วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

Race 125 Mizuno International Half Marathon 2013

พูดถึงงานวิ่งที่โด่งดัง ในเดือนกันยายน ของทุกปี คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงงานมิซูโน่ ริเวอร์แคว ฮาล์ฟมาราธอน ที่ผ่านร้อนผ่านฝนมาถึง 31 ฝนแล้ว
ข้าพเจ้าเคยได้เข้าร่วมวิ่งครั้งประวัติศาสตร์ ครบรอบ 30 ปี เมื่อปี 2011 ซึ่งถือเป็นงานวิ่งที่ปูพื้นฐานการวิ่งยาวสำหรับการลงมาราธอนของข้าพเจ้าเลยทีเดียว

เค้าพูดกันว่าว่า หากมาวิ่งที่นี่แล้ว ถ้าไ่ม่โดนหรือสัมผัสหยาดฝน ถือว่าคุณมาไม่ถึง เค้าที่พูดถึงนี่คือตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะอะไร ข้าพเจ้าถึงได้ใช้บริบทเช่นนี้ออกมา เพราะ 2 ครั้งที่ผ่านมาข้าพเจ้าเมื่อวิ่งเสร็จ ไม่ต่างอะไรกับน้องหมาที่เล่นน้ำ ตัวเปียก มะรอกมะแรก ทุกครั้ง แต่ถามว่าเข็ดหรือไม่ ตอบได้เลยว่ามันส์พะยะค่ะ  ไอ้นี่ตอบไม่ตรงคำถามกับที่ถามอีกแล้ว  ข้าพเจ้ามองว่าคำตอบที่ออกมานั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนในการที่จะเลือกตอบ ซึ่งในคำถามเดียวกันนี้ หากไปถามคนอื่น คนอื่นอาจตอบว่าไม่เข็ด หรืออีกหลายคนอาจจะเลือกตอบว่า วิ่งแล้วฟินน์ วิ่งฝ่าสายหมอก ต่างๆนาๆ สำหรับคำตอบ

คำตอบเหล่านี้ท่านจะต้องไปค้นหามันเอง ใครบอก เค้าบอก ไม่สู้เท่าที่สัมผัสเองหรอกครับ

มาในครั้งที่ 32 นี้ เป็นการสมัครล่วงหน้าที่เกิดขึ้น ที่นานๆ จะเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้า จากกระแส Running Boom ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในสังคมนักวิ่งที่มีนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งออฟฟิศ เข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการกลัวว่าจะตกรถ จึงสมัครล่วงหน้าเอาไว้ แต่แล้ว หลังจากงาน บางกอกโพสต์ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับอาการบาดเจ็บ จนทำให้ไม่สามารถเดินได้อยู่ 4 วันเต็มๆ  เพิ่งจะเริ่มกลับมาซ้อมได้ไม่กี่วัน ก่อนที่จะมาร่วมงานนี้  ไม่น่าเชื่อว่าการหยุดวิ่งเพียง 2 สัปดาห์ การกลับมาซ้อมใหม่ จะเหนื่อยแสนสาหัส ปกติวิ่งซ้อมที่ pace 5 นาที ต่อ กม. ก็ยังสบายๆ แต่นี้ ใช้เวลา 7 นาที ยังเหนื่อยมากแถมยังวิ่งได้เพียง 5 กม. ก็เริ่มเจ็บบริเวณเอ็นข้อเท้าเดิมที่ไปทำการรักษาอยู่ จึงทำให้ต้องหยุดพัก แบบนี้ตลอดในช่วงเวลาการซ้อม

พูดถึงอาการบาดเจ็บที่ว่านี้ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มักปฏิเสธการนำยาเข้าสู่ร่างกายมาเสมอ แต่พอมาเจออาการแบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทานยาเพื่อรักษาอาการเส้นเอ็นอักเสบ จากคนที่ไม่ค่อยทานยา ทำให้ไม่รู้ว่าผลข้างเึคียงหรืออาการประหลาดที่เกิดขึ้นหลังจากทานยาเกิดขึ้นมาจากผลของตัวยาที่ทานเข้าไป ยาที่ได้รับจากแพทย์มาก็คือ Arcoxia ทานหลังอาหารเช้าทันที

อาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวคือ รู้สึกท้องอืด เหมือนจะมีลมในกระเพาะอาหาร ถ่ายไม่ออก มีแต่ลม อาการนี้ทำให้คนรอบข้างประหลาดใจ เพราะนอนหลับแทบไม่ได้ ต้องเรอ และผายลมตลอดเพื่อไล่ลมในร่างกายออก  ตอนนั้นท้องก็บวมๆ  จนกระทั่งมานึกย้อน ทำให้พอจะเดาได้ว่า น่าจะเกิดจากยา พอนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเพื่อน ก็เป็นเช่นนั้นแล  อาการนี้เหมือนอาการกรดไหลย้อน จะมีลมในกระเพาะอาหารเกิดจากตัวยาที่ไปกัดกระเพาะ ที่คนเป็นโรคกระเพาะเป็นกัน

ซึ่งหลังจากทน ทรมานอยู่ 5-6 วัน กับอาการดังกล่าว  จุดสิ้นสุดที่จะต้องสะบั้นความสัมพันธ์ลง ก็เกิดจากอาการเท้าที่ไม่บวมแล้ว (เกิดจากการประคบร้อนเย็น ตลอด)และความทนทรมานกับการนอนหลับไม่ได้ในช่วงที่ผ่านมา จึงทำให้ตัดสินใจหยุดยา  อาการดังกล่าวจึงบรรเทาใน 3 วันต่อมา ซึ่งจากที่เกริ่นนำมาทั้งหมดนี้ แค่อยากจะบอกว่า ฮาล์ฟนี้ ขอแค่จบแบบไม่เจ็บก็บรรลุเป้าหมายแล้ว ซึ่งมานั่งเช็คการวิ่งในปีนี้ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าฮาล์ฟนี้ จะเป็นเพียงฮาล์ฟที่ 2 ในรอบปี ซึ่งถือว่าน้อยผิดปกติมาก

ซึ่งทั้งหมดก็เป็นที่มาของคำว่าจะรอดหรือไม่ กับชาเล้นท์ ระยะครึ่งมาราธอน ในครั้งนี้

สำหรับการเดินทางมาวิ่งต่างจังหวัด ที่กลุ่มคณะมักจะลืมไม่ได้ คือ การเที่ยว เรียกว่าหาได้ว่าไม่มีอาการกังวลกับการที่จะต้องใช้แรงงานในไม่อีกกี่ชั่วโมงข้างหน้า  ซึ่งในครั้งนี้มีสถานที่คาดหมายไว้ คือ พระราชวังพระตำหนักทับแก้ว ซึ่งหลายท่านคงจะงงหากติดตามบล็อคข้าพเจ้ามาแต่แรก ว่าทำไม ถึงไม่ไปเที่ยวที่นี่เมื่อครั้ง มาวิ่งที่ ม.ศิลปากรทับแก้ว  ซึ่งจริงๆแล้วในครั้งนั้นข้าพเจ้าติดอบรมจนทำให้มาถึงที่งานมืด ทำให้พลาดโอกาสในครั้งนั้นไป

สถานที่ในพระราชวัง มีทั้งของใหม่ ของเก่าที่บูรณะใหม่ปะปนกันไป  เราสามารถเยี่ยมชมภายในพระราชวังทั้งหมดได้ แต่ต้องงดการถ่ายรูป อันเนื่องมาจาก สิ่งของทั้งหมดปัจจุบันเป็นสมบัติของสำนักพระราชวังไปแล้ว หากเปิดให้ถ่ายรูป อาจจะมีการปลอมแปลงของที่มีอันเดียวออกมา

ภายในนั้นเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด อย่าหวังว่าท่านจะเล็ดลอดถ่ายรูปได้ ไม่มีทาง

นอกจากในพระราชวังแล้ว เรายังได้ไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลสยาม ได้ฟังเจ้าหน้าที่แนะนำตลอดการพาชมห้องและสิ่งของต่างๆ แล้วขนลุก ที่ทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนกันไปทั่วเพราะการเล่นพรรคเล่นพวกและการเมืองไปหมด

...............................................

วินาที ที่โฆษกนับถอยหลัง 4-3-2.....1   แป้นๆ ปู้นๆๆ แล้วแต่ใครจะได้ยินเสียงอย่างไรตามจินตนาการ เหล่านักวิ่งที่ต้องการทำเวลาต่างทยานออกไปข้างหน้าอย่างกับม้าศึกที่จะรู้ตัวว่าจะออกสู้ศึกกับศัตรู เมื่อ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่เริ่มสว่าง กับเวลาปล่อยตัว 6.00 พร้อมกันทั้งสองระยะ รวมกับอากาศที่เย็นจากสายฝนยามค่ำคืน ยิ่งเมื่อรวมกับโอโซนที่ถูกปล่อยออกมาจากธรรมชาติ ทำให้เส้นทางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข  ........ กับเส้นทางนี้ 5 กม.แรก เป็นเส้นทางสลับขึ้นเขา โดยเน้นการขึ้นเป็นส่วนใหญ่ นักวิ่งที่ไม่สมบูรณ์อย่างข้าพเจ้าจึงได้แต่ต้องเก็บอาการและเจียมในสังขารตลอดการวิ่ง 5 กม.แรก เป็นไปตามสเตป เพิ่มจังหวะขึ้นทีละน้อย เริ่มไล่แซงเพื่อนๆ นักวิ่งทีละคน ซึ่งส่วนใหญ่รู้จัก จนกระทั่งเมื่อครบ 5 กม.ตามแผน จากนั้นจังหวะลงเขาจึงเริ่มปล่อยไหลเพื่อประหยัดพลังงาน เมื่อจังหวะกดลงเขา เมื่อรู้สึกเหนื่อยหอบ จึงผ่อนแรง เพื่อเป็นการรักษาแรงให้เหลือให้มากที่สุด ผ่านไป 9 กม. จากที่คิดว่าวิ่งสบายๆ เพราะเข้าใจว่า บอยและเพื่อนสาว วิ่งอยู่ด้านหลัง ก็ต้องสะดุ้่งเอือกใหญ่ เมื่อพบพี่น้องอยู่ด้านหน้า  เห้ย   แซงไปตอนไหนเนี้ย  แล้วโจทย์ผมไม่วิ่งกระฉูดไปแล้วหรือนี่ ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ บรรดานักวิ่งน้องใหม่ปีที่แล้ว แต่เริ่มเก่าปีนี้ สวนมากันหมดแล้ว ไม่ว่าจะคุณนก น้องพลอย  ทำให้พาลคิดไปถึงโจทก์เ่ก่า แจง กินแหลก  ถ้าน้องมางานนี้ มีหวังต้องใช้หนี้กันแน่ๆ

แปลกแต่จริง อาการเจ็บที่เคยกลัว เคยแปล๊บเมื่อซ้อมที่ pace7  กลับไม่แสดงอาการอะไรเลยเมื่อข้าพเจ้าเริ่มปรับจังหวะวิ่งให้ปริ่มขอบที่ pace 5 ถือเป็นนิมิตรหมายอันดี กับ เป้าหมายมาราธอนปลายปีที่จะได้เริ่มซ้อมจริงจังได้เสียที

แมน เป้  พุฒิ พี่โก้  บรรดาคนรู้จักที่ครั้งนี้พักที่เดียวกัน วิ่งสวนกันไปหมดแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้ายังต้วมเตี้ยมอยู่ที่ กม. ที่9  จวบจนเมื่อมาถึงหลักกิโลที่ 10  ซึ่งกว่าจะกลับตัวได้ ผ่านจุดเช็คชิพ ก็ใช้เวลา 1:06 นาที   จากนั้นปรากฏการณ์ตะกวด ก็เริ่มขึ้น เพราะตอนนี้จังหวะการวิ่งของข้าพเจ้าเริ่มเอาแต่ใจ เพราะว่าสั่งยังไงก็ไป วิ่งแล้วลอย วิ่งสนุก ยิ่งไล่แซง ยิ่งเร่งยิ่งกระหาย  ความรู้สึกนี้ถ้าเรียนกันตามตรงห่างหายไปนานแล้ว  แม้แต่งานจ๊อคแอนด์จอย ยังไม่รู้สึกแบบนี้เลย หรืออาจเป็นเพราะรายการนี้ ข้าพเจ้าวิ่งโดยมิได้คาดหวังอะไรกับอันดับที่จะออกมา  ความรู้สึกที่อยากมาวิ่งที่นี่เพราะบรรยากาศ และต้องการซ้อมยาวให้พ้น กม.ที่ 10 ให้ได้เสียที

ซึ่งผลลัพธ์อาจจะไม่จบอย่างที่คาดหวังไว้ก็เป็นไปได้หากข้าพเจ้าฝืนตะบี้ตะบันตั้งแต่ กม.แรก  น้องๆ หลายคนถามว่า พี่ไม่วอร์ม ไม่วิ่งยืด ไม่สไตรด์หรอ ข้าพเจ้าทำได้เพียงแต่ยิ้ม โดยไม่ได้ตอบกลับเป็นคำพูดออกไปแต่ะแสดงออกด้วยสายตาอันน่าเวทนาไปแทน และ พยายามยืนยืดเส้นเล็กๆน้อยๆ  ไม่มากเหมือนเมื่อมีการวอร์มอย่างเต็มที่

เหตุที่ข้าพเจ้าไม่กล้าวอร์มเพราะกลัวว่าวอร์มแล้ว อาการต้านของข้อเท้าที่มักจะมีอาการเมื่อครบ 5 กม. ทุกครั้งเมื่อซ้อมวิ่งตอนเย็นจะกลับมาเยือนอีกก่อนที่ภาระกิจวิ่งขึ้นเนินลูกใหญ่สำเร็จ

คู่เทียบนักวิ่งคนแรกที่ข้าพเจ้าไล่ตะปบ ก็คือพี่โก้ ในจังหวะลงเขา ในขณะที่ข้าพเจ้าเริ่มเร่ง ที่ กม ที่ 12 เป้าหมายแรกคือวิ่งเข้าไปประกบด้านข้างทางขวา และหมายโฉบหนีออกไปให้หมั่นไส้เล็กน้อยตามแผน แต่ทว่า....... พี่โก้รู้ตัวและหันมาบอกว่าเจ็บ แล้วพี่เค้าก็หยุดเดิน  ...... เฮ้ยย...ผิดแผน กะว่าจะให้จังหวะลากกันไปต่ออีกหน่อย Fail ซะแล้ว จึงได้แต่หันไปบอก เจ็บก็หยุดเดินแหละพี่อย่าฝืน..... จากนั้นก็เิริ่มปรับจังหวะการวิ่งลงมาที่ จังหวะที่หายใจสบาย ๆ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บว่ายังมีอยู่หรือไม่ ซึ่งผลคือไม่รู้สึกอะไร ซึ่งอาจจะเกิดจากการพันผ้าไว้ก็เป็นได้

เมื่อวิ่งขึ้นเนิน ก็ปรับจังหวะก้าวให้สั้นลง เพื่อใช้แรงให้น้อยที่สุด และเมื่อเส้นทางลงเนิน ก็ปล่อยไหล ลงไปที่ pace 4.30 เลยทีเดียว มาถึงตอนนี้ ก็ไล่แซงคุณพุฒิ และแมน ไปได้  ที่ กม ที่ 16

และเนินสุดท้ายของ กม ที่ 16 ก็เป็นเนินลงที่ฉีกเป้ เซ็นทรัลลงไปได้ จังหวะนี้อะไรก็หยุดไม่อยู่แล้ว 4 กม ที่เหลืออยู่ กับพลังกาย คิดว่าสามารถลงคอร์ต 4K ได้ จึงจัดไป ด้วย 4.30 ในช่วงแรก

เมื่อถึง กม ที่ 17 ซึ่งเป็นจุดที่พี่รุจน์ ยืนถ่ายรูปอยู่ ก็พบโจทย์ตลอดการ คทาชาย นายบอย ซึ่งตอนนั้น อาการที่แสดงออกมา เมื่อข้าพเจ้ามองจากด้านหลังเห็นว่าหมดแน่ ๆ  วิ่งเป้ไปเป้มา ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่ง เร่ง เร่ง จนกระทั่งแซง และ ฉีกหนีไปด้วย เพช 4 ที่กะไม่ให้มีโอกาสไล่ตาม เรียกว่าเป็นการตัดไม้เพื่อข่มน้ำ เร่งเพื่อให้รู้ว่า อย่าตามมาเพราะข้ายังเหลืออีกเยอะ

ปรากฏว่าไม่ตามมาจริงๆ เซ็งชะมัด   เพราะไม่มีเป้าหมายให้ท้าทายอีกแล้ว จนกระทั่งสายตาเหลือบไปมองที่นาฬิกา คำนวณเวลาอย่างคร่าวๆ เห้ย นี่ ถ้าทำได้ต่ำกว่า 2 ชม. นี่มันยอดมากเลยนะ เพราะครึ่งทางเราใช้เวลาไป 1:06  ข้าพเจ้าคิดในใจพลาง และไม่ลืมสับฝีเท้าเร่งจังหวะขึ้นไป กับเป้าหมาย เพิ่งคิดเมื่อกี้นี้ พยายามใช้จังหวะเร่งบ้าง ดึงลงบ้างสลับไปพลาง ซึ่งเมื่อนาฬิกาผ่านเป้าหมายแรก 21.1 กม. เวลาอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย  เป้าหมายใหม่ก็คือ วิ่งให้ถึงเส้นชัย ต่ำกว่า 2 ชม ซึ่งเป็นเป้าหมายติงต๋องมาก เพราะว่ากับระยะทางที่เหลืออยู่ กับเวลาที่มีให้อย่างจำกัด นี่มันต้องฝีเท้าระดับบุญถึง หรือสัญชัย ถึงจะทำได้  ซึ่งแน่นอนเมื่อผ่านจุดเช็คพอยต์สุดท้าย ข้าพเจ้าใช้เวลาเกินไป 49 วินาที

ขอเวลาไปฝึกวิทยายุทธอีกนิด 49 วินาที หลังนี่มีเฮแน่



เครดิต ภาพ จาก พี่ตุ้ม พี่รุจน์ ชัตเตอร์รันนิ่ง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น