วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

Race 42 เพื่อ 42.195 ในชีวิต

Race 42  จอมบึงมาราธอน

สุดยอดสนามมาราธอนที่เป็นหนึ่่งในสนามที่ดีที่สุดในสยาม คงจะต้องมีชื่อ "สนามจอมบึง อยู่ในลิสต์" อย่างแน่นอน


การเตรียมความพร้อมในการซ้อม และ รู้จักประมาณในต้นทุนตัวเอง นั้น ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการลงวิ่งมาราธอนครั้งแรกของชีวิต  ซึ่งในครั้งนี้ชมรม มีคนลงมาราธอนครั้งแรก กันทั้งหมด 3 คน ได้แก่ ตัวผม พี่รัตน์ และ น้องยุ้ย  ซึ่งเราทั้งสามคน ได้ตกลงว่าจะร่วมวิ่งไปด้วยกันตลอดทาง และ จะใช้วิธี การวิ่ง และเมื่อถึงจุดให้น้ำ จะเดินประมาณ 500 เมตร แล้วค่อยวิ่งต่อ

นี่คือกลยุทธ์ของผมและทีม ในการพิชิตมาราธอนแรก เป้าหมายใช้เวลา ไม่เกิน 6:00 ชม

การแต่งตัววันนี้ คือสิ่งที่ผมเตรียมมานาน อันนี้เป็นบุคลิคส่วนตัวมาหลายสนามแล้ว ว่า ถ้าลงระยะมินิ จะใส่ที่รัดกันเหงือ 1 ข้าง  ถ้าลงครึ่งมาราธอน ใส่ 2 ข้าง

และ้ถ้าลงมาราธอนจะใส่หมวก พร้อมอุปกรณ์ครบเซ็ต กระเป๋าคาดเอว บรรจุช็อคโกแลต ซองเกลือแร่ และที่สำคัญ คือ สตางค์เผื่อฉุกเฉิน  นี่คือการเตรียมตัวของนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง

มีหลายคนถามว่า ทำไม ไม่เตรียมพาวเวอร์เจล หรือ พาวเวอร์ บาร์ไว้ด้วยเพื่ิอเสริมพลัง

ผมมีทัศนคติแบบนี้  ว่าสิ่งเหล่านั้นคือยาโด๊ป ที่ให้ร่างกายขับเคลื่อน ไป เพราะไม่ใช่สิ่งที่ปกติที่ใครเค้าจะกินกัน   ถ้าผมจะวิ่งมาราธอนแรก ผมขอผ่านมันด้วยขาของผมเอง  ผมจึงปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด 

ในการเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่สนามจอมบึง เพื่อรับเบอร์ และชิพ นั้น  ผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีทั้งหมด 4 ท่าน คือ ผม  ,  บอย ที่จะลงสนามฮาล์ฟเป็นสนามแรก , เต๋อ ที่เปลี่ยนใจจากเต็มมาลงแค่ครึ่ง และ น้องนุชคนสุดท้อง คือ น้องยุ้ย หญิงแกร่ง ที่ชอบความท้าทาย

ในครั้งนี้ใช้รถผมในการเดินทาง  โดยที่พักได้รับการอนุเคราะห์จากท่านประธานช่วยจองให้่ที่ค่ายทหาร ซึ่งห่างจากสนามแข่งประมาณ 25 กม  การเดินทางออกจากกรุงเทพ บ่ายสามโมง ถึงที่งานก็เริ่มค่ำพอดี หลังจากที่ปฏิบัติภาระกิจ เรียบร้อยแล้ว  

ประธานให้คำแนะนำว่า ให้ซื้อข้าวหลามไปกิน พรุ่งนี้จะได้มีแรงเหลือเฟือ  ซึ่งครั้งนี้เราน้อมรับคำแนะนำและซื้อกลับไปจัดการในมือค้ำของวันนั้น



เช้าวันแข่งขัน อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การวิ่งมาก เมื่อเดินทางออกจากที่พัก ถึงสนามแข่ง ก็ใกล้เวลาปล่อยตัวแล้ว จึงได้ฝากกระเป๋ากับกุญแจรถไว้ให้บอยจัดการให้

วันนี้เราเดินไปอยู่แถวหลังสุดในการปล่อยตัว เพราะตั้งใจวิ่งตามกลยุทธที่วางกันมา แต่บระเจ้า เพื่อนหายไปหมด เหลือเราอยู่หลังเพียงคนเดียว ยังไม่ทันที่จะเริ่มเดินหา เสียงแตร ก็ดังขึ้น นั่นหมายความว่า นี่คือการเริ่มต้น สร้าง ชีวิตใหม่ของเราอีกครั้ง    

    "If you want to run, run a mile. If you want to experience a different life, run a marathon "

การออกตัวของระยะมาราธอน นั้นไม่บ้าคลั่งดังเช่นระยะมินิ  เกือบทุกๆ คน ค่อยๆ เริ่มขยับร่างกายไปทีละน้อย ก้าวย่างแต่ละก้าว ก้าวไปด้วยสมาธิและความตั้งใจจริง  ท้องฟ้ามืดมิด และเมื่อพ้นเขตเมืองเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน  ถนนก็มืดสนิท  การก้าวแต่ละก้าวตอนนี้ ต้องใช้สายตามองรองเท้าคู่หน้าอย่างเดียว เพราะปัญหาเรื่องสายตา ของตน  การวิ่งโดยประมาณความรู้สึกว่าน่าจะเกิน 4 กม แล้ว

แต่ทำไม ไม่พบจุดให้น้ำจุดแรก   ทราบทีหลังว่าไปวางจุดให้น้ำไม่ทัน   ดี่ที่อากาศเย็นมาก ทำให้ยังไม่รู้สึกกระหายน้ำ แต่ก็ได้ยินเสียงบ่น ถามถึงจุดให้น้ำกันประปราย  ระหว่างวิ่ง ก็พยายามมองหา พี่รัตน์กับน้องยุ้ย ตลอดทาง แต่ก็ไม่พบ  สงสัยว่าจะวิ่งไปกันเร็วแน่ๆ เลย

ซึ่งกว่าจะเจอกันก็ ก.ม.ที่ 8  แต่พอเจอกันได้แป๊ปเดียว ก็ได้ความว่า อยากเข้าห้องน้ำ เลยต้องขอเข้าที่บ้านของชาวบ้านแถวนั้น  ซึ่งผมก็ไปต่อแถวด้วยเป็นคิวที่ 4  คิว 1 และ 2 พี่และน้องเรา เรียบร้อย จึงกลับไปวิ่งต่อ  คิว 3 ผมไม่รู้จัก  ก็เข้าแถวต่อ ปรากฏว่านานมาก  ซึ่งทำให้ผมที่ไม่ได้ปวดหนัก ยืนรอจนปวด เลยต้องเข้าไปเอาออกเหมือนกัน  ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง ที่รู้สึกเร็ว และไม่ไปรู้สึกกลางทาง (ปล พยายามเข้าห้องน้ำตอนเช้าแล้ว แต่ไม่สามารถ เพราะผิดเวลา)

เสียเวลาตรงนี้ไปเกือบ 10 นาที  ทำให้การวิ่งต่อมาทำให้ต้องเร่ิงเพื่อให้ทันกับกลุ่มที่ออกตัวไปก่อน ซึ่งกว่าจะตามทัน ก็เกือบ กม ที่ 14 และเมื่อเจอกันถึงจะได้เริ่ม วิ่งตามที่วางแผนไว้ คือ วิ่ง สลับเดินตอนกินน้ำ  ซึ่งทำแบบนี้ไปได้ถึง กม 28  ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ช็อคโกแลต ถูกแกะออกมาแจกให้ในกลุ่มได้สัมผัส ความหอมหวานของมัน ในยามที่ร่างกายโหย  ซึ่งมันช่วยเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายอย่างฉับพลัน เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก  และเมื่อการวิ่งผ่านไปถึง กม ที่ 32 ท้องสว่างทั่วฟ้า เวลา ณ ตอนนั้นวิ่งมาที่ 4 ชม พอดี  จึงเริ่มคิดแผนการณ์ร้ายขึ้นมา

เพราะคิดว่า ตัวเองแรงยังเหลือ เพราะวิ่งประคองมาตลอด  กับระยะ 10 กม กับเวลาไม่ถึง ชั่วโมง  จะทำให้เราจบมาราธอนแรกต่ำกว่า 5 ชม แน่นอน  ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดเพราะแผนการณ์ที่ต้ั้งไว้นั้นเป็นแผนที่ดีอยู่แล้วที่จะให้จบมาราธอนแบบไม่สะบักสะบอม แต่ความโลภก็ยังมีอยู่ในตัวมนุษย์คนนี้ การเปลี่ยนจังหวะการวิ่ง และการกล่าวร่ำลากลุ่มที่วิ่งอยู่ได้เกิดขึ้น

จังหวะการวิ่งมินิที่คุ้นเคย ถูกปัดฝุ่นขึ้นมาใช้ในการนี้เป็นการด่วน  หลังจากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนจังหวะมาวิ่งเร็วขึ้น จาก กม 32 ผ่าน กม 34  ผ่านผู้คนที่รู้จักและแซงเรามาตลอดทาง  ความรู้สึกในตอนนั้น กระหยิ่มยิ้มย่องมาก ที่สามารถแซงแต่ละท่านได้ หาได้พึงสังวรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเส้นทางข้างหน้า

ปีศาสมาราธอน กม 35 เป็นเสียงเล่าลือ ที่เป็นตำนาน ที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ก็ได้มาสัมผัสในครั้งนี้  เมื่อวิ่งผ่านหลัก กมที่ 35  ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของกล้ามเนื้อและชีิวิตการวิ่งก็ได้สำแดงเด็จ ออกมา ในครั้งนี้  อยู่ๆ กล้ามเนื้อที่เคยแข็งแรง เข่าที่เคยเจ็บและไม่เจ็บเลยตลอดเส้นทาง 35 กม นั้น ได้แสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ออกมา

ตะคริวเริ่มกินที่น่องซ้าย  หัวเข่าขวาเริ่มเจ็บแปล๊บ  ทำให้เริ่มวิ่งไม่ได้ และลดความเร็วลงในที่สุด เมื่อจบที่ กม 36  ต้องหยุดเพื่อยืดเส้น ล้างตะคริวให้ออกจากขาให้เร็วที่สุด

เส้นทางวิ่งที่สนุกสนานตลอด 35 กม ที่รายล้อมด้วยกองเชียร์เจ้าถิ่น ทั้งตัวเล็ก และผู้ใหญ่ ที่ฝ่าลมหนาว ออกมาจุดไฟผิง และส่งเสียงเชียร์ และเต้นตลอดทางที่เห็น กับมืดสนิทไป

อารมณ์ในตอนนั้นฟุ้งซ่านมาก คิดตลอดว่า ไม่น่าเลย ถ้าไม่เริ่มเร่ิงวิ่งไปเรื่อยๆ ตะคริวคงจะไม่ขึ้นอย่างแน่นอน  แต่ทำยังไงได้ เมื่อเราระงับความโลภ ของเราไม่ได้ ก็ต้องรับผลกรรมเอง


นักวิ่งที่เราแซงมา เริ่มทยอย แซงคืน ทีละคนสองคน ในขณะที่เรายังคงทำได้แค่เดินประคองไปให้เร็วที่สุด

สาม กิโล ผ่านไป กับการใช้เวลา 30 นาทีในการเดิน ทำให้เหลือระยะอีกเพียง 3 กม เท่านั้นที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้

จึงเริ่มที่จะลองวิ่งอีกครั้ง ซึ่งวิ่งไปได้อีกประมาณ 500 เมตร อาการเดิมก็กลับคืนมาอีก จึงต้องกลับมาก้มหน้าเดิน ด้วยความผิดหวังอีกครั้ง

เวลายิ่งผ่านไป และเมื่อพ้น 5 ชม ที่เราเพิ่งคิดไว้ ยิ่งทำให้เกิดความเสียใจมากที่ ไม่ประมาณตนเอง และไม่ทำตามแผนที่วางไว้

40 กม มาถึง  เหลือระยะ 2.195  ก็ได้พบกับน้องพุช ที่วิ่งไล่ตามขึ้นมา จึงชวนวิ่งไปด้วยกัน "เอาว่ะ ลองอีกสักครั้ง" ปรากฏว่าเริ่มวิ่งได้ ตะคริวหายไปหมดแล้ว  แต่ด้วยอากาศที่เริ่มร้อนขึ้น ทำให้เกิดอาการโหยมาก ช็อคโกแลตที่เตรียมมาสำหรับคนเดียว ถูกแจกจ่ายไปใูห้ในกลุ่มหมด ทำให้พลังงานที่คำนวณไว้ไม่เพียงพอ  แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์โปรด  เมื่อมีป้า ชาวบ้านแถวนั้น ออกมาตั้งโต๊ะแจก เต้าหู้นมสด ให้กับนักวิ่ง ได้รับการแจ้งว่า ป้าไม่ว่างเข้าไปช่วยงาน เลยต้องเอามาแจกหน้าบ้านแบบนี้

คุณป้า รู้มั๊ยครับ ว่า เต้าหู้นมสด ของป้า ถ้วยนั้น ช่วยส่งต่อความฝันของผู้ชายคนนี้ ให้มีเรี่ยวแรงก้าวเดินต่อไป จนถึงจุดหมาย  ขอขอบคุณ น้ำใจในครั้งนี้ด้วย

ผมกับพุช จึงสามารถวิ่งต่อไปด้วยแรงที่มีเพิ่มขึ้น และวิ่งคู่กัน และไปแยกกัน ก่อนที่จะถึงพรม เพื่อแยกย้ายกันเก็บภาพส่วนตัวที่จะติดบนประกาศนียบัตรของงาน


มาราธอนแรก ในชีวิต
หลังสิ้นสุดพรมแดง อาการที่เก็บฝืนไว้จากเอ็นโดฟิน ก็พร่างพรู ออกมา ตะคริว ขึ้นที่ขาทั้งสองขาจนไม่สามารถยืนได้ทรุดลงไปที่พื้น แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของตนเองและเพื่อนที่วิ่งฮาล์ฟ และมารอรับอยู่ที่หน้าเส้นชัย


ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตัดชิฟคืนไป ผมก็พยายามนำร่างกายไปรับเหรียญที่ระลึกและเสื้อ Marathon Finisher จากงาน ตัวสีฟ้างดงาม

หลังจากนั้นก็เริ่มบำับัดร่างกายโดยการลงไปแช่ตัวในน้ำเย็นที่ทางเจ้าภาพจัดไว้ให้


ซึ่งขอบอกมันสุดยอดมากครับ






ไช้  มาราธอน ฟินิชเชอร์
16 มกราคม 2011



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น