ไม่เคยนึกไม่เคยฝัน ว่าจะต้องมาตกละกรรมลำบากเยี่ยงนี้้ วลีนี้ จะไม่ถูกนำมาใช้เลย ถ้าไม่ทำอะไรเกินตัว เกินกำลังตัวเอง
จากการลงมาราธอนครั้งแรกเมื่อตอนต้นปี ไปที่จอมบึง ก็ไม่ได้คิดที่จะลงที่ไหนอีกจนกว่าจะปลายปี
เพราะว่า การลงมาราธอนมากกว่า 2 ครั้งต่อปี ใน pace ของการแข่งขันกับเวลา จะทำให้สุขภาพเราทรุดโทรมเกินไป ประโยคนี้ เป็นประโยคที่ทั้งได้ยิน และได้อ่าน ตามหน้าเว็บต่างๆ
แต่ทำไมเราเห็นนักวิ่งบางคน วิ่งมาราธอนแทบทุกสนามที่มีการแข่งขัน เค้าเป็นยอดมนุษย์หรือว่าทฤษฏีที่เราได้ยินได้อ่านมา เป็นเพียงเรื่องเล่า เรื่องขู่ นักวิ่งหน้าใหม่อย่างเรา
แต่จากการสมัครวิ่งอัลตร้า มาราธอน ไปแล้ว ซึ่งได้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะลงวิ่งเดี่ยว เพื่อที่จะได้มีการวิ่งที่เป็นอิสระไม่เป็นภาระใคร จึงทำให้ต้องซ้อมยาว ยาว ยาว และยาวยิ่งขึ้นไป เพื่อเสริมสร้างสภาพร่างกายให้มีความแข็งแรง และ อดทน พอในช่วงการแข่งขัน การฝึกทนแดด ทนฝน ก็เป็นอีกปัจจัยที่เสริมสร้าง
ออกจากจุดปล่อยตัวเกือบคนสุดท้าย เพราะมัวแต่รอสัญญาณ GPS |
ซึ่งมองซ้าย มองขวา ในช่วงเมษายน แบบนี้ การแข่งขันมาราธอนที่แทบจะมีน้อยหรือไม่มีเลย กลับมีการจัดการแข่งขันที่เป็นประเพณีมาช้านานรายการหนึ่ง นั่นคือ รายการ "สงกรานต์มาราธอน"
ชูสองนิ้วหมายความว่าเพิ่งวิ่งไปสองรอบ |
เสน่ห์ของรายการนี้คือ จะจัดการแข่งขันอยู่ในช่วงเดือนสงกรานต์ ซึ่งจัดโดย สปอร์ตวิชั่น นอกจากจะมีการแข่งขันในระยะเต็มมาราธอนแล้ว ยังมีการจัดแข่งขันผลัดมาราธอนรายการนี้อีกด้วย
ธีมของงานคือการใช้ผ้าขาวม้าในการเปลี่ยนผลัด สาดน้ำ ปะแป้ง ในระหว่างวิ่งแต่ละรอบ
นี่คือสิ่งที่่ได้อ่านและได้ยินนักวิ่งเก่าๆ เล่าให้ฟัง
จึงได้ตัดสินใจสมัครวิ่งรายการนี้ เพื่อเป็นการซ้อมยาวให้ถึง 35 กม ก่อนรายการอัลตร้ามาราธอนจะเกิดขึ้น
กลยุทธ์ในการซ้อมครั้งนี้ คือ วิ่งอย่างไร ให้ได้ 35 กม คือ 14 รอบสวนลุม
ที่เหลือ เดิน หรือวิ่งเบาๆ จนกว่าจะครบ
และเมื่อเช้าวันงานมาถึง การเดินทางเข้าสู่สนาม เพื่อเตรียมเข้าแข่งขัน ก็พบอุปสรรคหลายอย่าง คือ อย่างแรกทางผู้จัดไม่ได้ประสานงานกับทางสวนลุม ทำให้ประตูสวนที่เปิด ตีสี่ครึ่ง ยังต้องเปิดเวลาเดิม
รอบ 7 ผ่านไป เหลืออีก 10 รอบ |
ซึ่งทำให้การเตรียมการจัดการแข่งขันดูแล้วไม่น่าจะจัดทัน เพราะเวลาปล่อยตัวตามกำหนดของระยะมาราธอน คือ ตีห้าครึ่ง ณ เวลาปล่อยตัว ยังมีนักวิ่งทยอยเข้ามาสมัครอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผู้จัดจึงแจ้งขอเลื่อนเวลาการปล่อยตัวออกไปที่ 6 โมงเช้า (มีแต่คนบอกว่าหนาวแน่แบบนี้ แต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่าคุณปล่อยตัวช้าไปเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็ยิ่งร้อนเท่านั้น)
วันนี้ การเตรียมพร้อมในการวิ่งของข้าพเจ้าถือว่าสอบตก เพราะคิดว่าการวิ่งในสวนสาธารณะปิดเยี่ยงนี้ ไม่จำเป็นต้องพกสตางค์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ที่อยากจะเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ในครั้งนี้ การเตรียมอุปกรณ์สำหรับวิ่งของผมนั้นประกอบไปด้วย
โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สำหรับ ฟังเพลง และจับระยะทาง
หูฟัง สำหรับฟังเพลง หมวกสำหรับกันแดด นาฬิกาเรือนละร้อย
กระเป๋าคาดเอว สำหรับบรรจุ ผลิตภัณฑ์ ช็อคโกแลต และลูกอม
รองเท้า เอสิค คาลิเบอร์ ที่เพิ่งไปถอยมาใหม่ เพื่อใช้วิ่งมาราธอน สดๆ ร้อนๆ เนื่องจาก เอสิค คายาโน่ นั่นหนักเกินไปสำหรับการวิ่งมาราธอน จริงๆ ซึ่งการตัดสินใจซื้อคือวันเสาร์ก่อนวิ่ง (T_T) พร้อมทั้งไม่ได้รับส่วนลดใดๆ จากการซื้อครั้งนี้
12 รอบผ่านไป ใจเริ่มล่องลอย |
ซึ่งการกระทำเยี่ยงนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นสำหรับนักวิ่งจริงๆ เพราะการซื้อรองเท้าใหม่ แล้วนำมาวิ่งเลย นั้นอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะการซื้อรองเท้าใหม่ ก็เหมือนซื้อรถใหม่ คนขับ คนใส่ จะต้องรู้จัก Run in รองเท้า หรือ รถ ในช่วงแรกก่อน เพราะความไม่คุ้นเคย ความใหม่ของมัน อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใส่ ได้ทันที
การเตรียมตัวก่อนการวิ่ง ก็เริ่มมีการอบอุ่นร่างกาย ยืดเหยียด เพื่อรอเวลาปล่อยตัว ได้เริ่มขึ้น
มีการตรวจสอบความพร้อมของ GPS ในโทรศัพท์ว่าสามารถจับสัญญาณได้หรือยัง
เลือก list เพลงเพื่อใช้สำหรับฟังในการวิ่ง
จิบน้ำทีละน้อย บ่อยๆ ครั้ง เพื่อให้ร่างกายพร้อมกับการซ้อมวิ่งในวันนี้
ในวันนี้ ทางเซ็นทรัลพระราม2 มาลงมาราธอนกันสองคนคือข้าพเจ้า กับ คุณเมย์ ที่เหลือ บอย ไข่นุ้ย และพี่กี้ มาลงระยะ 10 กม กันหมด
ยังไหวไม๊ครับ |
การปล่อยตัวเริ่มขึ้นที่ หกนาฬิกา ซึ่งจุดให้น้ำจากการสังเกตุโดยการวิ่งรอบแรกจะมีอยู่สองจุด จุดแรกอยู่ที่จุดปล่อยตัว ตรงลานตะวันยิ้ม และจุดที่สองอยู่ตรง ริมรั้วฝั่ง รพ จุฬา
เมื่อวิ่งไปเกือบครบรอบ ก็มีเจ้าหน้าที่แจกเช็คอิน เป็นริบบิ้นสี ผูกกับหน้งยาง ซึ่งข้าพเจ้้าจะต้องเอามารัดไว้ที่แขน
สองรอบแรกผ่านไปด้วยภาวะปกติ หมวกที่เตรียมไว้ยังผูกไว้ที่เอว และหวังว่าวันนี้จะมีเมฆมาก และไม่ได้ใช้มัน
ซึ่งตอนนี้ เริ่มมีการตั้งโต๊ะแจกเกลือแร่ และโต๊ะอาหารจากซุ้มชมรมวิ่งต่างๆ ที่มากันเป็นชมรม ซึ่งวันนี้ เหมือนมาคนเดียวไม่กล้าสบตามองใคร วิ่งต่อไปทาเคชิ
ตั๊ปๆๆๆๆๆ เสียงนี่ยิ่งวิ่งหนี ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เป้นเสียงฝีเท้าที่คุ้นหู มากซึ่งถ้าจะบอกว่ารู้ว่าเป็นใคร คงไม่ใช่สิ่งที่เกินความจริง
บอย วันนี้ซึ่งลงวิ่ง 10 กม ซัดเข้ารอบที่ 4 แล้ว ในขณะที่เรายังวิ่งรอบ 3 อยู่เลย อนิจจา บอยหันมาบอกว่า วันนี้มีธุระต้องไปทำงานต่อ ขอรีบวิ่ง รีบไปนะ
วันนี้เหมือนฟ้าฝนเป็นใจ แดดไม่แรงอย่างที่คิด การวิ่งก็วิ่งไปเรื่อยๆ จิบน้ำทุกรอบ เกลือแร่จิบ รอบเว้นรอบ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
กลับมาพูดถึงเรื่องรองเท้า เป็นอะไรที่บังเอิญมากที่วันนี้ในกลุ่ม Endomondo มีการเปลี่ยนรองเท้าใหม่ ถึง 3 คน คือข้าพเจ้า คุณย้ง และ คุณป้อม ซึ่งเหตุการณ์ในวันนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง มีหน้าที่วิ่ง ก็วิ่งต่อไป จนกว่าจะหมดภาะกิจ
7 รอบผ่านไป ภาระที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่เริ่มส่งผล หนังยางเช็คอินเริ่มรัดมือแดง พยายามเปลี่ยนซ้ายบ้างขวาบ้างหลายรอบ
จนอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะอึดอัดเหลือเกิน
แดดเริ่มมา จนต้องหยิบหมวกมากัน ซึ่งกันได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่มี
กลับมาพูดถึงเรื่องรองเท้า เป็นอะไรที่บังเอิญมากที่วันนี้ในกลุ่ม Endomondo มีการเปลี่ยนรองเท้าใหม่ ถึง 3 คน คือข้าพเจ้า คุณย้ง และ คุณป้อม ซึ่งเหตุการณ์ในวันนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้ชะตาชีวิตตัวเอง มีหน้าที่วิ่ง ก็วิ่งต่อไป จนกว่าจะหมดภาะกิจ
7 รอบผ่านไป ภาระที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่เริ่มส่งผล หนังยางเช็คอินเริ่มรัดมือแดง พยายามเปลี่ยนซ้ายบ้างขวาบ้างหลายรอบ
จนอยากเขวี้ยงทิ้งเพราะอึดอัดเหลือเกิน
แดดเริ่มมา จนต้องหยิบหมวกมากัน ซึ่งกันได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ดีกว่าไม่มี
10 รอบผ่านไป กับ ระยะ 25.143 กม ขาเริ่มตึง หูเริ่มชา เอ้ยไม่ใช่ ขาเริ่มชา หูชักตึง วิ่งไปแล้วทำไมรู้สึกปวดนิ้วเท้าฝั่งซ้ายมากก็ไม่รู้
มันตุ๊บๆๆ ตลอด ทำเป็นลืมๆ มันไปซะ กินช็อคโกแลตเดี่ยวกว่า เริ่มหิวแล้ว
ตอนนี้ ระหว่างข้าพเจ้าวิ่ง นักวิ่งผลัก ก็ผลัดกันโกยเอาๆ วิ่งกันอย่างมันส์สะใจ ทำไม ข้าพเจ้าไม่สะใจเหมือนอย่างนั้นเลยหนอ
คิดในใจ เหลืออีกตั้ง 7 รอบ จะไหวไม๊เนี้ย หรือแค่ไหน แค่นั้น ไม่ไหวก็เดินออกกลับบ้าน
ความคิดต่างๆ นาๆ เริ่มเข้ามาในหัวสมอง
ยิ่งวิ่งยิ่งช้าลง วิ่งจนจำรอบไม่ได้แล้ว จึงหยิบนาฬิกามาเช็คระยะ โอ้ว บร่ะเจ้า สัญญาณหลุดไปตั้งแต่ตอนไหนเนี้ย ไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว จับนาฬิกา จับเวลาใหม่ พร้อมทั้งวิ่งไปนับไปว่ามียางกี่เส้น ซึ่งกว่าจะรู้ว่ามี 12 เส้น ก็ใช้เวลาไปพอสมควร
ซึ่งนับเสร็จก็เป็นดรื่อง ตะคริวกิน ครับ กม ที่ 30 ฝืนได้ถึง รอบที่ 13 วิ่งไม่ได้อีกแล้ว
มาราธอนครั้งก่อน ยังวิ่งได้ ถึง กม ที่ 35 ทำไมครั้งนี้แย่กว่าคราวก่อน ซึ่งมาย้อนอีกทีว่าวิธีการแผนการวิ่งต่างกัน คราวก่อน วิ่งสลับเดิน ทำให้กล้ามเนื้อคลายไม่มีแรงกดดัน คราวนี้ วิ่งอย่างเดียวไม่มีพัก ถึงจะช้าก็เถอะแต่มันสร้างแรงกดดันให้กับกล้ามเนื้อเกินต้นทุนที่เรามีเกินไป
เดิน เดิน และก็เดิน จุดมุ่งหมายการเดิน อีก หนึ่งมินิมาราธอน แปลกความรู้สึกที่เคยคิดว่าจะถอนตัวกลับไม่มีอยู่เลยในช่วงนั้น เลือดนักสู้ หรือสปิริตเกิดขึ้นมาในมนุษย์คนนี้แล้วหรือ
ระหว่างเดิน อายมาก เจอแต่คนรู้จัก แซวกันไป แทบอยากจะเอาปี๊ปคลุมหน้าเดิน แต่ก็คิดได้ว่าศักยภาพเรามีแค่นี้ ทำได้แค่นี้ แต่ก็ยังสู้ และคิดจะสู้จนจบ แล้วเราจะอายทำไม
ระหว่างอาจสร้างภาพบ้างเมื่อเจอตากล้อง ถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อ ทำอย่างนี้ ไปได้ 2 รอบสวนลุม
เหลืออีก 2 รอบเอง มาราธอนโหด วันนี้ ก็จะจบลงแล้ว
เจอพี่รุจน์ ยิ้มให้กำลังใจ ขณะเดินออกจากสวนลุม แต่อยากจะบอกพี่ว่า เพราะพี่นั่นแหละทำให้ผมต้องมาลำบากวันนี้ 555+
เมื่อเข้าจุดรับน้ำรอบก่อนรองสุดท้าย โอ้วววว น้ำหมด เกลือแร่หมดดดด ทำไงดีหว่า การวิ่งที่คิดว่าวิ่งในสวนไม่ต้องใช้ตังค์ แวบเข้ามาในหัวสมองในบัดดล "แม่งเอ้ย"
ด้านได้อายอด สุภาษิตนี้ ยังใช้ได้ดีเสมอ ปฏิบัติการขอเค้ากิน ได้เริ่มขึ้น เมื่อวิ่งผ่านซุ้มชมรมต่างๆ งานนี้ เค้าเตรียมไว้ในสมาชิกเค้าเอง แต่ผมอยากได้ ผมขอนะครับ ไม่ไหวแล้ว ได้แตงโมมาหนึ่งชิ้น น้ำมาหนึ่งแก้ว พอประทังชีวิตไปอีกรอบ
พอสิ้นรอบนี้ มีเจ้าหน้าที่บอกพอได้แล้วไม่ต้องวิ่งแล้ว เฮ้ยพูดยังงี้ได้ยังไง ผมมาซ้อมมาราธอน ก็ต้องวิ่งให้ครบสิ ฝากไปยังผู้จัดด้วยนะครับ ควรอบรมให้ความรู้คนมาช่วยจัดงานด้วยครับ เสียความรู้สึกครับ
ดูนาฬิกาแล้ว คำนวณเวลาแล้ว อีกระยะ 2.5 กม ถ้าขืนยังเดินแบบนี้ มันจะเป็นมาราธอนที่ห่วยแตกมากกว่าครั้งแรกแน่นอน ซึ่งเราต้องเป้าหมายเอาไว้แล้ว ว่า ใน 5 มาราธอนที่เราจะวิ่งต่อจากนี้เวลาต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ครั้งแรกก็ทำให้ศรัทธาในตัวเองหมดไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น 17 นาที กับ 1 รอบสวนลุมเพื่อคงสถิติเดิมไว้ ก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นภาวะปกติ เวลาขนาดนี้นี่สบายๆ แต่ในขณะที่ร่างกายอ่อนล้าเหลือกำลังแบบนี้ เป็นอะไรที่เหมือนแบกครกขึ้นภูเขาอย่างมาก
เมื่อสิ้นความคิด การเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ก็ได้เกิดขึ้น จังหวะการก้าวที่สม่ำเสมอ แต่เอ๊ะทำไมเรายังวิ่งไม่เสร็จ และยังมีหลายคนมากมายที่ยังวิ่งไม่เสร็จอีกหลายสิบคนอยู่
ทำไมเจ้าหน้าที่เก็บของ เจ้าหน้าที่เช็คอินหายหมด มาดูอีกที เค้าหลบแดดกันอยู่โน้นนน
กว่าจะเอาเช็คอินมาให้ เสียเวลาไปอีกหลายวินาที (รู้มั้ยมันมีค่าสำหรับผม)
สปีด เท่าที่มีแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่ เหลืออีกนิดเดียว ถึงโค้งตาหวานแล้ว เวลาเหลืออีก 4 นาที กับสถิติเดิม
"ทำลายได้แน่ๆ " จึงค่อยๆ วิ่งไปจนจบที่เส้นชัย
พี่จิมเดินมาดู แล้วถามว่าครบหรือยัง แล้วเช็ครุ่นเหมือนจะติดถ้วย ตะโกนไปถามเจ้าหน้าที่
หน้าแดงด้วยความดีใจ เห้ยติดด้วยเหรอว่ะ
สิ้นเสียงตะโกนกลับ ได้แต่เดินคอตกกลับไปอย่างเหงา ๆ เพื่อหาข้าวกิน
"หมดแล้วค่ะ" เห้ย ทำไมพูดแบบนี้ ผมเหนื่อย ผมหิว ทำไมไม่มีอะไรให้ผมกินเลย น้ำก็ไม่มี ข้าวต้มก็ไม่มี ระหว่างวิ่ง 17 รอบ เห็นของกินเยอะแยะ
แล้วทำไมผมไม่มี
คำว่า "หมดแล้วค่ะ" หมายถึงทั้งถ้วยรางวัลและถ้วยข้าวต้ม นี่เป็นงานวิ่งแรกที่ผมไม่ติดถ้วย เป็นงานวิ่งที่เสียความรู้สึก ในทางส่วนตัวมากมาย และตั้งปณิธาณ แบบไม่ให้ผู้จัดแก้ตัวแล้วว่า
" กรูไม่วิ่งแล้ว งานห่วยแตกแบบนี้" แต่นั้นคือการบันดาลโทสะ ณ ขณะนั้น หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า "ช่างมันเหอะ"
ระยะ 42.20 ใช้เวลา 5:22:31
แถมด้วยเล็บหลุดไปหนึ่งข้าง T_T
มันตุ๊บๆๆ ตลอด ทำเป็นลืมๆ มันไปซะ กินช็อคโกแลตเดี่ยวกว่า เริ่มหิวแล้ว
ตอนนี้ ระหว่างข้าพเจ้าวิ่ง นักวิ่งผลัก ก็ผลัดกันโกยเอาๆ วิ่งกันอย่างมันส์สะใจ ทำไม ข้าพเจ้าไม่สะใจเหมือนอย่างนั้นเลยหนอ
คิดในใจ เหลืออีกตั้ง 7 รอบ จะไหวไม๊เนี้ย หรือแค่ไหน แค่นั้น ไม่ไหวก็เดินออกกลับบ้าน
ความคิดต่างๆ นาๆ เริ่มเข้ามาในหัวสมอง
ยิ่งวิ่งยิ่งช้าลง วิ่งจนจำรอบไม่ได้แล้ว จึงหยิบนาฬิกามาเช็คระยะ โอ้ว บร่ะเจ้า สัญญาณหลุดไปตั้งแต่ตอนไหนเนี้ย ไม่มีเวลาคิดอะไรแล้ว จับนาฬิกา จับเวลาใหม่ พร้อมทั้งวิ่งไปนับไปว่ามียางกี่เส้น ซึ่งกว่าจะรู้ว่ามี 12 เส้น ก็ใช้เวลาไปพอสมควร
ซึ่งนับเสร็จก็เป็นดรื่อง ตะคริวกิน ครับ กม ที่ 30 ฝืนได้ถึง รอบที่ 13 วิ่งไม่ได้อีกแล้ว
มาราธอนครั้งก่อน ยังวิ่งได้ ถึง กม ที่ 35 ทำไมครั้งนี้แย่กว่าคราวก่อน ซึ่งมาย้อนอีกทีว่าวิธีการแผนการวิ่งต่างกัน คราวก่อน วิ่งสลับเดิน ทำให้กล้ามเนื้อคลายไม่มีแรงกดดัน คราวนี้ วิ่งอย่างเดียวไม่มีพัก ถึงจะช้าก็เถอะแต่มันสร้างแรงกดดันให้กับกล้ามเนื้อเกินต้นทุนที่เรามีเกินไป
เดิน เดิน และก็เดิน จุดมุ่งหมายการเดิน อีก หนึ่งมินิมาราธอน แปลกความรู้สึกที่เคยคิดว่าจะถอนตัวกลับไม่มีอยู่เลยในช่วงนั้น เลือดนักสู้ หรือสปิริตเกิดขึ้นมาในมนุษย์คนนี้แล้วหรือ
ระหว่างเดิน อายมาก เจอแต่คนรู้จัก แซวกันไป แทบอยากจะเอาปี๊ปคลุมหน้าเดิน แต่ก็คิดได้ว่าศักยภาพเรามีแค่นี้ ทำได้แค่นี้ แต่ก็ยังสู้ และคิดจะสู้จนจบ แล้วเราจะอายทำไม
ระหว่างอาจสร้างภาพบ้างเมื่อเจอตากล้อง ถ่ายรูปเสร็จก็เดินต่อ ทำอย่างนี้ ไปได้ 2 รอบสวนลุม
เหลืออีก 2 รอบเอง มาราธอนโหด วันนี้ ก็จะจบลงแล้ว
เจอพี่รุจน์ ยิ้มให้กำลังใจ ขณะเดินออกจากสวนลุม แต่อยากจะบอกพี่ว่า เพราะพี่นั่นแหละทำให้ผมต้องมาลำบากวันนี้ 555+
เมื่อเข้าจุดรับน้ำรอบก่อนรองสุดท้าย โอ้วววว น้ำหมด เกลือแร่หมดดดด ทำไงดีหว่า การวิ่งที่คิดว่าวิ่งในสวนไม่ต้องใช้ตังค์ แวบเข้ามาในหัวสมองในบัดดล "แม่งเอ้ย"
ด้านได้อายอด สุภาษิตนี้ ยังใช้ได้ดีเสมอ ปฏิบัติการขอเค้ากิน ได้เริ่มขึ้น เมื่อวิ่งผ่านซุ้มชมรมต่างๆ งานนี้ เค้าเตรียมไว้ในสมาชิกเค้าเอง แต่ผมอยากได้ ผมขอนะครับ ไม่ไหวแล้ว ได้แตงโมมาหนึ่งชิ้น น้ำมาหนึ่งแก้ว พอประทังชีวิตไปอีกรอบ
พอสิ้นรอบนี้ มีเจ้าหน้าที่บอกพอได้แล้วไม่ต้องวิ่งแล้ว เฮ้ยพูดยังงี้ได้ยังไง ผมมาซ้อมมาราธอน ก็ต้องวิ่งให้ครบสิ ฝากไปยังผู้จัดด้วยนะครับ ควรอบรมให้ความรู้คนมาช่วยจัดงานด้วยครับ เสียความรู้สึกครับ
ดูนาฬิกาแล้ว คำนวณเวลาแล้ว อีกระยะ 2.5 กม ถ้าขืนยังเดินแบบนี้ มันจะเป็นมาราธอนที่ห่วยแตกมากกว่าครั้งแรกแน่นอน ซึ่งเราต้องเป้าหมายเอาไว้แล้ว ว่า ใน 5 มาราธอนที่เราจะวิ่งต่อจากนี้เวลาต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่ครั้งแรกก็ทำให้ศรัทธาในตัวเองหมดไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น 17 นาที กับ 1 รอบสวนลุมเพื่อคงสถิติเดิมไว้ ก็เกิดขึ้น ถ้าเป็นภาวะปกติ เวลาขนาดนี้นี่สบายๆ แต่ในขณะที่ร่างกายอ่อนล้าเหลือกำลังแบบนี้ เป็นอะไรที่เหมือนแบกครกขึ้นภูเขาอย่างมาก
เมื่อสิ้นความคิด การเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่ก็ได้เกิดขึ้น จังหวะการก้าวที่สม่ำเสมอ แต่เอ๊ะทำไมเรายังวิ่งไม่เสร็จ และยังมีหลายคนมากมายที่ยังวิ่งไม่เสร็จอีกหลายสิบคนอยู่
ทำไมเจ้าหน้าที่เก็บของ เจ้าหน้าที่เช็คอินหายหมด มาดูอีกที เค้าหลบแดดกันอยู่โน้นนน
กว่าจะเอาเช็คอินมาให้ เสียเวลาไปอีกหลายวินาที (รู้มั้ยมันมีค่าสำหรับผม)
สปีด เท่าที่มีแข่งกับเวลาที่เหลืออยู่ เหลืออีกนิดเดียว ถึงโค้งตาหวานแล้ว เวลาเหลืออีก 4 นาที กับสถิติเดิม
"ทำลายได้แน่ๆ " จึงค่อยๆ วิ่งไปจนจบที่เส้นชัย
พี่จิมเดินมาดู แล้วถามว่าครบหรือยัง แล้วเช็ครุ่นเหมือนจะติดถ้วย ตะโกนไปถามเจ้าหน้าที่
หน้าแดงด้วยความดีใจ เห้ยติดด้วยเหรอว่ะ
สิ้นเสียงตะโกนกลับ ได้แต่เดินคอตกกลับไปอย่างเหงา ๆ เพื่อหาข้าวกิน
"หมดแล้วค่ะ" เห้ย ทำไมพูดแบบนี้ ผมเหนื่อย ผมหิว ทำไมไม่มีอะไรให้ผมกินเลย น้ำก็ไม่มี ข้าวต้มก็ไม่มี ระหว่างวิ่ง 17 รอบ เห็นของกินเยอะแยะ
แล้วทำไมผมไม่มี
คำว่า "หมดแล้วค่ะ" หมายถึงทั้งถ้วยรางวัลและถ้วยข้าวต้ม นี่เป็นงานวิ่งแรกที่ผมไม่ติดถ้วย เป็นงานวิ่งที่เสียความรู้สึก ในทางส่วนตัวมากมาย และตั้งปณิธาณ แบบไม่ให้ผู้จัดแก้ตัวแล้วว่า
" กรูไม่วิ่งแล้ว งานห่วยแตกแบบนี้" แต่นั้นคือการบันดาลโทสะ ณ ขณะนั้น หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้ว ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า "ช่างมันเหอะ"
ระยะ 42.20 ใช้เวลา 5:22:31
แถมด้วยเล็บหลุดไปหนึ่งข้าง T_T
ไช้
10 เมษายน 2011
10 เมษายน 2011
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น