เมื่อตัดสินใจ ลงกรุงเทพฯ มาราธอนไปแล้ว challenge นี้จึงเป็นรายการที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบรรจุเข้าไปเป็นหนึ่งในโปรแกรมของการซ้อมเพื่อมาราธอน
ปีนี้เป็นปีที่ฉลองครบรอบการจัดงานครบ 30 ครั้ง จึงมีการจัดระยะการวิ่งที่ 30 กม ขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งถ้าไม่วิ่งปีนี้ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีจะได้วิ่งที่นี่ การลงโปรแกรมวิ่งยาวนี้จึงลงตัว
งานนี้ได้อาศัยใบบุญรถของบอย ในการมาเยี่ยมเยือนกาญจนบุรี โดยมี 4 ชีวิตในภาระกิจนี้
3 คนวิ่งในระยะที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน
ไช้ บอย ลงวิ่ง 30 กม
หนุ่ย ลงวิ่ง 21 กม ในพรรษาการวิ่ง 3 เดือน
เป้าหมายหลักในการวิ่งในวันนี้คือ การซ้อมระยะ 30 กม ให้เวลาอยู่ภายใน 3 ชม ให้ได้ เพราะระยะเวลาของกรุงเทพฯ มาราธอนเหลืออีกเพียง 2 เดือน ถ้าจบเวลาตามเป้าหมายไม่ได้ มาราธอนเป้าหมายไว้ที่ เวลาต่ำ กว่า 4:30 คงทำไม่ได้แน่นอน
สำหรับเส้นทางระหว่างที่ได้ขับรถไปเที่ยวที่ช่องเขาขาด ก็ได้เห็นถึงความชัน ขึ้นลงของเส้นทาง ถึงกับหันไปมองหน้า และคิดในใจ พรุ่งนี้ ขอสัก 3 ชมครึ่งก็หรูแล้ว แต่มิได้เอื้อนเอ่ยบอกใครให้รู้
เมื่อไปเที่ยวช่องเขาขาด จะพลาดการลงไปชมภูมิทัศน์ ภายในได้เยี่ยงไร แต่เมื่อเห็นสถานที่จริงก็ชั่งใจอยู่นานพอสมควรกับการที่ต้องเดินลงบันไดจากตัวอาคารลงไปยังหุบเขาด้านล่าง
แต่จนแล้วจนรอดก็ลงจนได้ เพราะถ้าไม่ลงไปตอนนี้ หวังว่ารอจบงานวิ่งแล้วจะมาเดินคงเป็นเรื่่องที่ยากมากกว่าครานี้อีก
สำหรับสถานที่นี้ เมื่อไปวิ่งริเวอร์แคว อย่าลืมมาเยี่ยมชมสถานที่นี้นะครับ แล้วคุณจะรู้สึกทึ่งกับหลายสิ่งหลายอย่างจากที่นี่
เท่าที่สังเกตุมีนักท่องเที่ยวชาวเอเชียมาที่นี่กันมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น มีอยู่ตลอดทางที่เดินไปตลอดหุบเขาด้านล่าง
สำหรับทริปนี้ ที่พัก เราไม่ได้จองกันล่วงหน้า อาศัย ขับรถตะเวณหา สุดท้าย ได้พักกันที่ Zam Jungle สถานที่พัก ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากห้องนอนและห้องน้ำในตัว เป็นสถานที่ที่เหมาะกับผู้ที่รักสันโดษเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะเงียบสงบไร้ผู้คนรบกวน คุณจะมีสมาธิแน่เมื่อพักที่นี่ 55+
เช้าวันอาทิตย์พวกเราทั้ง 4 คน ออกจากที่พัก และนำรถไปจอดริมถนนห่างจากปากทางเข้า โรงแรมริเวอร์แคว ประมาณ 1 กม รวมระยะทางที่เราต้องเดินเข้าไปจุดเริ่มปล่อยตัว ประมาณ 1.6 กม โดยประมาณ แบบไม่ต้องวอร์มเลยทีเดียว เมื่อถึงจุดรวมตัวก็ได้เจอกับพี่พี่ที่ชมรมที่วันนี้มาวิ่งกันทั้งหมด 8 คน โดยลง 30 กม 6 คน 21 กม 1 คน และ มินิ 1 คน
มาพร้อมความมั่นใจเต็มเปี่ยมในวันนี้ |
สืบเนื่องจากการเข้าห้องน้ำที่เป็นเวลา และเลือกสถานที่ ทำให้การออกศึกวันนี้ ก็เกิดอุปสรรคขึ้นจนได้ เมื่อก่อนปล่อยตัว เกิดปวดท้องขึ้นมา และห้องน้ำบริเวณจุดปล่อยตัวก็เต็มไปด้วยแถวยาว ซึ่งทำให้ไม่สนุกอีกแล้วงานนี้ ยังไม่ทันที่จะได้แก้ไขปัญหา เสียงปล่อยตัวก็ดังขึ้น
เลยต้องจำใจวิ่งออกไปแบบขมิบๆ อยู่แบบนั้น ความเร็วไม่ต้องพูดถึงแทบจะ 7 นาทีต่อกม ในช่วง 3 กมแรก ทั้งที่เป็นเนินลง วิ่งไปอึดอัดไปอยากจะเข้าข้างทางให้รู้แล้วรู้รอด พยายามจินตนาการเรื่องต่างๆ เพื่อให้ลืมอาการปวดไปให้หมด ก็ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเค้ามาเป็นช่วงๆ จนกระทั่งเลยป้าย บอกระยะทาง กมที่ 7 จึงได้พบกับห้องน้ำของปั้ม กำลังจะเลี้ยวเข้าไป แต่ก็โดนนักวิ่งหลายคนวิ่งชิงตัดหน้าเข้าไป ยืนอึ้งอยู่ตั้งนั้นพักใหญ่ๆ จึงตัดสินใจฝืนตัวเองออกวิ่งต่อ
กว่าจะลืมเลือนอาการปวดนี้ก็ปาเข้าไปที่จุดกลับตัว กม.ที่ 15 แล้ว ซึ่งก็โดนบอยทิ้งไปร่วม 1 กม โดยประมาณจากสายตา พยายามเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น แถมยังเป็นทางลงเขาเป็นส่วนใหญ่ การทำความเร็วจึงทำได้ตามใจ แต่ก็พยายามควบคุมไม่ให้เร็วเกินไปเพราะจะทำให้จังหวะในการที่จะวิ่งมาราธอนที่ซ้อมเสียไป ช่วงขึ้นเขาก็เบาลง ช่วงลงเขาก็ใส่ชดเชยไป ทำแบบนี้ตลอดทาง จนเหลือ 2 กมสุดท้าย
ระหว่างทางมีการวิ่งบี้ กับนักวิ่งสาวจากเมืองไทย ซึ่งข้าพเจ้า ก็ไล่แซงมาได้ จนเหลือ 2 กมนี่แหละที่เกิดอาการหมด และเริ่มลดความเร็วลง จนโดนแซงไปจนได้ ซึ่งข้าพเจ้าก็มองไม่เห็นบอย จึงไม่มีแรงจูงใจในการวิ่งให้ทันบอยได้ แต่ก็พยายามจนวิ่งเข้ามาใน 3 ชม จนได้ ซึ่งภายหลังจากการตรวจเช็คสถิติ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าข้าพเจ้ายอมฝืนลากวิ่งตาม สาวเมืองไทยประกันชีวิต คงได้เบียดกับบอยอีกเป็นแน่
2กม สุดท้่ายที่เริ่มหมด ภาพจากพี่เวช |
ระยะทาง 30.10 กม
ไช้ ใช้เวลา 3:00:44
บอย ใช้เวลา 3:00:02
ไช้ 6 vs บอย 11
ไช้
11 กันยายน 2011
พี่หนิด พี่ปุ๊ก กับเส้นทางที่แสนประทับใจ |
บทเรียนครั้งนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าไม่สามารถซ้อมระยะยาวให้ได้จำนวนครั้งมากกว่านี้
มาราธอน นี่ไม่สนุกแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น