวิ่ง  และรอบข้างถนน มีชาวบ้านออกมายืนดู ถึงแม้จะไม่ได้มีมากมายเหมือนกับที่จอมบึง หรือ ที่ออกมายืนดู เพราะอยากรู้ว่า พวกนี้มาวิ่งอะไรกัน แต่สำหรับนักวิ่งถนน อย่างข้าพเจ้า ถึงแม้จะไม่ได้เป็นแนวหน้าล่ารางวัล แต่กับการที่เห็นผู้คนมายืนดูกัน ทำให้มีแรงใจ แรงกำลัง ในการวิ่งให้ผ่านจุดแล้วจุดเล่าไป (เล่าอย่างกับตัวเอง ลงวิ่งมาราธอน พิโธ่)

เท่าที่สังเกต สิ่งที่น่าชื่มชม ของงานนี้ ในการแจ้งระยทางในระยะมินิมาราธอน ที่ป้าย หรือที่พื้นถนน ที่ข้าพเจ้า พบด้วยตัวเอง คือเส้นทางที่แม่นยำมาก ทำให้เราสามารถประเมินกำลังของตัวเองได้แม่นยำขึ้น

แก้วใบไม้ที่ได้รับ ก็มีประโยชน์มาก นอกจากจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรแล้ว รูปแบบที่ออกแบบมาทำให้การดื่มน้ำไม่มีอุปสรรค สะดวกต่อการวิ่งที่ไม่ได้หวังผลด้านเวลา

เส้นทางวิ่งที่มีทั้งขึ้นเนิน ลงเนินตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการเมื้อยล้า ทั้งระหว่างวิ่ง และคิดว่าหลังการวิ่งก็คงจะเกิดอาการ เป็นเส้นทางวิ่งที่สร้างการพัฒนาให้กับมัดกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น 

ว่าแต่วิ่งผ่านมาเกือบ 9 โลแล้ว ก็ยังไม่พบคุณพี่น้อยของผม ทั้งที่ ผมประคอง จังหวะ 5.20-5.25 มาตลอดเส้นทาง แสดงว่าพี่น้อย วิ่งในครั้งนี้ ก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะพอใจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่อยู่ในใจ จึงตัดสินใจอัด วิ่งเต็มแรง ครั้งสุดท้าย ให้ได้ pace ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อสร้างความเคยชินในการสปริ้นก่อนเข้าเส้นชัยให้ร่างกายจดจำ

เมื่อเข้าสู่เส้นชัย ด้วยเวลา 55.10  ก็พบพี่น้อย ที่กำลังคูลดาวน์และคลายเส้นอยู่ในบริเวณซุ้มอาหารเรียบร้อยแล้ว

โดยรวมของงาน นั้นน่าพอใจ บรรยากาศดี เส้นทางดี รายล้อมด้วยนักวิ่งที่ดี น้ำถึง ระยะมาตรฐาน  แต่ในสิ่งที่น่าพอใจ ก็คิดว่ายังมีสิ่งที่ควรปรับปรุง นิดนึง  ก็คือ อาหารหลังเส้นชัย  ไม่ค่อยอร่อย 555 (โดยเฉพาะผัดซีอิ้วแห้งมาก) แต่โดยรวมการมี ส้ม กล้วย และแตงโม สำหรับข้าพเจ้าพอใจแล้ว (เหนื่อยมากกินไม่ลงเท่าไหร่หรอก)

นอกจากนี้ คิดว่า น่าจะมีเต้นท์ ให้หลบแดดมากกว่านี้ และที่น่าเสียดายก็คือบรรยากาศหน้าเส้นชัย ในส่วนของกองเชียร์ มีน้อยไปนิด  แต่ทำไงได้ คนจะมายืนเชียร์ ต้องมาด้วยใจ เกณฑ์คนมา ก็รู้สึกไม่เหมือนกันหรอก

ปล. 10 Miles อาทิตย์หน้า ขอเอาคืนนะพี่น้อย