วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 41 Final Training for Marathon

Race 41  ภปร สามพราน

คำว่าวิ่งช้าไม่เป็น  วิ่งเร็วไม่ได้ วลีนี้ดังก้องหูอยู่ตลอดเวลา ในการซ้อมตลอดเดือน พฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ของปีก่อน  การดึงจังหวะการวิ่งให้ช้าลง จากการวิ่งปกติ มันช่างเป็นอะไรที่ฝืนความรู้สึกมากๆ นอกจากนี้ยังมีการเย้ายวนจากเพื่อนๆ ที่มักจะวิ่งมาประกบแล้วยั่วให้เร่งอยู่เสมอ

การข่มใจในตนนั้นทำได้ยากเย็นยิ่ง  แต่สุดท้ายการระงับตนไม่ให้หลงไปกับเสียงยั่วยุ ก็ทำให้เราสามารถบรรลุผลในใจไปได้เปราะหนึ่ง

จากผลการดึงจังหวะช้าลง ยังทำให้สามารถเพิ่มโหลดการซ้อมให้ยาวขึ้นด้วย

สำหรับงาน ภปร สามพราน เป็นสนามที่ตั้งเป้าจะไปวิ่งดึงจังหวะ ในสถานการณ์จริง ซึ่งคิดว่าถ้าสามารถซ้อมจริงแบบนี้ได้ ครึ่งทางแล้ว  มาราธอนเราคงจบแบบถึงแน่ๆ

แต่ความหวังครั้งนี้ ก็ต้องมีเหตุให้ต้องรู้สึกประหม่าและตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย  เมื่อได้คุยกับประธานชมรม  เฮียแกเตือนมาว่า ถ้าจะไปลงมาราธอน อย่าไปซ้อมที่สนามนี้ ซึ่งเหตุผลที่เฮียให้น่าสนใจมาก

เฮียเล่าว่า สนามนี้ ถึงแม้จะเป็นต่างจังหวัด อากาศดี แต่สภาพสนาม 80% ไม่เหมาะกับการซ้อม เพราะถนนเต็มไปด้วยคอนกรีตแข็ง  อาจจะทำให้เราได้รับบาดเจ็บก่อนไปลงสนามจริง ถ้าอยากไปจริงๆ ขอให้ลงแค่ระยะมินิ พอ

นี่คือ เสียงคำเตือน จากผู้มีพระคุณ คนหนึ่่งในถนนการวิ่ง

แต่หาได้ว่าเสียงเตือน จะมาลบความตั้งใจจริงที่ตั้งใจไว้แต่แรก  การลงแข่งในครั้่งนี้ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นก่อนเสียงสัญญาณปล่อยตัว

ท้องฟ้าที่มืดสนิท เมื่อตัดกับแสงไฟประดับในงาน มันช่างน่าค้นหาเสียนี่กระไร

แต่ชั่วอึดใจต่อจากนี้ จะพบเจออะไรต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราจะต้องนำพาตัวเราไปสัมผัส ทันทีที่สิ้นเสียงแตร ปล่อยตัว ระยะฮาล์ฟ ทุกคนทะยานออกจากจุดเริ่มต้น ตัดออกไปสู่ตัวถนน เลี้ยวขวา ทันใดนั้นแสงสว่างที่เคยมีกลับหดหายไปหมด  และยิ่งช่วงจังหวะวิ่งรอดใต้สะพาน ตรงนั้นเองที่ไม่สามารถมองเห็นใครเลย เพราะทางงานไม่ได้เตรียมไฟ บริเวณนั้นไว้   จากนั้นก็วิ่งผ่านเส้นทางเข้าวัดไร่ขิง


แต่แล้วก็มีเสียงตั๊ปๆๆๆๆมาเป็นกองทัพ ซึ่งรู้ความจริงที่หลังว่า ระยะมินิ ถูกปล่อยตัวหลัง ฮาล์พ ปล่อยตัว เพียง 5 นาที  ซึ่งระยะมินิเป็นระยะที่ทำความเร็ว  และความมืดระดับนี้เป็นเรื่องที่อันตรายต่อนักกีฬามาก

และแล้วสิ่งที่กังวล ก็เกิด เมื่อนักวิ่ง ระยะมินิ แนวหน้า วิ่งเบียด กลุ่มนักวิ่งพิการทางสายตา ทำให้ อ. คนนั้นสะดุด กับ สัญลักษณ์นูนๆ ที่อยู่บนถนน ล้มลง  ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก และกลุ่มนั้นก็ยังออกวิ่งต่อไป


สิ่งที่กังวลที่สอง จากคำเตือน นั้น เิริ่มส่งผลเมื่อวิ่งไปเกือบจะสุดทาง  อาการเจ็บหัวเข่าจากแรงกระแทก เกิดขึ้น ทำให้ต้องเบา ถึงขนาดต้องค่อยๆ เดิน เพื่อไม่ให้เจ็บไปมากกว่านี้  นี่หรือคือบทเรียน สำหรับคนที่ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ที่เตือนมาด้วยความหวังดี

ถ่ายโดย ครูแสง


"บนเส้นทางนี้ ถึงแม้มันจะเจ็บปวดเพียงใด แต่การได้กลับมาเยือนถิ่นที่ตัวเองเคยรักเสมอ มันทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอม ในวันใจเป็นอย่างมาก"


หลังจบการแข่งขัน  ก็ลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
หาข้าวปลา อาหารกิน  เห็นแม่ค้าที่แจกมะพร้าวน้ำหอม แล้วก็รู้สึกประทับจริงๆ  การบรรจง สับและปอกมะพร้าว ลูกแล้วลูกเล่าให้กับนักวิ่ง จนเศษมะพร้าวและน้ำมะพร้าว ฉโลม อยู่เต็มหน้า  เรานักวิ่งคงแทนน้ำใจในครั้งนี้ได้เพียง กินน้ำและเนื้อมะพร้าวให้หมด ให้สมกับความตั้งใจในการให้ของพวกเขาเหล่านั้น

ระยะทาง 20.8 กม  ใช้เวลา 2:15:00

จบการซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนมาราธอน หลังจากนี้คือการหยุดพักเพื่อให้ร่างกายสดที่สุด นี่คือสิ่งที่คิดคำนวณไว้ แต่หลังจากจบการแข่งขัน ต้องเปลี่ยนเป็นว่า พัก 1 อาทิตย์ เพื่อให้เข่าที่บาดเจ็บ หายและไม่สร้างความกังวลในการแข่งขันแทน

ไช้
9 มกราคม 2011






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น