สำหรับงานซูเปอร์สปอร์ต 10 Miles ชื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์ในงาน ภายใต้คอนเซปต์ 10 ไมล์ ครั้งแรกในไทย เดิมที่ จะจัดขึ้นที่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในอดีต อย่างที่บางคนยังเรียกชื่อนี้อยู่ ใน วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 แต่เนื่องจากการประเมินถึงความปลอดภัยจากทางผู้จัด จึงเลื่อนมาจัดในวันที่ 16 มิถุนายน 2556 และเปลี่ยนสถานที่จากที่เดิม มาที่สวนลุมพินี ให้รู้แล้วรู้รอดว่ายังไงก็ต้องจัด
ซึ่งทำให้เส้นทางในการวิ่งที่ถูกกำหนดเริ่มต้นไว้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางจากเส้นทางเดิมเป็นเส้นทางใหม่ และเมื่อข้าพเจ้าไปสมัครและได้รับเสื้อพร้อมได้รับแผนที่เส้นทางใหม่มา ก็เก็บไว้ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่ง โดยเมื่อวันที่ไปรับชิพ เมื่อนำแผนที่ที่มีอยู่ ไปเทียบกับเส้นทางวิ่ง ที่ปิดบอร์ดประกาศไว้ ณ จุดรับชิพ คนละเส้นทาง???? (เป็นการเปลี่ยนทางวิ่งครั้งที่ 3) ซึ่งถือเป็นบทเรียนที่นักวิ่งทุกคน ควรพึงสังวรไว้ ว่า การศึกษาเส้นทางวิ่งควรศึกษาอย่างถ่องแท้ และควรเช็คให้แน่ใจ เพื่อเป็นการรักษาสิทธิที่ตนเองควรได้รับ และไม่ควรมาตีโพยตีพายทีหลัง เมื่อเกิดการวิ่งผิดเส้นทาง
กำหนดการปล่อยตัว ของระยะ 10 ไมล์ กำหนดไว้ที่ ตี 5 ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่ผู้จัดคาดว่าจะสร้างความกระทบกระเทือนให้กับผู้ใช้รถใช้ถนน ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเมื่อทีมข้าพเจ้าเดินทางมาถึงสวนลุมเวลาตี 4.30 ไม่น่าเชื่อว่าที่จอดรถแทบจะเต็มสวนลุมแล้ว นี่คงเกิดจาก จำนวนนักวิ่งทุกระยะที่มาร่วมงานกว่า 5000 คน ในครั้งนี้ ข้าพเ้จ้ายังนึกไม่ออกเลยว่า นักวิ่งที่วิ่งระยะอื่น ถ้ายังไม่มาก่อนตี 5 จะหาที่จอดรถได้ที่ไหน
5.00 เป็นเวลาที่ปล่อยตัวจากบริเวณหน้าห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี ใน ขณะที่กลุ่มของข้าพเจ้า 3 หน่อ ยังเดินแรดอยู่แถว หลังลานพระบรมรูป ร.6 ซึ่งไม่ได้ยินสัญญาณปล่อยตัว ก็ไม่ได้คิดอะไรเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นนักวิ่ง วิ่งออกไปเกือบหมดแล้ว จึงจะเริ่มวิ่งตามออกไปจาก บริเวณ ซุ้ม ลู่วิ่งจอห์นสัน ปรากฏว่ามีนักวิ่งสาว เดินมาถามว่า "พี่ค่ะ อันนี้ไว้ทำอะไร"
ชิพหาย!!! น้องครับ อันนี้เค้าเรียกว่าชิพ ติดไว้ที่รองเท้าครับ จากนั้นก็ยืนดูน้องคนนั้นจนกระทั่งติดเรียบร้อย ข้าพเจ้าถึงได้ฤกษ์วิ่งออกจากจุดสตาร์ท ซึ่ง บอย กับ เป้ ก็ออกตัวล่วงหน้าไปนิดนึง ใช้เวลาเลทกว่า 2 นาที กว่าจะปล่อยตัวออกจากจุดเช็คชิพจุดแรก แต่ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นที่ตรงนั้น
ปัญหาคือ วันนี้ตั้งใจจะวิ่ง 10 Miles ที่เวลาไม่เกิน 1:25:00 นั้น การที่ออกสตาร์ทตามหลัง นักวิ่งกว่า 1200 คน ที่ออกตัวไปล่วงหน้านั้น ทำให้จังหวะวิ่งไม่ไหลลื่น เพราะติดขัด สะดุด จากการชะลอตัวของนัิกวิ่งที่ไม่สามารถออกตัวแรงๆ ได้เพราะติดกลุ่มนักวิ่งด้านหน้าเหมือนกัน
นอกจากนี้ เส้นทางในส่วนลุม ที่ใช้วิ่งจากจุดสตาร์ท ออกมาด้านประตู โรงเรียนสวนลุมพินี นั้น ค่อนข้างมืด ไม่รู้ว่ามันมืดจริง หรือข้าพเจ้าเมาขี้ตาก็ไม่รู้ วันหลังต้องกลับไปพิสูจน์เส้นทางนี้อีกทีแน่ๆ
งานนี้เลยต้องสอดส่องมองหาเพื่อนที่ออกตัวล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งเพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้ มีคุณสมบัติ ทะลุทะลวง หาเส้นทาง แหวกทางวิ่งได้เก่ง ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าเห็น จึงอาศัย การแหวกเส้นทางของ บอย ไปอย่างห่างๆ จนกระทั่ง พ้นประตูสวนลุมพินี ซึ่งเส้นทางวิ่งต้อง วิ่งตัดข้ามถนน เพื่อมุ่งสู่ถนนพระราม 4
จึงสามารถวิ่งขึ้นไปตี คู่ กับบอย โดยมี เป้ อยู่ด้านหน้า ซึ่งถึงจุดนี้ ก็ยังต้องวิ่งๆ เบรคๆ ชะลอ ๆ เป็นระยะ เพราะ กลุ่มนักวิ่ง ยังมีค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นกลุ่มแนวหลัง ส่วนใหญ่มักวิ่งกันเป็นหน้ากระดาน!!!! ทำให้ยากต่อการแทรกแซง เพราะหากแทรกไม่ดูตาม้าตาหรือ อาจเจอตาตุ่มโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งหลังจากที่พยายาม ย่างก้าว ฝ่าดงตรีน ดงแล้วดงเล่า มาถึงระยะ ที่ กม.ที่ 2 จากนาฺฬิกาข้อมือตัวเอง สามารถชดเชย ความสูญเสียทางด้านเวลาใน กม แรก ลงไปได้ ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับครุ่นคิด ในขณะที่กำลังสับขาก้าวออกไปอย่างมีสมาธิ ว่า หากยังปล่อยให้จังหวะการวิ่งแบบนี้ เป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ เวลาที่ปรารถนาจะครอบครองมันในครั้งนี้ คงหาที่จะทำได้ไม่ อันเนื่องมากจากการสะดุดเป็นระยะ เหมือน มอเตอร์ไซด์ ที่ต้องสำลัก เมื่อเติมน้ำมันผิดประเภท
ข้าพเจ้าจึงต้องงัด ตำราพิชัยสงคราม ฉบับ ปราบปรามตัวเอง ขึ้นมาใช้ ดำเนินการเปลี่ยนจังหวะวิ่งหลังพ้น กม ที่ 2 เป็น คอร์ท 2K เพื่อเป้าหมายสลัดฝูงชน ให้จงได้ เมื่อพ้น กม ที่ 4
เมื่อพูดถึงเรื่องระยะทาง งานนี้เป็นงานวิ่งที่แสดงระยะทาง เป็น ไมล์ ให้สอดคล้องกับระยะทางของงาน ซึ่ง ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกัน กับจังหวะการวิ่ง ระยะทางที่แสดงในนาฬิกา และป้ายระยทางที่แสดง มันขัดๆ กัน แต่ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ในวงการวิ่ง ไม่รู้ว่ามีใครรู้หรือไม่ ว่า 1 ไมล์ นั้นเมื่อเทียบระยะกับ กิโลเมตร นั้น มีอัตราส่วนเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากในปัจจุบัน ถ้าคุณถาม อากู๋ ก็ได้คำตอบ คือ
1 ไมล์ = 1.609344 กิโลเมตร
หมายความว่า ถ้างาน 10 Miles นี้ ในวันนี้ บรรดาสิงห์นักวิ่ง จะได้วิ่งระยะ ที่ 16.0934 กม. มาลุ้นกันว่าจะทำได้หรือไม่ กับ event นี้
เมื่อผ่านจุดให้น้ำจุดแรก ก็ได้ พบจุดให้น้ำ 3 โต๊ะ ซึ่งข้าพเจ้ามาในกลุ่มหลัง ก็ยังพบแก้วน้ำวางอยู่ อย่างพอเพียง ทำให้คิดว่า เรื่องน้ำวันนี้ น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะผู้จัดเตรียมตัวมาดี มีการจำกัดจำนวนนักวิ่ง
เมื่อพูดถึงจุดให้น้ำ ไม่รู้ว่า นักวิ่งท่านอื่น มีทัศนคติ กับการแจกน้ำ ณ จุด ให้น้ำอย่างไร ในมุมมองของข้าพเจ้าเองและที่ได้รับคำบอกเล่าต่อๆ กันมา นักวิ่งที่ต้องการทำเวลา มักจะประสบปัญหากับการที่จุดให้น้ำ มีผู้ให้บริการที่หวังดี มายืนตรงหน้าโต๊ะและยื่นแก้วให้ ซึ่งทำให้บางครั้งเมื่อจังหวะความเร็วที่ส่งมากับการที่ต้องวิ่งแข่งกันมาตลอดทาง ทำให้ต้องพลาดการรับน้ำไปเลยทีเดียว ซึ่งการพลาดการรับน้ำนั้น ย่อมส่งผลถึงสภาพร่างกาย ที่ต้องแบกรับภาระ ไปอีกถึง 2-2.5 กม กว่าจะได้รับน้ำใหม่อีกครั้ง
ซึ่งอาจเป็นความปรารถนาดี ของผู้ให้น้ำ ที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้กับนักวิ่ง แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ผู้จัดควรมีมาตรการหรือมาตรฐาน ในการให้ความรู้ต่อ น้องๆ พี่ๆ ที่มาให้บริการที่จุดให้น้ำด้วย เพราะแค่เสี้ยววินาที ที่เสียตรงนี้ อาจจะทำให้เกิดการผิดพลาด ในก้าวต่อๆ ไปก็ได้ ซึ่งถ้าอยากจะยื่นแก้วให้ จริงๆ เพราะรู้สึกมีส่วนร่วมในกิจกรรม ก็ควรไป อยู่ในจุดท้ายของโต๊ะ จะดีกว่า
กม ที่ 2 กว่าๆ ณ เวทีมวยลุมพินี ข้าพเจ้าวิ่งตามมาทัน เป้ และขึ้นไปนำ แบบดึงๆ ล่อๆ หวังให้ น้อง วิ่งตามขึ้นมา เพื่อสลับกันนำ สลับกันตาม เพื่อรักษาจังหวะในการวิ่งคอร์ทนี้ ก็ทำได้ตามเป้าหมายระยะทางสั้น ๆ แต่ก็ต้องลากเดี่ยว เพราะเป้ เกิดอาการจุก จนข้าพเจ้าต้องสลัด เพื่อทำตามเป้าหมายตนเอง ที่ต้องการสลัดกลุ่มนักวิ่งกลุ่มใหญ่ด้านหลัง
ซึ่งเมื่อวิ่งไปได้สักระยะ พ้น กม ที่ 4 ซึ่งครบคอร์ท 2 กม ที่วางไว้ ซึ่งสามารถทำเวลาเฉลี่ย อยู่ที่ 4:48 ก็ได้เห็นและ ล็อคเป้าหมายใหม่ ที่จะต้องดีดตัวเองตามขึ้นไป เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนน รัชดาภิเษก
น้องแจง ขาโจ้ แห่งรัชมังคลา ที่วิ่งอยู่ด้านหน้า ข้าพเจ้า สปรินท์ ตามขึ้นไปและวิ่งอยู่ห่างๆ ที่ 10 เมตร และผ่อนแรง และรักษาจังหวะวิ่งให้เข้าสู่สภาวะเดิม ก็ได้พบสิ่งปกติที่เกิดขึ้นด้านหน้าคือ แจง จังหวะก้าวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ข้าพเจ้าวิ่งขึ้นมาทาบ โดยไม่ต้องเร่งแต่ประการใด ทำให้ได้ทราบความว่า น้องเกิดอาการเจ็บที่บริเวณเดิม เลยต้องผ่อน และลดระดับการวิ่งลง ด้วยสีหน้าเซ็งๆ และถูกไล่ให้ไปเลย
และทำให้ได้ทราบว่าคุณพี่น้อยวิช อยู่ข้างหน้า ลืมไปเลย โจทก์เก่า จากภูเก็ต ที่แรงเหลือเกินในตอนนี้ ทำให้ข้าพเ้จ้าได้เป้าหมายใหม่ ในวันนี้อีกครั้ง เมื่อพ้นหน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ ด้วยความไม่ได้วิ่งยาวมานานมากกกกก ตั้งแต่ บางขุนเทียน มินิฮาล์ฟมาราธอน ตั้งแต่ต้นปี ทำให้เกิดอาการ กลัวว่าจะน็อคกลางทาง เลยตัดสินใจปรับจังหวะการวิ่งให้เบาลงอยู่ มาอยู่ที่ 5:10 ต่อ กม. และงัดแผนการซ้อม 6K เข้าผนวกกับการวิ่งในจังหวะนี้
แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กลับรู้สึกสบายขึ้น ดีจังหวะนี้ เบากว่า 2K ที่ใส่มาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อพ้นถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสุขุมวิท เท่านั้น อาการอึดอัดเริ่มเกิดขึ้นมา สันนิษฐานน่าจะเกิดจากการวิ่งใต้เส้นทางรถไฟฟ้า ทำให้ อากาศไม่ถ่ายเท เท่าที่ควร ทำให้ความร้อนเริ่มสะสมขึ้น แต่ยังโชคดีที่ว่า สามารถสลัดกลุ่มนักวิ่งกลุ่มใหญ่ออกมาได้
ระหว่างวิ่งดูโน้น นั่นนี่ ก็คิดไปถึงเรื่องเส้นทางวิ่งที่ดูมา ว่าจังหวะสุดท้ายจะเริ่มเร่งที่ กม ไหน ก็เริ่มเข้ามาในสมอง แต่ยังไม่ทันที่จะคิดไปถึงเรื่องอื่นต่อ ณ ซอย นานา ในขณะที่ผู้คนกำลังมองฝรั่งและอนงค์ นวลน้อง สาวน้อย สาวใหญ่ กันอย่างเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าโดน หนุ่ม ไม่ใส่เสื้อ ร่างกายดำคล้ำ วิ่งข้ามถนน เข้ามาชี้หน้าด่านักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า หรือ ข้าพเจ้า คำพูดที่พูดออกมาตอนนั้น ณ ตอนนี้ จำไม่ได้ เพราะหูอื้อ แต่รู้ว่าเข้ามาหาเรื่อง ทำให้ข้าพเจ้าต้องเบาเครื่องลง ก่อนที่จะชะลอหันกลับมามองชายผู้นั้นอีกที แต่ก็เห็นว่าเค้ายังชี้โบ๊ชี้เบ๊ บ่นออกมาอยู่ ทำให้รู้ว่า "ไม่บ้าก็เมา" ข้าพเจ้าจึงออกวิ่งต่อไป
วิ่งสบายๆ อยู่ไม่เท่าไหร่ เมื่อพ้นแยกวิทยุ หน้าธนาคารกรุงเก่า ก็มาบรรจบ กับกลุ่มนักวิ่ง 5 ไมล์ เข้าอย่างจัง อาการวิ่งแล้วสะดุดเกิดขึ้นอีกแล้ว การเรียงหน้ากระดานวิ่ง มีให้เห็นเป็นระยะ ทำให้ข้าพเจ้าที่มีเป้าหมายในการทำเวลา จะต้องวิ่งฉีกเลนขวาออกไป ซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุทางถนนมาก
ในขณะวิ่งออกขวาเพื่อแซง ต้องหันกลับไปมองรถ ทุกระยะ เมื่อแซงเสร็จก็ตบเข้าในเพื่อความปลอดภัย แต่ทำอย่างนั้นไม่ได้นาน เพราะตบเข้าใน ก็เจอฝูงชน วิ่งต่อไม่ได้ จึงตัดสินใจกระชากออกตรงแยกราชประสงค์ วันนี้ขอเรียนตามตรงว่าวิ่งไปเสี่ยงไป กับรถที่วิ่งคู่กันมาตลอดทาง ซึ่งเมื่อสลัดหลุด ก็สามารถกลับมาใช้จังหวะวิ่งตามเดิมได้
วินาที่นั้น ในขณะที่กำลังเริ่งเพื่อข้ามแยกบริเวณโตคิว ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะกักนักวิ่งเพื่อระบายรถที่ติดอยู่ออกไป บริเวณป้อมตำรวจ เห็นมีผู้ใช้ถนน กำลังสอบถามเส้นทางว่าขับผ่านไปได้หรือไม่ บริเวณป้อมตำรวจ เมื่อข้าพเจ้าวิ่งผ่านแยก จึงได้ทราบว่าคนที่ถามอยู่เหมือนเป็นชาวต่างชาติ ที่กำลังงงเส้นทาง ว่าจะขับไปต่อยังไง เพราะเห็นกั้นถนนไว้หนึ่งเล่น รู้สึกสังหรณ์ตะหงิดๆ ข้าพเ้จ้าเลยชิดซ้ายขอบถนน ยังไม่ทันจะเข้าซ้ายสุด กลับได้ยินเสียง "เอี๊ยดดดดดด ฟิ้วส์ๆๆๆๆๆ" และรถคันนั้น ก็ขับราวกับว่าอยู่ในสนามฟอร์มูล่าวัน หรือตัวเองเป็นพระเอกในภาพยนตร์ชื่อดัง fast and furious และก็หายไปจากสายตา (เค้าคงหงุดหงิด ที่โดนปิดถนนนานๆ แน่) นี่ถ้าไปโดนกักอยู่ตรงถนนวิทยุ และขับแบบนี้ ไม่รู้ว่า นักวิ่ง จะโดนกวาดเก็บสแปร์ไปกี่คน แค่คิดก็สยอง
10 กม ผ่านไป รู้สึกโล่งใจมากที่วันนี้ ยังไม่มีอาการบาดเจ็บ ส่งสัญญาณขึ้น เวลาที่ผ่านจุดนี้ อยู่ที่ 52 นาที ถือว่าเวลาดีกว่าวิ่งที่ภูเก็ตเยอะเลย 5555+
จนวิ่งมาทันสาวเสื้อกล้วย ซึ่งเมื่อเข้าไปใกล้จึงรู้ว่าเป็นคุณนก จึงวิ่งประคองไปด้วย ถือโอกาสพักหายใจ ผ่อนกำลังขาไปในตัวด้วย เพราะยังมีภาระกิจ 2K ที่ต้องทำอีก
จากการที่วิ่งเส้นทางนี้ บ่อยๆ ทำให้ทราบว่า บริเวณแยก ถนนพญาไท ไปถึง ห้องสมุดสวนลุม ถ้าวิ่งเข้าประตู โรงเรียน ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 3 กม. ซึ่งเมื่อคำนวณบวกลบ กับเส้นทางที่วิ่งอยู่ตอนนี้ กับนาฬิกาที่บอกระยะทางปัจจุบัน รู้ในทันทีว่า วันนี้ ไม่ถึง 10 ไมล์ ตามคำโฆษณาแน่ๆ
หลังจากวิ่งดึงๆ คู่กับคุณนก มาจนเลี้ยวเข้าสู่ถนนพระราม 4 แรงเริ่มกลับเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม จึงขออนุญาติคุณนก ฉีก เมื่อพ้นถนนพญาไท ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับจังหวะเร่งขึ้น กลับมาที่จังหวะการวิ่งเดิม ซึ่งคราวนี้ อากาศที่ร้อนขึ้น แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่จะเวลา 6.00 แดดแรงมาก และที่สำคัญรถเยอะมาก จะเยอะไปไหนเนี้ย
ทุกจุดให้น้ำ ต้องมีการราดน้ำใส่หัวตัวเอง เพื่อลดความร้อนสะสม พยายามเร่งๆๆๆ แต่ทว่ารู้สึกตัวอีกทีว่าเร่งไม่ขึ้นไปกว่านี้แล้ว แถมยังเวลาเลวร้ายกว่าที่เคยซ้อมอีก เพราะอะไรนะหรือ ที่ทำให้เกิดเครื่องตัน เร่งไม่ขึ้นตามปรารถนา
ประการแรกก็คือ เป็นระยะเวลานานแล้วที่ข้าพเจ้าซ้อมวิ่งอยู่ที่ 5-10 กม ต่อวัน ทำให้ร่างกายไม่เคยชินกับการแบกระยะทางที่เพิ่มขึ้น (อันนี้โทษใครไม่ได้ ซ้อมน้อยเอง)
ประการที่ 2 คือ น้ำที่ราดหัวราดตัว มันเข้ามาอยู่เต็มรองเท้า ทำให้เท้าหนักขึ้น และรู้สึกลื่นเมื่อปลายขาสัมผัสพื้น
ยังงงตัวเองอยู่มากกับตอนหลังนี้ เพราะรู้ว่าแรงยังเหลืออีกเยอะ แต่เร่งไม่ขึ้น ซึ่งจนแล้วจนรอด พยายามขืนเร่งเท่าที่ได้ เมื่อผ่านจุดสตาร์ที่เวลา 1:20 ตามเวลาที่แสดงที่แขวนไว้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถตามหาพี่น้อย ได้ทันอีกงาน ทำให้ข้าพเจ้ารู้ในทันทีว่า ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พี่น้อย คงทุ่มเท ให้กับการซ้อมมากมาย จนทำให้กลับมาวิ่งในครั้งนี้ แข็งแกร่งกว่าเดิม
ขอบคุณคุณพี่น้อย ที่ทำให้ผมมีแรงกระตุ้นที่จะกลับมาซ้อม เพื่อ Jog and Joy Day สิ้นเดือน กรกฏาคม นี้ ครับ
จบศึก ครั้งนี้ แต่ศึกยังไม่จบ ยังมีดร่าม่า ตามมาอีกหลายเรื่อง ทั้งการโอดครวญในการพ่ายแพ่ ความผิดพลาด และเรื่องสปิริตนักกีฬาของบรรดาเหล่านักวิ่ง ความเสียดายในรางวี่รางวัลที่หมายมั่นปั้นมือไว้ และรวมถึง การที่นักวิ่งชาย เอาเบอร์นักวิ่งหญิงมาวิ่ง จนทำให้นักวิ่งหญิงเหล่านั้นต้องพลาดโอกาสที่ควรจะได้รับ
แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางผู้จัดได้ดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เพราะมีหลักฐานจากทางพี่ที่ ฟอร์รันเนอร์ แจ้งไปทางผู้จัด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าชมเชย มากกับการแก้ไขปัญหาอย่างทันถ่วงที
พูดถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันใด ในตอนที่รับเบอร์และชิพ และมีนักวิ่งที่มาสมัครไม่ทัน และสามารถหาเบอร์และชิพมาวิ่งได้จากท่านอื่นที่สละสิทธิ โดยข้าพเจ้าให้คำแนะนำให้ไปแก้ไขทีุ่จุดเช็ค จนต้องถูกป้าหมาที่น่ารัก เอ็ดเอาและสอนให้รู้จักเคารพกติกา ซึ่งมานั่งคิดตอนนี้ ก็คงเป็นประสบการณ์ของผู้จัด และคงเป็นเรื่องที่ผู้จัดคงเล็งเห็นแล้วว่าหากให้แก้ไขแล้วปัญหาจะตามมาเลยไม่อนุญาติให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ขออภัยจริงๆ
ซึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นจริงๆ คราวหน้าเค้าข้าพเจ้าจะไม่ทำแล้ววววครับ จะไ่ม่ยุ่งเรื่องคนอื่นแล้วครับ
และแนะนำต่อเพื่อนนักวิ่งต่อไปว่า ถ้าคุณคิดจะมาแข่งขันเพื่อคว้ารางวัล โปรดรับผิดชอบสมัครล่วงหน้าให้เรียบร้อยก่อนปิดรับสมัครด้วย อย่าคิดมาดูตัวหน้างานแล้วสมัคร ถ้าคิดว่าฝีเท้าแน่จริง ก็ไม่ต้องกลัวใคร และงานวิ่งเดี่ยวนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ผีหลอกเหมือนสมัยก่อน
สำหรับงานนี้ ถ้านักวิ่งอันดับรองๆ ประท้วงกันจริงๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ได้รับรางวัลครานี้ คงฟาวล์กันไปหลายคน เพราะชื่อวิ่ง ไม่ตรงกับ ชื่อจริง ที่รับรางวัล
ปล. ผู้จัดครับ คราวหน้าขอ 10 ไมล์จริงๆ ทีนะครับ ให้ไปวนในสวนสักครึ่งรอบก็ได้ เสียดายจริงๆ