เพราะอะไรจึงทำให้รู้สึกเช่นนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า นอกจากสนามดูดวิญญาณ เส้นคลองสูบน้ำสุวรรณภูมิที่ทำให้ข้าพเจ้าบาดเจ็บ กระทั่งต้องเดิน ครึ่งระยะทางของงานวันนั้น งานดอกบัวคู่เมื่อปี 54 ก็เป็นอีกงานที่ข้าพเจ้าต้องเดิน แถมยังเป็น Twin Walk กับน้องโก น้องที่ซ้อมด้วยกันทุกวันเสาร์เมื่อปี 2 ปีก่อน ไม่แน่ใจว่าจากสภาพถนนที่เป็นคอนกรีตหรือว่า ร่างกายที่อ่อนแอมาก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดอาการนี้ขึ้น
ดังนั้นเมื่อปีก่อนข้าพเจ้าจึงเว้นวรรค งานของที่นี่ไป ปีนี้ก็เช่นกันเดิมทีก็คิดว่าจะเลือกที่นี่เป็นที่สุดท้ายหากไม่มีงานใดน่าสนใจ แต่แล้วเมื่อสวรรค์บรรดาร พี่กิ๊บสมัครงานนี้ให้เพราะพี่เค้าชอบเสื้อของปีนี้ ข้าพเจ้าเลยได้อนิสงค์ เบอร์วิ่ง มาวิ่งฟรี นี่จึงเป็นสาเหตุให้ปีนี้ ต้องมาวิ่งที่ดอกบัวคู่
อคติที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากการจัดการที่ไม่ดีแต่ประการใด แต่เกิดจากจิตวิญญาณในตัวของข้าพเจ้าต่อต้านการมาเยือนสนามนี้อีกครั้ง กระทั่งถึงวันเสาร์ก็ยังอยากจะเปลี่ยนสนามวิ่งเป็นที่อื่นไม่เสื่อมคลาย แต่จนแล้วจนรอดก็ได้มาวิ่งที่นี่อยู่ดี
ข้าพเจ้ามาถึงงานเวลา 4.40 น ซึ่งนักวิ่งได้เข้ามาถึงในบริเวณงานค่อนข้างมาก สายฝนโปรยปรายตลอดเส้นทางที่เดินเข้ามาในสวนหลวง ร.9 จนต้องหาที่กำบังสายฝน มิให้ตัวเปียกปอนไปกว่านี้
เมื่อฝนซาลง จึงไปดำเนินการเปลี่ยนรุ่น ให้ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ให้บริการดีมาก เท่าที่สังเกตวันนี้ ดอกบัวคู่น่าจะขนพนักงานทั้งบริษัท มาช่วยจัดงานแน่ๆ เพราะกลุ่มสต๊าฟเยอะมาก
สำหรับเป้าหมายในการวิ่งวันนี้ ข้าพเจ้าต้องการมาวิ่งจ็อค ที่ pace 6 นาที เท่านั้น เพราะไม่ต้องการให้ร่างกายบอบช้ำติดๆ กันทุกอาทิตย์ เพราะ หลัง Super Sport 10 Miles ข้าพเจ้า ตึงไปหมดทั้งตัว และอีกทั้งเข่าซ้าย จุดเดิมที่เคยเจ็บกลับมามีอาการ ตั้งแต่กลับมาจากการแข่งครั้งก่อน
จากที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะมาวิ่งงานนี้ ทำให้ไม่ได้ศึกษาเส้นทางการวิ่งของวันนี้เลย แต่ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไร ค่อยๆ เกาะข้างหน้าไปเรื่อยๆ แบบนี้ดีกว่า หลังจากจัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็เดินดูในบริเวณงาน เห็นว่า มีแต่นักวิ่งที่วิ่งเร็วๆ ทั้งนั้น อาจจะเป็นเพราะว่างานนี้เป็นงานเดียวที่มีเงินรางวัล และแจกเยอะรางวัลที่สุด
วันนี้ข้าพเจ้าได้เห็นการปล่อยตัวที่น่ารักที่สุดของดอกบัวคู่ ในระยะมินิ เพราะว่า ประธานในพิธี เปิดงาน โดยกล่าวเพียงว่า "ปล่อยตัว" ซึ่ง ณ ขณะนั้น ยังเหลือเวลา อีก 2 นาที!!!!!! จะถึงเวลา 6.00 น.
บรรดานักวิ่งต่างอัดสปีดต้น หลังได้ยินสัญญาณดังกล่าว ในขณะที่ข้าพเจ้า วิ่งไปเรื่อยๆ ไม่แซงใคร และพยายาม หลบน้ำทุกแอ่งที่เจอะตลอดเส้นทาง เพราะไม่อยากให้รองเท้าเปียก ในขณะที่ฝนไม่ตกแล้ว
พูดถึงรองเท้าเปียก ไม่น่าเชื่อว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์ ฝนจะตกทุกเวลา 5.00 แทบทุกวัน รองเท้าที่ซ้อมเปียกทุกคู่ ซ้อมเสร็จหรือตากบ้าง ทำให้ส่งกลิ่นอับบ้าง ซึ่งสุดท้ายก็ต้องนำมาซักเพื่อบรรเทากลิ่นให้เบาบางลง จึงเป็นเหตูให้วันนี้ไม่อยากให้รองเท้าเปียกอีก
ในขณะวิ่ง ข้าพเจ้าพยายามรักษาสมาธิในการวิ่งไม่ให้โดนแอ่งน้ำ วิ่งไม่ให้เร็ว ทั้งที่ใจอยากจะใส่ให้หมดแม็กซ์ ทำให้ 2 กม แรก ใช้เวลาเฉลี่ยที่ถือว่ามากพอดูที่ 7 นาที ต่อ กิโล ซึ่งใน 2 กม. แรก นี้ ก็ได้วิ่งมากับ คุณลิบ กับน้องอีกคนหนึ่งของกลุ่ม เครซีรันนิ่ง ซึ่งวิ่งไปสักพัก ข้าพเจ้าก็โดนแซงไป
ไม่สนใจ ไม่สนใจ ใครจะเร็วก็ปล่อยไป เดี่ยวผ่านไปสัก 3 โลเราค่อยเร่ง เพราะว่าวันนี้ ตัดสินใจไม่วิ่งวอร์มก่อน ไม่ดริลล์ ไม่สไตรด์ อะไรทั้งนั้น เพราะไม่ต้องการกระตุ้นร่างกาย เลยใช้ 3 กม แรก เป็นระยะทางของการวอร์มไปในตัว
หลังจากรับน้ำจุดแรกเรียบร้อย จึงปรับเพิ่มสปีดขึ้นเล็กน้อย เพราะร่างกายรู้สึกร้อนขึ้นแล้ว หลังจากนั้นจึงเป็นเส้นทางวิ่งเข้าไปในบึงหนองบอน ที่เมื่อ 2 ปีก่อนข้าพเจ้าเดินตลอดเส้นทางในนั้น
ในช่วงแรกก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะกลุ่มที่วิ่งเข้าไปส่วนใหญ่จะเป็นนักวิ่งกลุ่มมินิมาราธอน แต่หลังจากวิ่งไปได้สักพัก กลุ่มแนวแน้าจากระยะฮาล์ฟ เริ่มวิ่งเข้ามาทับเส้นทางเดียวกัน ซึ่งเริ่มทำให้รู้สึกเส้นทางมันเล็กและอึดอัดเกินไป แนวหน้าที่วิ่งมาก็ต้องใช้สปีด และคอยระวังไม่ให้ชน กับกลุ่มที่กำลังวิ่งไป และ กลุ่มแนวหน้ามินิ ที่กำลังวิ่งสวนกลับ โดยในตอนกลางของบึง เป็นช่วงลงเนิน กลับมีก้อนดินก้อนใหญ่ และกิ่งไม้มาขวางเส้นทางวิ่ง ข้าพเจ้านึกในใจเดี่๋ยวต้องมีคนล้มแน่ๆ เพราะดินเหนียว กับน้ำ มันลื่นมาก
และก็เป็นจริงดังคาด เพื่อนข้าพเจ้าล้มตรงจุดนั้นจริงๆ หลังจากวิ่งเสร็จมาคุยกันจึงได้รู้เรื่องดังกล่าว
ทำให้วินาทีนั้นข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจกระทำอะไรบางอย่างลงไป ซึ่งขัดต่อเจตนารมย์ในวันนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ วินาทีนั้น หลังจากกลัวตัวที่ กม ที่ 4.95 ข้าพเจ้าเห็นแนวหน้ารุ่น 50 ที่วิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอน กำลังแหวกฝูงชน ที่ทั่งวิ่งไปในทางเดียวกันและที่กำลังสวนมาบนถนนลาดยางหน้ากว้างไม่เกิน 3 เมตร ทำให้ข้าพเจ้า ที่มีความรู้สึกอึดอัดจากการวิ่งที่กระจุกเบียดเสียด และต้องโดนปาดไปปาดมาตลอด อดรนทนไม่ไหว จึงกระชาก ตามแนวหน้าคนนั้นไป รู้สึกฟินมากๆ อาจจะเป็นเพราะการวอร์มตลอดเส้นทางที่ผ่านมาทำให้กล้ามเนื้อพร้อมใช้งานหนัก ปรับจังหวะมาอยู่ที่ กม. ละ 4 นาที กว่าๆ ซึ่งเป็นจังหวะที่ข้าพเจ้าเคยทำได้ เมื่อตอนที่ซ้อมหนักๆ แต่ กับสภาพตอนนี้ ที่ซ้อมน้อย ซ้อมสั้น และซ้อมช้า มากระชากจังหวะระดับนี้ ทำให้ถึงกับต้องเป่าปาก หายใจแรงไปตลอด ในขณะที่ด้านหน้า คู่หูที่ข้าพเจ้าแอบดร๊าฟ กับวิ่งด้วยท่วงท่าที่สบายๆ ไม่มีเสียงลมหายใจให้ได้ยิน ซึ่งในขณะวิ่ง สภาพตอนนั้น ก็ได้แต่ภาวนาว่าเมื่อไหร่จะพ้นออกจากบึงซะที เพราะ อาการของเก่าจะออกเริ่มขย่อนมาทีละน้อย จนทำให้ต้องผ่อน และเห็นแสงสว่างในชีวิต เมื่อ ผ่านพ้นประตู ของ บึงหนองบอน
ข้าพเจ้ารีบผ่อนลงทันที โดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกา GPS เตือน เหมือนเมื่อตอนซ้อมลงคอร์ทต่างๆ ซ้อมน้อย มาวิ่งแบบนี้ ทีหลังอาจมีเป็นลมก็เป็นได้ หลังจากออกจากบึงเป็นที่เรียบร้อย อาการอึดอัดต่างๆ ก็หายไป เพราะ ออกมาถนน คนน้อย หายใจสะดวกขึ้นมาก แต่ออกมาได้พักเดียว ก็ต้องวกกลับเข้าไปในสวนหลวง อีกครั้ง ตรงประตูทางเข้าของบริษัทพัฒนกล มหาชน จำกัด
เมื่อเข้าไปในสวน ก็เริ่มอ่อยอิ่ง วิ่งไป ดูข้างทาง ดูนักวิ่งสาวๆ ไป เมื่อมาถึงทางแยก ที่เป็นบริเวณที่จอดรถ เริ่มเห็นนักวิ่งระยะฮาล์ฟ ที่ต้องเลี้ยวซ้ายเข้าไปเก็บระยะทางในบริเวณนั้นอีก (นี่เป็นอีกเหตุผลที่ไม่อยากวิ่งฮาล์ฟ) ส่วนตัวข้าพเจ้า ก็เริ่มวิ่งลั่นล้าไปตลอดเส้นทาง เพราะไม่รู้จะเร่งไปเพื่ออะไร จนเข้าจุดฟินิช และปณิธานกับตัวเองในครั้งนี้ว่า "ถ้าครั้งหน้ายังวิ่งเส้นนี้อยู่ ก็ขอโบกมือลากันที" กลายเป็นไม่ว่าจะมินิ หรือ ฮาล์ฟ หากไม่ปรับปรุงเส้นทางก็บ๊ายบาย
แต่จริงๆ งานเค้ามีวัตถุประสงค์ดี สนับสนุนเด็กและเยาวชนนะครับ ควรส่งเสริม แต่เสียที่เส้นทางนี่แหละ
เครดิต รูปจาก ตุ้ม www.shutterrunning.com |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น