วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Race 127 วิ่งปั่นเพื่อน้องโลกหัวใจ โรงพยาบาลสมิติเวช




เป็นเรื่องที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย ในวิถีชีวิตของการวิ่งที่ต้องตื่นขึ้นมาวิ่งแข่งเช้าวันเสาร์ แถมในงานยังมีการปั่นจักรยานอีกด้วย  วันนี้นอกจากมาวิ่งแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องมาแจกเบอร์และเสื้อวิ่งด้วยจากภารกิจใหม่ที่เข้ามาในชีวิต

อากาศเช้านี้เย็นสบายเหมาะแก่การนอนเป็นอย่างมาก แต่หัวใจนักวิ่งจะทำอย่างนั้นได้เยี่ยงไร อากาศเย็นควรจะต้องวิ่งมากกว่านอนอุดอู้ อยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อมาถึงบริเวณงานเมื่อเวลาตี 5 ค่อนข้างแปลกใจกับบรรยากาศในงาน  แปลกใจตั้งแต่ขับรถเข้ามา ไม่รู้จะจอดตรงไหน ไม่มีเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยเข้ามาแนะนำเลย เลยตัดสินใจจอดรถอยู่ข้างทาง และเดินออกมา จึงเจอจุดที่จอดรถ แต่ก็ไม่ได้ย้อนกลับไปเพราะเวลาค่อนข้างจวนตัวและมีภารกิจต้องทำด่วน

หลังจากเท้าก้าวแรกเข้ามาในบริเวณงาน ก็เริ่มงงกับสถานที่ ไม่เห็น หรือไม่มีจุดปล่อยตัว ตั้งอยู่ในบริเวณงาน เห็นแต่เวทีบนพื้นที่จัดอยู่คู่กับรถของโรงพยาบาล  ฤา ว่า ผู้จัดหน้าใหม่ โรงพยาบาลสมิติเวช จะไม่ได้ทำการบ้านในงานวิ่งเลย  เพราะเป็นการจัดงานครั้งแรกของโรงพยาบาล สำหรับการจัดงานวิ่ง ปั่นการกุศล เพื่อหาทุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจของโรงพยาบาล  มีหลายคนเข้ามาถาม แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถให้คำตอบได้ จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วจึงไปปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายต่อไปซึ่งหลังจากทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ สายตากลับเหลือบไปเห็น ซุ้มลม ที่เป็นจุดสตาร์ท ตั้งตระง่านอยู่ด้านหน้า และเต็มไปด้วยจักรยานของเหล่าสิงห์นักปั่น เต็มไปหมด  ฤา นี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับต้นๆของไทย ที่เกิดขึ้นในวันนี้  โดยที่ใจก็ยังวิตกว่า จะพบพานกับสิ่งอื่นใดต่อไปที่จะทำให้ประหลาดใจ
credit พี่รุจน์ shutterrunning.com
เมื่อใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวนักวิ่งต่าง ไปเตรียมพร้อมที่จุดปล่อยตัว ซึ่งเท่าที่สังเกตส่วนใหญ่ไม่เคยได้เห็นในสนามวิ่ง และเมื่อได้ยินคำบอกเล่าต่างๆ ก็ทำให้รู้ว่า บางคนไม่เคยวิ่ง แต่ครอบครัว เพื่อนๆ ชวนกันออกมาในงานนี้ เนื่องจากได้วิ่งแล้วยังได้ร่วมสมทบทุนในการช่วยเหลือเด็กๆ ซึ่งก็ได้ยอดบริจาคมามิใช่น้อย ใครว่านักวิ่งขี้เหนียว บัดนี้โลกนักวิ่งได้เปลี่ยนไปแล้ว   ใกล้เวลาสตาร์ท การ์มิน ข้าพเจ้ายังไม่สามารถจับสัญญาณ GPS ได้  แถมยังปวดฉี่อีกต่างหาก จึงต้องไปใช้บริการรถสุขาติดแอร์ให้เป็นประสบการณ์อีกแบบให้กับชีวิต

เมื่อปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยจึงค่อยๆ วิ่งวอร์มกับไปที่จุดปล่อยตัว พร้อมๆ กับได้ยินสัญญาณเสียงปล่อยตัว  พร้อมวิ่งไปด้วยสภาวะไร้ความกดดัน  เพราะวันนี้โจทก์ทั้งหลาย ไม่มา  และที่มา เจ้าหล่อนก็หนีไปปั่นจักรยานซะงั้น ............................... สบายใจไทยแลนด์


ซ้าย ขวา ซ้าย   ซ้าย ขวา ซ้าย จังหวะนี้มันจะวิ่งยังไง ถ้าไม่ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา  คำถามกวนประสาทแวบเข้ามาในหัว สงสัยอาจจะเป็นเพราะไม่มีใครมาลากเป็นแรงบันดาลใจ จิตที่เป็นนายก็เลยเริ่มฟุ้งซ่านซะงั้น ทำให้กายที่เป็นบ่าว เริ่มตุปัดตุ๊เป๋  เอาฟร่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว วิ่งอัดมันซะเลยดีกว่า  แถมวอร์มก็ไม่ได้วอร์ม ยืดเหยียดก็ไม่ได้ทำ  เป็นการวิ่งนอกตำราอีกครั้งหนึ่ง ที่หลังๆ มักจะทำบ่อยกว่าปกติ

กวาดสายตาไปโดยรอบ วันนี้ ไม่มีแนวหน้า ขาแรงมาสักเท่าไหร่  ใจพลางคิดไปพลาง แทบเอามือรูปปาก เอาว่ะ วันนี้ สงสัยจะได้อยู่หน้าแรก รูปวิ่งชัดเตอร์รันนิ่งแน่ๆ พร้อมกับบรรจงถีบตัวส่งตัวเองให้แรงขึ้นไปอีก  จนสามารถแหวกฝูงชน ออกมาเมื่อมาถึงปลายทางของโรงพยาบาล มุ่งหน้าสู่ถนนหลวง สายศรีนครินทร์  โดยมีเป้าหมายแรก อยู่ที่ แยกลำสาลี  

อาการตอนนี้คล้ายตอนเองเป็น เฟอร์รารี่ ขับปาดซ้าย ปาดขวา แซงหน้า บรรดานักวิ่ง ผู้ร่วมงานไปทีละคนสองคน  ซึ่งรวมไปถึง ดาราใหญ่ ที่วันนี้มาช่วยเป็นพิธีกรในงานด้วย    แปลกใจมากที่วันนี้บนเส้นทางการวิ่งที่เริ่มต้น ไม่ค่อยจะเจอใครที่รู้จัีก หรือโจทก์เก่า ๆ มาให้สร้างจินตนาการระหว่างวิ่งเลย ตลอด 2 กม.แรก  จนคิดไปว่าความสนุกคงลดน้อยลงแน่ๆ  พลางวางแผนการวิ่งว่าวันนี้จะลองดูว่าถ้าลากจังหวะ 4:45 นาทีต่อ กม. จะยางแตกที่ กม.ที่เท่าไหร่ เพื่อเอาผลงานไปปรับปรุงในการซ้อมใหม่

การวิ่งตลอด 2 กม.แรก บนถนนศรีนครินทร์ รู้สึกชอบมากๆ กับ ถนนโ่ล่งๆ บวกกับอากาศวันนี้ที่เย็นสบาย วิ่งแล้วไม่รู้สึกอึดอัด และเมื่อรับรับน้ำแพ็คจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ที่วันนี้มาปฏิบัติภารกิจส่งน้ำให้นักวิ่ง กันตามจุดให้น้ำต่างๆ ซึ่งยังไม่รู้ว่ามีกี่จุด  ข้าพเจ้าคว้าน้ำที่ทางเจ้าหน้าที่ยื่นให้ พร้อมกับบรรจงยื่นริมฝีปากขยับเข้าไปใกล้ และเริ่มดูด ด่ำกับความหอมหวานและเย็นสดชื่นที่ได้รับ

พร้อมกับประคอยแก้วน้ำไปเพราะข้าพเ้จ้าจิบน้ำไปเพียงเล็กน้อย ..... แยกเป้าหมายถึงแล้ว เราจึงรีบหักตัวหมุน 90 องศาไปทางซ้ายเพื่อมุ่งหน้าสู่ถนนรามคำแหง พร้อมภารกิจวิ่งแซงเหล่าซือ แห่ง มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งออกไป พลางคิดในใจสงสัยวันนี้จะไม่ธรรมดา เพราะปกติจะเห็นวิ่งช้ามาตลอดหลายงานที่ผ่านมา วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเหล่าซือ สงสัยจะมียาดีแน่ๆ  เมื่อวิ่งมาถึงถนนรามคำแหง เกิดคำถามขึ้นมาในหัวสมองทันทีว่า  ทำไมถนนเส้นนี้แถบเต็มไปด้วยซอยย่อยมากมาย  ไม่มี เจ้าหน้าที่มากั้นรถเลย เมื่อวิ่งเข้ามาถึงถนนเส้นนี้

จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการวิ่งมากขึ้น  การวิ่งตามรถเมล์ ได้บังเกิดขึ้นอีกขึ้น เพราะท่านๆ คนขับเหล่านั้น ก็บรรจงในการขับ ลาก ไปเรื่อยๆ เพื่อรอให้ผู้โดยสาร ที่ยังค้าง หรือเดินอยู่ในซอย เห็นและรีบมาขึ้น    เห็นทีท่าไม่ดีข้าพเจ้า จึงจำเป็นต้องหนีขึ้นไปวิ่งบนฟุตบาต ท่ามกลางสายตานับสิบ ที่ยืนอยู่ข้างทาง บ้างก็กำลังชะเง้อ มอง รถเมล์เป้าหมาย บ้างก็หันหลังให้เพื่อจับจ่ายใช้ซอย กับร้านค้าข้างทาง สายตาที่มองมา ที่กลุ่มนักวิ่ง รวมถึงตัวข้าพเจ้า  คล้ายเหมือนกับมีคำถามอยู่ในแววตา ว่า  พวกนี้มันมาวิ่งทำอะไรกัน

สาวฝีเท้าดีที่น่าจับตามอง
ระหว่างทางบนฟุตบาศก์  มีเร็วมีช้าบ้าง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ข้างทาง จนกระทั่งพ้นอาณาเขตของรถเมล์ การกลับลงมาวิ่งบนถนนก็กลับมาอีกครั้ง  และก็พบเป้าหมายแรก คือ หนุ่มเมืองสะตอ ที่วันนี้ วิ่งค่อนข้างเร็ว และกำลังเกาะกลุ่มอยู่ กับ 1 หนุ่ม  1 สาว  ซึ่งจากการสังเกตุจังหวะวิ่งการวางเท้าแต่ละช้าง ของสาวน้อย ที่น้องหนุ่มเมืองสะตอวิ่งตามมาจังหวะวิ่งสม่ำเสมอมาก  น่าจะเป็นขาแรงอีกท่านหนึ่งที่เรายังไม่รู้จักแน่ๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นหลัง

ข้าพเจ้าอาศัยเกาะห่างๆ ไปอยู่สักพัก  ก็เริ่มรู้สึกเครื่องร้อน เมื่อพ้น กม.ที่ 3 จึงเร่งแซง ออกไปด้วยการเพิ่มความเร็วเล็กน้อย ไม่ให้เกินกว่า 4.30 นาที ที่ตั้งใจไว้ ว่าวันนี้ลองวิ่งจังหวะ ที่ 4:45 ดูว่าจะยางแตกตอนไหน  ซึ่งจากการประเมินคิดว่า ไม่น่าจะรอดที่ กม.ที่ 6 แน่ๆ  เพราะที่ผ่านมาซ้อมวิ่งแค่ 5 โลต่อวันเท่านั้น เพราะกังวลจากอาการบาดเจ็บที่ยังตามหลอกหลอนเสมอเมื่อเริ่มวิ่งยาว

เมื่อพ้น กม.ที่ 4   จากระยทางที่ข้อมือตัวเอง ก่อนจะถึงหน้า กกท แหล่งของหนุ่มสาว ที่ชอบมาออกกำลังกาย สามารถวิ่งแซงพี่โก้ สรณะ หนุ่มหุ่นเสาไฟฟ้า ที่วันนี้วิ่งเร็วกว่าที่เคยเห็น เมื่อทักทายกันเล็กน้อยข้าพเจ้าจึงเริ่มหนีออกไป  และปรับจังหวะวิ่งให้สบายขึ้น โดยตอนนี้ไม่ต้องหนีขึ้นฟุตบาทอีกแล้วเมื่อถึงป้ายรถเมล์  เพราะตรงแยกนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยกันทางให้หนึ่งนาย  แต่ตลอดเส้นทางคงไม่มีการตั้งกรวย เพราะถนนเส้นนี้คงไม่สะดวกที่จะดำเนินการเยี่ยงนั้น เพราะจะทำให้ผู้สัญจรและใช้ยวดยานแถวนั้น สวดให้แน่ๆ

ป้ายระยะทางของงานที่ตั้งไว้ มันเพี้ยนไปแล้วเมื่ออยู่บนถนนรามคำแหง ซึ่งถ้าใครไม่มีอุปกรณ์สำหรับบอกระยะทางส่วนตัว นาทีนี้คงเกลี่ยแรงกันมั่วไปหมดแน่ๆ

เมื่อมาถึง หน้า ม.รามคำแหง  ระยะห่างของนักวิ่งเริ่มยืดออกไป เริ่มมองเห็นข้างหน้าน้อยลง เพราะเท่าที่กวาดสายตาไปไกลๆ เห็นเพียง 2-3 คน ที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับแบคกราวนด์หลังของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง   อารมณ์ของแนวหน้ามันช่างเดียวดายยังนี้นี่เอง การวิ่งที่ไม่มีผู้คนรอบข้าง มันช่างอ้างว้างจับใจ เป็นการวิ่งที่อาจจะปราศจากมิตรภาพก็เป็นได้ 

นาทีนี้แรงบันดาลใจที่จะวิ่งให้จบตลอดรอดฝั่งนอกจาก การอยู่หน้าหนึ่งในชัตเตอร์รั่นนิ่งสำหรับงานนี้ ก็คือ คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้า ที่ข้าพเจ้าจะต้องพยายามเข้าไปให้ใกล้และแซงให้ได้ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง แต่ก็คงไม่ลืม เรื่อง เวลาที่ต้องควบคุมด้วย  ซึ่งในตอนนี้ เป้าหมายที่ข้าพเจ้าพยายามเกาะเป็นชายชุดขาวที่ระยะห่างกันประมาณ 150 เมตร

เมื่อมาใกล้ถึงแยกเอวอนจึงต้องหนีขึ้นฟุตบาศก์อีกครั้ง พร้อมกับเลี้ยวซ้ายเ้ข้าสู่ถนนพระราม 9 ยังไม่ทันที่ที่จะได้ลงจากฟุตบาศก์ เพื่อหาเป้าหมายต่อไป บรรดาเจ้าถิ่น เริ่มตะกายวิ่งออกมาต้อนรับกัน เสียงดังระงมกันใหญ่  ข้าพเจ้าถึงกับต้องเบรคเอี๊ยดดดดดดดด  เพราะถ้าขึ้นยังฝืนวิ่งต่อไป  ข้าพเจ้าอาจจะต้องได้ไปใช้บริการฟรีจากเจ้าภาพในการจัดวิ่งครั้งนี้ก็ได้

หลังจากหยุดเพื่อสังเกตอาการ ข้าพเจ้าก็เริ่มการย่างสามขุม หมายดูเชิงกัน แม้บรรดาเจ้าถิ่น มันไม่ได้มากันมากมาย หมายที่จะรุมข้าพเจ้า แต่เหมือนกับว่า เจ้าถิ่นตัวน้อย ต้องการแสดงให้รู้ถึงอำนาจและแสดงความเป็นเจ้าถิ่นของมัน 

การประสานตากันระหว่างข้าพเจ้ากับมัน จบลงทันที เมื่อ ผู้พิทักษ์ความสะอาดระแวกนั้น เดินเข้ามาและใช้ไม้คู่ใจ ตีลงพื้นพร้อมกับไล่ฝูงเจ้าถิ่น ที่ยังไม่ทันได้ระวัง จึงตะกายวิ่งหนีออกไป  ข้าพเจ้าสบตากับผู้ช่วยเหลือท่านนั้นและได้แต่เอ่ยคำขอบคุณเล็กน้อย และจึงรีบเร่งเพื่อชดเชยเวลาที่เสียไป

แต่ทว่าเมื่อเกิดการหยุดอย่างกระทันหัน จังหวะที่ไหลลื่นมาตลอดเริ่มใช้ไม่ได้ดังใจเหมือนเคย ลมหายใจเสียงเริ่มดังขึ้นและถี่ขึ้น   8 กม.ที่ให้ความพิถีพิถันนในการวิ่งจบลง ช้ากว่าที่คิด เพราะแต่เดิมคิดว่าคงหมดลม ที่ 6 กม. แน่ๆ  นั่นทำให้ความมั่นใจในการสู้ศึกครั้งใหม่ กับพี่น้อยวิช เริ่มมั่นใจขึ้น ถ้าข้าพเจ้าพยายามซ้อมให้ยาวขึ้น

พูดถึงพี่น้อย แล้ว นับถือพี่น้อยมากในเชิงของการค้นหาความจริงด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการบาดเจ็บ การซ้อม วิธีการซ้อม และตารางการซ้อม เป็นคนที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่เคยซ้อมร่วมกันมาเมื่อ 2 ปีก่อน  มาวันนี้ พี่น้อยสามารถดีดตัวเองขึ้นไปเป็นหมายเลข 1 ของกลุ่มเพื่อนนักวิ่งในรุ่นเดียวกัน

3 สนามหลัง ไม่สามารถที่จะวิ่งทันพี่น้อยได้ ซึ่งใครที่บาดเจ็บ หรือวิ่งแล้วไม่ดีขึ้น สามารถสอบถามค้นหาแรงบันดาลใจในการวิ่งจากพี่เค้าได้ รับรองว่านอกจากภาคปฏิบัติที่สุดมันส์ ท่านจะได้รับความรู้เชิงทฤษฏีอีกเพียบ

ศึกครั้งใหม่ ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะดวลกันที่ใด แต่ที่แน่ๆ ครั้งหน้า คงมีรายชื่อ ดังต่อไปนี้ในศึกครั้งใหม่ แน่นอนคนแรก  สาวแจง สาวแรง แห่งรัชมังคลา ส่งเข้าประกวด  โจทก์ท่านนี้หาโอกาสเอาคืนข้าพเจ้าอยู่หลังจากข้าพเจ้า ปาดหน้าเข้าเส้นที่ใต้สะพานพระราม 8  เมื่อปลายปีก่อน สามารถเรียก เสียงกรี๊ดร้องไปทั้งสนาม

หนุ่มหล่อเมืองสะตอ
คนที่สอง หนุ่มโก หนุ่มเมืองสะตอ ที่ตอนนี้พยายามซุ่มซ้อมเพื่อเร่งกลับไปที่อยู่ที่ระดับความแรงระดับเดิมก่อนอาการบาดเจ็บ  ซึ่งจะประมาทไม่ได้

คนที่ 3  พี่น้อย ผู้สร้างบาดแผล 3 ครั้งซ้อนให้กับข้าพเจ้า ที่เป็นเป้าหมายหลักที่จะต้องโค่นบัลลังก์ลงมาให้ได้

ส่วนคนนี้คนสุดท้าย สกาบอย  ช่วงนี้ เป็นม้านอกสายตา เพราะร่างกายที่บึกบึนขึ้นมาก แต่ก็ประมาทไม่ได้เช่นกัน

ตัดกลับมาที่ กม. 9   ซึ่งเป็น กม.ที่ข้าพเจ้าหมดจริง  ไม่สามารถประคองการวิ่งให้ต่ำกว่า 5 นาทีได้อีกแล้ว  ซึ่งถึงนาทีนี้ ได้แต่วิ่งประคองด้วยความเร็วที่ลดลงไปตลอดเส้นทางที่เต็มไปด้วยยวดยานที่สัญจรด้วยอัตราความเร็วสูง

นักวิ่งยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ  เริ่มมีขาแรงเริ่มเร่งแซงข้าพเจ้าไปทีละคนสองคน ในขณะที่ข้าพเจ้าช็อตไม่สามารถที่จะยื้อกับการโดนแซงเหล่านั้นได้เยี่ยงปกติ แต่ก็ยังใช้ความพยายามในการประคองจังหวะวงรอบการก้าวของตัวเองไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งสามารถไล่ทันหนุ่มเสื้อส้ม จากแก๊งค์ เครซีรันนิ่ง เพราะจำสัญลักษณ์ด้านหลังเสื้อได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะเป้าหมายตั้งแต่แยกเอวอน ที่ข้าพเจ้าหมายตาไว้ ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้ตลอด แถม ข้าพเจ้ากลับถูกแซงกลับโดยหนุ่มชุดขาว จาก RBKS  ซึ่งลำดับการวิ่งตอนนี้ กลายเป็น  ขาว /RBKS / ข้าพเจ้า / Crazy Running  จินตนาการบรรเจิดอีกแล้ว ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงลำดับได้หรือไม่ เมื่อถึงเส้นสิ้นสุดของการแข่งขัน

มันมาอีกแล้ววววว น้องหมาเจ้าถิ่น ณ กม.ที่ 11 บริเวณทางแยกก่อนเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีนครินทร์ ทำเอาข้าพเจ้าขนลุกซู่ จนต้องหนี วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่ง เพื่อหยั่งเชิงดูสถานการณ์ ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ทำให้ถึงกับต้องหยุดเหมือนครั้งแรก ซึ่งสังเกตุแล้วว่าเจ้าถิ่นกลุ่มนี้ ใจดี ข้าพเจ้าจึงออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ บนถนนศรีนครินทร์ ซึ่งก็ได้เจอกับโปรรุจน์ จากชัตเตอร์รันนิ่ง ที่กำลังเดินย้อนกลับมาถ่ายภาพนักวิ่ง หลังจากแอคชั่นไปเล็กน้อย เหมือนเีรี่ยวแรงเริ่มกลับมา จึงค่อยๆ สปีด หมายจะไล่ 2 หนุ่มชุดขาวให้ทัน แต่จนแล้วจนรอดเมื่อวิ่งจนถึงเส้นสุดท้าย ก็ไม่สามารถไล่ทัน และที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเข้าเส้นชัยตรงไหน เพราะซุ่มปล่อยตัวยังอยู่ที่เดิม แต่เส้นทางที่จะวิ่งไปที่ซุ่ม ถูกบังทางอยู่

การวิ่งงานนี้จบลงเมื่อวิ่งผ่านด้านข้างของซุ้มปล่อยตัว..........................เป็นอันจบ race นี้แบบงงๆ






















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น