วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

Race 111 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ตอน 2.2

Race 111 จอมบึงมาราธอน  Darkness Running


จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งใจไว้ ก็ว่าจะวิ่งครั้งนี้ให้ต่ำกว่า 4 ชม. จนกระทั่งมีอาการบาดเจ็บขึ้นกระทันหัน จึงจำเป็นต้องเบนเป้าหมายมาเป็นวิ่งยังไงให้ถึง ต่ำกว่า สถิติครั้งก่อน และร่างกายไม่ให้บอบช้ำ

นี่คือปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง สำหรับการคำนวณแผนการวิ่งใหม่  จากยุทธภูมิที่เคยไปวิ่งที่นี่มาสองครั้งทำให้รู้ว่าตลอดระยะ 24 กม แรก เป็นทางวิ่งที่ค่อยๆ ขึ้นเนิน แต่ตอนที่เราวิ่งไม่รู้สึกตัวเพราะว่าเส้นทางที่มืดทำให้นักวิ่งไม่รู้ตัวว่าวิ่งขึ้นเนิน เคยอ่านบทความที่มีผู้ทดสอบให้คนปิดตาและวิ่งโดยมีคนนำ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ผู้วิ่งไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังวิ่งขึ้นเนิน  สำหรับตัวข้าพเจ้า ก็รู้สึกเหมือนกันกับ 2 ครั้งที่ผ่านมา จนกระทั่ง ได้ขับรถมาสำรวจเส้นทางจึงรู้ว่าเป็นเนินจริง

ทำให้การกำหนดกลยุทธแรก โดย 24 กม แรก ต้องวิ่ง ช้ากว่า 18 กม.หลัง  คือกลยุทธ์ที่ต้องการนำมาใช้จริงในวันนี้  ความเร็ว 24 กม แรก ตอนวางแผนตัดสินใจไม่ได้ เพราะเดิมทีตั้งใจวิ่ง 5.30 ตลอดเส้นทาง แต่เมื่อมีอาการเช่นนี้ จึงต้องอาศัยลองวิ่งจริงดูสัก 1-2 กม ก่อน ว่าจังหวะวิ่งแบบไหน ที่ทำให้ไม่รู้สึกว่าเจ็บ

ส่วน 18 กม.หลัง ต้องเร็วกว่าครึ่งแรก แต่สังเกตุอาการห้ามรู้สึกถึงอาการเกร็ง มิเช่นนั้นตะคริวอาจจะมาอีกก็เป็นได้   เมื่อแผนการ เรียบร้อยแล้ว จึงเข้านอน ตั้งเวลาปลุกไว้ที่ 2.45  เพื่อมาเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ปรากฏว่าตื่นได้ตามแผนการณ์เป๊ะ  แต่เข้าห้องน้ำแล้ว เอาไม่ออก  "กลุ้มใจ ถ้ามากลางทางแบบริเวอร์แคว์ นี่เน่าสนิทเลย"

เพื่อนร่วมทางวันนี้  อาการไข้จากเมื่อวานยังไม่ดีขึ้น ได้ความว่า เมื่อคืนก็นอนไม่ได้ ไข้ขึ้น แต่ด้วยความที่รับปากไว้แล้ว จึงเดินทางมาร่วมวิ่งด้วยกัน   ด้วยความรีบออกจากที่พักเพราะกลัวไม่ทัน ทำให้ลืมหยิบ heart Rate และถุงเสื้อสถาวรมา

เมื่อถึงสถานที่จึงเริ่มวอร์มได้เล็กน้อย อากาศวันนี้ถือว่าเป็นวันที่วิ่งแล้วอากาศเย็นที่สุด 17 องศา ดีนะที่ใส่เสื้อยืดมาด้วยไม่งั้นคงรู้สึกหนาวเป็นแน่แท้

แก้วโครงการ Green ที่ซื้อมา โดนยืดโดยน้องชาย เลยมีความจำเป็นที่จะต้องเอาขวดน้ำมาถือวิ่งแทน
ซึ่งต้องขอบคุณ ที่ทำให้เกิดทริคดีดีในการวิ่งครั้งนี้

4.01 การปล่อยตัวได้เริ่มขึ้น ปีนี้ ดูจากสายตาแล้ว ผู้ลงมาราธอนลดน้อยลงไปอย่างน่าใจหายจากการคาดคะเนด้วยสายตา อาจจะเป็นเพราะว่างานนี้ไม่มีเงินรางวัล หรือว่าปีนี้ มีงานที่จัดชนกับงานนี้หลายงานเหมือนกัน แน่แน่  แต่เมื่อไปเช็คผลจากชิฟ ทำให้ทราบว่าลดลงในจำนวนไม่กี่สิบคนเท่านั้น

จากจุดปล่อยตัว และสถานที่จัดงานที่เปลี่ยนไป ทำให้เส้นทางวิ่งมีทิศทางที่เหมาะมากไม่ต้องปล่อยตัววิ่งตามโค้งเหมือนครั้งเก่าๆ  ซึ่งกลุ่มที่ทำเวลา ก็เร่งสปีดออกตัวไป  สำหรับกลุ่มขามาราธอนที่ไม่แข่งขัน ก็วิ่งเยาะๆ ตามกันออกไป ตามจังหวะของตัวเอง

จังหวะการวิ่งที่ปล่อยออกมาทดสอบแล้วว่าวิ่งได้ไม่เร็วกว่า 6.30 ต่อ กม เพราะเมื่อเริ่มเร็วกว่า อาการขัดเข่าก็ส่งผล จึงต้องปรับจังหวะการวิ่งช้าลง เพื่อให้เกิดการรักษาสมดุลย์  วิ่งไปได้สัก 1 กม. หลังผ่านตัวมหาวิทยาลัย เข้าสู่ถนนตลาด ก็เริ่มมีกองเชียร์ ส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน แต่มาสะดุดกับเพลงเชียร์นี่แหละ ว่า "นักวิ่งเป็นตุ๊ด"  ที่แรกก็ไม่แน่ใจว่าได้ยินผิดหรือป่าว จนกระทั่งมีนักวิ่งที่ถ่ายคลิปมา จึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด แล้วก็ไม่ได้เป็นตุ๊ด ..... 5555+  แหมหมิ่นเหม่แบบนี้ ถ้าเจอนักวิ่งซีเรียส เข้าจะมีการเคืองแน่ๆ ก็วลีดังกล่าว

อีกฟากฝั่งถนนรถติด ไม่แน่ใจว่าเกิดจากการปิดถนน หรือพวกเค้าต้องการจอดรถ เพื่อส่งเสียงเชียร์นักวิ่งก็ไม่ทราบ เพราะตอนนั้นหูอื้อ  เพื่อนข้าพเจ้ามาเล่าให้ฟัง เห็นพี่นง มายืนเชียร์อยู่  _/\_

มาวิ่งจอมบึง 2 ครั้งที่มา พอผ่านตัวเมืองเข้าหมู่บ้านทุกครั้ง ก็ต้องวิ่งท่ามกลางความมืดมิด อาจจะเป็น Darkness marathon อีกแห่งหนึ่งเหมือนที่เคยเจอๆมา แต่ ทุกครั้งที่ผ่านมา ท่ามกลางความมืดมิด ก็มีมิตรเป็นทีมจักรยาน ที่คอยปั่น ให้แสงสว่างเป็นระยะตลอดมา ก็เลยรู้สึกอุ่นใจ กอปกับมาราธอนล่าสุดที่บ้านเพมาราธอน บรรยากาศเรียกว่าคืนเดือนมืด แต่มีจักรยานขับประกบ เป็นระยะๆ ดังเสมือนตัวเองเป็นแนวหน้าอย่างไรอย่างนั้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจ โดยหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังมาเืยือนกลุ่มนักวิ่งโดยไม่รู้ตัว

เมื่อวิ่งมาสุดถึงทางแยกแรกของถนน เลี้ยวแรกของวันนี้ได้เกิดขึ้น เป็นการเลี้ยวซ้าย เพื่อมุ่งหน้าสู่เส้นทาง ถนนจอมบึงมาราธอน ตรงนี้ ยังมีแสงสว่างจากไฟทางเป็นระยะ ๆ จึงทำให้รู้สึกวิ่งไม่ได้เดียวดายจนเกินไป  เมื่อผ่านจุดให้น้ำ ก็หยุดเติมน้ำให้เต็มขวด ก่อนที่จะวิ่งออกจากโต๊ะให้น้ำออกไป

การถือขวดน้ำวิ่ง ในความคิดแรกเหมือนจะเป็นภาระในการวิ่งอย่างมาก เพราะปกติถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากถืออะไรไว้ทั้งนั้น เพราะมันดูเกะกะในแง่ความรู้สึก ที่นี้พอมาคิดมามองในมุมกลับกันบ้าง ในแง่ของความลำบาก ก็สามารถสร้างแสงสว่างขึ้นมาได้เหมือนกัน  น้ำที่ทางจอมบึงจัดให้ทุก 2 กม บ้าง 1 กม บ้าง ทำให้รู้ว่าน้ำที่นี่ไม่ขาด วิ่งไม่ต้องกลัวว่าจะอดน้ำตายเหมือนงานที่ผู้จัดรายหนึ่ง ชอบทำเสมอๆ

ข้าพเจ้าจับจังหวะการวิ่งแบบนี้ คือ ดื่มน้ำทุก 2 กม จากหน้าปัดนาฬิกา และหยุดเติมน้ำที่จุดเติมน้ำเมื่อรู้สึกว่าน้ำพร่องเกินครึ่งขวด อาศัยวิธีนี้ในการวิ่งตลอดทาง ถึงแม้จะเสียเวลาในการเติมน้ำ 3 แก้วต่อ 1 ขวดไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการพัก และคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

กม ที่ 5 เป็นการวิ่งผ่าน ถนนที่ทางแยกที่จะเข้าไปที่ ที่พักของข้าพเจ้าในครั้งนี้ คือ ภูพนารีสอร์ท ทำให้รู้ว่า เส้นทางนี้ ถ้าเลือกเส้นทางในการวิ่งไปที่ ม.ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ควร ไปเส้นทางที่เรากำลังจะผ่านไปดีกว่า เพราะระยะทาง ไม่ถึง 4 กม. จะถึงปลายทาง

เมื่อวิ่งมาถึง กม. ที่ 8 ที่แยกด่านทับตะโก เป็นเส้นทางที่ต้องเลี้ยวขวา มุ่งหน้าสู่ถนนเส้น 3274 เส้นทางแห่งความมืด  ปีนี้ ถือเป็นปีที่ดีของการวิ่งสนามนี้ จากสภาพอากาศที่เย็นลง ทำให้สามารถวิ่งด้วยความสุข  จากบรรยากาศกองเชียร์ที่อบอุ่น น้ำที่มีตลอดเส้นทาง บรรยากาศที่สนุกสนานเป็นกันเองระหว่างทางของเพื่อนนักวิ่ง  แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป คือ จักรยานที่ขับประกบ ปีนี้ แทบจะไม่เห็นเลย ในเส้นทางที่ยังสว่างนั้นยังไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งความมืดนั้นความรู้สึกต่างๆ ประดังเข้ามาเป็นระยะ  ถ้าล้มลงไป ใครจะเห็นเราไม๊น้า เพราะแค่ข้าพเ้จ้าวิ่งตามเพื่อนนักวิ่งแค่ 3-4 ก้าว ก็มองไม่เห็นแล้ว  รถพยาบาลก็ไม่เห็นเลย  ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่า การจัดงานในปีนี้ประมาทและไม่ใส่ในใจในเรื่องความปลอดภัยให้แก่นักวิ่งเลย  ทางผู้จัดควรจะต้องหาวิธีการมาดำเนินการให้สมกับคำว่า จอมบึง 1 ในสนามมาราธอนที่ดีที่สุด  เพราะเมื่อนำมาเทียบกับงานบ้านเพมาราธอน ที่ข้าพเจ้าไปวิ่งมาเมื่อปลายปี ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็ม 10 ในเรื่องการดูแลความปลอดภัยให้แก่นักวิ่งตลอดเส้นทาง

การวิ่งในช่วงนี้ยังเป็นไปในจังหวะแรกอย่างสม่ำเสมอ ตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่คาดหวังไว้ตอนกลับตัวที่จะเร่งความเร็วยังเป็นปริศนาอยู่ว่าจะสามารถดำเนินการตามแผนการไปได้หรือไม่ ผ่าน 13 กม แรก ดูเหมือนสภาพร่างกาย เครื่องจะติด เมื่อวิ่งผ่านไป 1 กม จึงต้องเบรคความรู้สึกให้เบา ๆ  ท่องไว้ "วิ่งช้าถึงเร็ว   ถ้าวิ่งจะถึงช้า"  ดังที่โฆษก ยุทธการ ประกาศก่อนปล่อยตัวมาราธอนวันนี้  เป็นการข่มความรู้สึกที่อยากปลดปล่อยพลัง เหมือนกับครั้งที่วิ่งมาราธอนที่บ้านเพ ที่วิ่งด้วยการข่มความรู้สึกอยากเร่ง ซึ่งสามารถทำได้และผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจ

กม ที่ 15  เมื่อเลี้ยวเข้าสู่แยก เบิกไพร  จึงได้พบ รถพยาบาล เป็นครั้งแรกของวันนี้  "เอ่อ ถ้าคนไปเจ็บกลางทาง  เค้าต้องแบกร่างกลับมารักษาเองไม๊หนอ  หรือว่าต้องไปเรียกเดนเด้ จากดาวนาแม็ก มาช่วยก็ไม่รู้"  เอาว่ะ มีสักคันก็ยังดีกว่าไม่มี ใจคิดไปอย่างนั้นเพื่อสงบความโกรธาที่เกิดขึ้นชั่ววูบ หวังว่าจะไม่ได้เห็นภาพนักวิ่งที่โชกเลือด เหมือนเมื่อครั้งเขาชะโงก 53 นะ

ยิ่งวิ่งเข้าไปในส่วนถนนจอมบึงมาราธอน อากาศยิ่งเย็น ยังดีที่ว่าวันนี้ตัดสินใจใส่เสื้อยืดไว้ชั้นนึงก่อนเสื้อชมรม ทำให้ไม่รู้สึกเย็นจนเกินไป   แต่หากมองในมุมกลับ ถ้าอากาศวันนี้ไม่เย็น คงเป็นการวิ่งที่ร้อนน่าดูเลย  มนุษย์เรานี่ไม่มีความพอดีเลย อยากให้เป็นโน้น ให้เป็นนี่ ไปหมด

แปลกมาก วันนี้เพื่อนร่วมทาง บอย ซอยซีดส์  หายไปไหนไม่รู้ ไม่เห็นเลยหลังจากปล่อยตัว แว๊บเป็นนินจา ฤ ที่บอกว่าปล่อยจะเป็นกลยุทธ์มาทำให้เหยื่อตายใจ คิดในใจ เดี่ยวคงเจอตอนกลับตัวแน่ๆ

กม.ที่ 17  กลุ่มแนวหน้าผ่านไปแล้ว ด้วยความมืด เห็นแว๊บๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นน้องเบิรด์ แต่หลังจากนั้นมาคิดได้ว่า เมื่อคืนเห็นน้องเค้าออนเฟซ อยู่ที่สุราษฏร์อยู่เลย แล้ว เค้าคนนั้นคือใครกันแน่ เป็นที่ฉงนสงสัย (มารู้ความจริงเมื่อวิ่งเสร็จ คือพี่โอภาส ที่กลับมาวิ่งอีกครั้ง)  จากนั้นก็เจอโชติ สิงหา ที่วิ่งผ่านไป โอ้วเราวิ่ง 17 กม  แต่เทพทั้งหลาย ผ่าน 32 กม ไปแล้ว สงสัยข้าพเจ้าต้องไปฝึกอีกหลายชาติกว่าจะมีฝีเท้าจัดแบบนี้

กม ที่ 18-23 ยังต้องเป็นจังหวะวิ่งที่ยังต้องควบคุม ทั้งความเร็วและความอยากในจิตใจ ที่เห็นเพื่อนคนแล้วคนเล่า กลับตัวผ่านไป  ในแสงไฟที่สลัว ที่เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง เป็นการข่มความรู้สึกในด้านลบอีกครั้งของงานนี้  ซึ่งสามารถควบคุมตัวเองได้เพียง กม.ที่ 22  ความอยากก็สามารถเอาชนะมุมมองด้านบวกของข้าพเจ้าลงอย่างพังทลาย

สิ่งที่กังวลก็ได้พบจนได้เมื่อพบนักวิ่งหลายคนมีเลือดไหลออกมาจากเข่าและหัวไหล่ เดาว่าน่าจะสะดุดแล้วล้ม  นี่เค้าจะต้องทนวิ่งท่ามกลางเลือดไปจนถึงตรงแยกเบิกไพร ซึ่งห่างจากที่นี่อีก 8 กม เลยหรือ

พยายามข่มใจทำเป็นไม่เห็น เพื่อสงบจิตสงบใจและตั้งสมาธิในการวิ่งใหม่ โดยไม่สนใจสิ่งที่ได้เห็น การเร่งจังหวะขึ้นเพื่อดูความสามารถควบคุมจังหวะของตัวเองที่จะต้องวิ่งต่อไปอีก 20 กม. แต่แปลกใจ ยังไม่เจอ บอย  อีกเลย จนกระทั่งเลย กม ที่ 24 และกลับตัวมาได้ 200 เมตร ก็เจอกับบอยจนได้ ที่วิ่งตามหลังมา ก็เลยประหลาดใจว่าข้าพเจ้าแซงมาตอนไหน แต่ยังไม่ทันได้ถาม ก็ได้คำตอบมาโดยพลัน  "ขี้แตก ท้องเสีย แวะ กม ที่ 15 อยู่"  เป็นคำตอบที่ทำให้แทบจะสำลักออกมา เพราะข้าพเจ้าก็เคยเป็นและยังกลัวอยู่ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวในวันนี้ เพราะภาระกิจในตอนเช้าที่จะต้องทำเมื่อตอนเข้าห้องน้ำ ล้มเหลว โดยสิ้นเชิง

แสงสว่างเริ่มรำไร เมื่อกลับตัวมา แสงแรกของวันช่างงดงามยิ่งนัก ยิ่งเมื่อมองผ่าน ไร่ สวน ของชาวบ้าน ผ่านช่องเขา ไป ที่ดวงอาทิตย์ที่กำลังเริ่มเบ่งบาน ความสดใน บวกกับอากาศที่เย็นสบาย ถือว่าเป็นเช้าที่งดงามน่าจดจำอีกวันหนึ่งในชีวิต

จุดที่ประทับใจในวันนี้ ที่่ต้องกล่าวคำว่าขอบคุณแรงๆ ให้กับคุณยาย ที่นั่งรถเข็นออกมาเคาะรถ เชียร์นักวิ่งที่ผ่านหน้าบ้านของคุณยาย  ทำให้รู้ว่า น้ำจิตน้ำใจของคนที่นี่ ไม่มีวันเหือดแห้งไปจริงๆ วิ่งผ่านไปอาจมีน้ำตาคลอเบ้า ซึ่งคงไม่มีใครเห็น เพราะฟ้ายังสลัวๆ อยู่

ความเร็วหลังกลับตัวในวันนี้ อยู่ในช่วงค่าเฉลี่ย 5.35-5.45  ซึ่งเป็นความเร็วที่วิ่งแล้วไม่รู้สึกโหย ไม่รู้สึกเหนื่อย  การกลับตัวและสามารถวิ่ง negative ได้ช่างเป็นอะไรที่สุขโดยแท้  หลังจากประสบการณ์ปีก่อนสอนให้รู้ว่า เร็วแต่ไม่สม่ำเสมอหรือไม่อดทน สู้ช้าอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอไม่ได้

ปีก่อนหลังจากที่ตะคริวขึ้นที่ กม ที่ 37 แล้วต้องหยุดเพื่อเดิน โดยที่มีเพื่อนๆ วิ่งผ่านไปคนแล้วคนเล่า บ้างหันมาทัก บ้างหันมามอง มันช่างกัดกร่อนความรู้สึกในใจ เหมือนปมชีวิตที่เกิดขึ้น ที่จะต้องตัดปมนี้ออกไปให้ได้ในครั้งนี้

จังหวะการวิ่งในครั้งนี้สามารถ เร่งแซงเพื่อนนักวิ่งคนแล้วคนเล่า แต่เราจะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีเป็นอันขาด จึงตัดสินใจไม่ทักใครเลย ถ้าเค้าไม่ทักเราก่อน ในช่วงที่วิ่งแซง  ทำให้เกิดเป็นความรู้สึกที่ดี ที่รู้สึกไม่ทำร้ายใคร และยังทำให้ยิ่งฮึกเหิมในการวิ่งมาก ยิ่งวิ่งแรงแต่ความเร็วไม่ตก รู้สึกมันส์มาก  แต่ระหว่างวิ่งก็ยังไม่ลืม กม ที่ 37  จนกระทั่งผ่านจุดนั้นไปได้

นาทีนี้ รู้แล้วว่า วันนี้ ตะคริว ไม่มาแน่  การวิ่งยาวเมื่อเดือนธันวาคม ส่งผลให้เกิดความแข็งแรงในวันนี้ บวกกับทัศนคติในด้านบวก และการประมาณตน ทำให้เริ่มคำนวณระยะทางและเวลาที่เหลือทันที โดยเป้าหมายที่แวบเข้ามาอยู่ที่การทำ New PB มาราธอนครั้งนี้ให้ได้ เพื่อที่จะได้ Record ว่าวิ่งมาราธอนที่นี่ เวลาดีขึ้นทุกปี ระยะทาง  37 กม กับ เวลา 3:49:00 นาที เป็นเวลาที่เมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นเวลาที่แย่กว่ามากมาย 37 กม  กับเวลา 3:37:00 นาที ซึ่งจริงๆแล้วปีที่แล้วเวลาควรน้อยกว่านี้อีก ถ้าไม่เบาเครื่องตรง กม ที่ 35 เพื่อยืดเมื่อเกิดอาการตึง    ความต่างกันถึง 12 นาที

กลับมาที่ 5 กม ที่เหลือ กับ 30 นาที  ถ้าเป็นครั้งก่อนในการวิ่งมาราธอน คงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในครั้งนี้ แรงยังเหลืออีกเยอะ จึงวิ่งคุมจังหวะที่ 5.50 ไป จน ถึง กมที่ 41 จึงเริ่มเร่งสปีดขึ้น เป้าหมายอยู่ที่สีเสื้อสีส้มดำ ซึ่งจำได้ว่าคือทีม สยามรันเนอร์ ทีมที่ซ้อมสนามเดียวกัน จึงเร่งๆ ๆ ไปจนทันเมื่อผ่าน กม ที่ 42 นิดๆ และสามารถแซงก่อนเข้าเส้นชัยได้อีกครั้ง ปรากฏว่าเป็นพี่บุ้ม น้องสาวพี่ฉิม   นี่ตรู ชนะผู้หญิงอีกแล้วหรือนี่  ก่อนเข้าเส้นจริงๆ เห็นหนุ่ยกับพี่น้อง นั่งถ่ายรูปรออยู่ เลยโยนขวดน้ำที่ถือวิ่งไปให้หนุ่ยเก็บไว้ เพราะอยากมีรูปที่ไม่มีขวดโฆษณาให้เค้าบ้างในงานนี้

4.21.16  คือเวลาจากนาฬิกาตัวเองที่จับได้ กับระยะ 42.60 กม.  เป็นมาราธอนที่ดี อีกมาราธอนหนึ่ง ทั้งในแง่ความรู้สึก และ เวลาที่ออกมา  ถึงแม้ว่าจะวิ่งสู้เพื่อนๆ อีกหลายคนไม่ได้ แต่เราสามารถทำ My Best Time ของตัวเองได้ก็ดีแล้ว

สิ่งที่ผิดพลาดในครั้งนี้ คือ เรื่องของนาฬิกา GPS เพราะหลังจากจะนำไปโหลดเข้า Garmin Connect ปรากฏว่าโหลดไม่ได้ มี workout error อยู่   ดีที่ว่าทุกการวิ่งมาราธอน เราไม่เคยประมาท เพราะใช้มือถือเปิด Endomondo เพื่อ Record ควบคุ่ ไปด้วยกันเสมอ แต่ติดที่ว่าระยะจากโทรศัพท์มัน 42.80 จึงต้องแก้ไขให้ตรง เพราะข้าพเจ้าเชื่อถือนาฬิกามากกว่า

เมื่อเข้าสู่เส้นชัย และรับเหรียญที่ระลึก ทองอร่าม มิได้เป็นพระ เฉกเช่นปีก่อน ก็เข้าไปสู่บริเวณโซน นักวิ่งมาราธอนที่แยกไว้ต่างหาก รับกล้วยไม้มาคล้องคอและเสื้อผู้พิชิตเรียบร้อย จะเข้าไปหาของกิน ปรากฏว่า "หมด" เวรกรรม แล้วจะแยกซุ้มไว้ทำไมหนอ  ยังดีที่ได้น้ำมะพร้าว กับ น้ำส้ม และถ้วยเขียวหนึ่งถ้วยมาดับกระหาย

เพื่อนที่วิ่งมาราธอน ถามผมว่า หมูหันย่าง ยังมีอยู่ไม๊  ผมหันไปมอง แล้ว ตอบว่า มันมีด้วยเหรอ ก่อนที่จะต้องก้มหน้า แบกท้อง ออกไป เผื่อรอสมาชิก ที่กำลังจะเข้ามาก่อนที่จะต้องไปหาอะไรบริโภค เพื่อเติมสารอาหารให้แก่ร่างกายให้ได้ก่อน 2 ชม. ให้ได้


ว่าจะให้อภัยและลืมๆ ไป อยู่แล้วเชียว  งานนี้  ดันตายทั้งตอนเย็นวันเสาร์  ตอนวิ่ง และตอนวิ่งเสร็จ จนได้ จอมบึง 56



ระยะจริง 42.60
ไช้   ใช้เวลา  4:21:16
บอย  ใช้เวลา  4:4X:XX

ไช้ 17  บอย 25   ใกล้เข้ามาอีกนิด ถึงแม้เพื่อนจะป่วย ผมก็นับนะ


วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

Race 111 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ตอน 2.1

Race 111 จอมบึงมาราธอนครั้งที่ 28  ตอน พรีวิวก่อนวิ่ง

ด้วยปณิธานตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงวิ่งมาราธอนสนามแรก ณ ม.ราชภัฏจอมบึง เสร็จสิ้นลง ก็ได้ให้ปฏิญาณกับตัวเองว่า ถ้าหากร่างกายไม่บาดเจ็บจนวิ่งไม่ได้ ยังไง ขอมาลงสนามมาราธอนที่นี่ให้ครบ 3 ครั้งให้จงได้ 

ซึ่งก็สามารถบรรลุเป้าหมายแล้วมา 2 ครั้ง ซึ่งเมื่อครั้งที่แล้ว เกือบจะทำปาฏิหารย์วิ่งต่ำกว่า 4 ช.ม. ได้แล้ว หากว่า คุณตา Q ไม่มาเคาะประตูหน้าบ้านเสียก่อน สำหรับการเตรียมตัวมาราธอนในครั้งนี้ ยอมรับเลยว่าการซ้อมนั้นไม่ได้ซ้อมตารางมาราธอนเลย ซึ่งต่างจากปีก่อน ที่ซ้อมด้วยตารางมาราธอน วิ่งยาวเป็นว่าเล่น  ซึ่งปัจจัยนึงที่ทำให้ไม่กล้าที่จะซ้อมยาว ก็คือ รองช้ำอักเสบ

ก่อนมาแข่งที่จอมบึงในครั้งนี้ ซ้อมยาวที่สุดก็คือ 41 กม. แต่เป็น Event ของการแข่งขัน บ้านเพ มาราธอน ซึ่งใช้เวลาไป 4.44 ชม.  นี่คือการซ้อมยาวที่สุด เมื่อ ต้นเดือน ธ.ค.  หลังจากนั้นก็มีไปแข่งระยะฮาล์ฟ บ้าง เพื่อเก็บระยะให้กับร่างกายอีก 2-3 รายการ ซึ่งรายการสุดท้ายก่อนมาที่จอมบึง ก็คือ บางขุนเทียน มินิฮาล์ฟมาราธอน ซึ่งสามารถทำ New PB ระยะฮาล์ฟได้ ทำให้ความมั่นใจในการวิ่งมาราธอนครั้งนี้กลับมามีความหวังอีกครั้ง

สัปดาห์สุดท้ายก่อนมาราธอน เข่าก็กลับมาเจ็บอีกครั้ง จึงต้องลดการซ้อมลงเพื่อลดอาการบาดเจ็บแต่ก็ต้องซ้อมเพื่อรักษาสภาพความฟิตไว้ จนวันศุกร์ หลังงดซ้อม อาการก็เหมือนจะดีขึ้น ไม่มีอาการขัดเข่าแต่อย่างใด จึงเริ่มมั่นใจสำหรับการแข่งขันในปลายสัปดาห์นี้ขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้ตั้งความหวังที่จะทำลายสถิติ ปีที่แล้วลงให้ได้ ด้วยสภาพที่สมบูรณ์

เช้าวันเสาร์ เวลาตี 5 ครึ่งเป็นเวลาเดินทางออกจากกรุงเทพ สถานีปลายทาง อ.จอมบึง ราชบุรี สำหรับสถานีระหว่างทาง แบ่งออกเป็นโปรแกรมแรก  แวะเที่ยวที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ซึ่งที่แรกนี่แหละที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจขึ้นอีกครั้ง  ระหว่างนั่งรถ เหมือนกับว่าหัวเข่าจุดเดิมจะนั่งผิดท่าหรือไปกระแทกก็ไม่แน่ใจ เพราะตอนที่ลงรถ เท้าสัมผัสกับพื้นครั้งแรก อาการเดิมก็กลับมาอีกครั้ง ระหว่างเดินหาข้าวทาน พยายามทั้งดัด ทั้งคลึง ก็ยังไม่สามารถบรรเทาอาการลงได้ ในใจจึงได้แต่ภาวนาไม่ให้มันมีอาการแย่ลงไปกว่านี้ และพยายามลืมมันให้ได้  ซึ่งระหว่างกำลังพะวัง ก็เจอคุณต่อ เดินอยู่ เข้าไปทักทาย ได้ความว่า ส่งคุณโจ้ ลงเรือ ไปล่องเรือหารักอยู่  พี่เค้าเลยรออยู่บนฝั่งแทน เพราะล่องมาเยอะแล้ว

เมนูแนะนำ ก๋วยจับ และ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด
การเดินทางท่องเที่ยวที่ตลาดน้ำดำเนิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มาเยือนที่นี่ ตั้งใจว่าจะเยือน โดยการเดินชมให้ทั่ว  แต่ดุ้มๆ มองๆ อ้าวเฮ้ย เดินไม่ได้นี่หว่า เส้นทางต้องลงเรืออย่างเดียว  บอยหาข้อมูลมาได้ว่า ถ้าลงเืรือ ราคาเหมาคือ 400 บาท ซึ่งทั้งกลุ่มมองว่าแพงไปจึงได้แต่พยายามหาที่เดินจนไปสุดถนน จนรู้สึกหิว เลยแวะหาก๊วยเตี๋ยวทาน ก็มาเจอ ร้านนี้  ซึ่งรสชาต อร่อย  ราคาชามละ 30 บาท  หลังจากอิ่มก็เดินสำรวจอีกเผื่อจะเจอทางเดิน จนเจอคุณป้าที่ท่าเรือ ตะโกนบอก เหมาหรือมััย เราก็ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าแพงไป แต่มาสะดุดตรงคำว่า 200 บาทนี่ ทำให้ หันควับ ทันที  พร้อมกับตอบตกลง เฉลี่ยคนละ 50 บาท พอจ่ายไหว

ชิมน้ำตาลสด กับ สำรวจกรรมวิธีการทำ

เรือที่ลงไปเป็นเรือพาย ซึ่งระยะทางประมาณ 2 กม ที่จะได้เข้าไปดู ร้านขายของริมข้างคลองที่ดูเสมือนเน้นการขายให้ชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย เต็มไปหมด มีทั้งร้านที่กำลังเปิด ร้านที่เปิดเรียบร้อยแล้วและร้านที่ยังปิดอยู่  แน่นอน มันเป็นเวลา 7.00 น เอง ปลายทางของคลองเป็น อุตสาหกรรม SME ย่อมๆ มีของที่ระลึกในร้านขายอยู่มากมายและที่สำคัญมีน้ำตาลมะพร้าวสด เลี้ยงด้วย  ได้เข้าไปดูเตาที่ต้มน้ำตาลสด ที่กำลังระอุอยู่ 
หุ่นก่อนอำลาจากจุดทานน้ำตาลสดฟรี
จากนั้นจึงมาลงเรือ เพื่อเดินทางออกมาจากจุดนี้กลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง



ครก หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในร้าน
ณ ตอนนี้ คุณป้าพายเรือออกมาเริ่มประสบปัญหากับเรือเครื่องที่บรรทุกฝรั่งมา ทำให้ต้องหลบตลอดเส้นทาง  คุณป้าแข็งแรงจริงๆ พายเรือได้โดยไม่มีอาการเหนื่อยแม้แต่น้อย เมื่อเดินทางมาถึงฝั่ง ก็เริ่มคิดถึงโปรแกรมที่สองที่จัดโดยคุณบอย  ตอนแรกคุณบอย จะชวนไปดูหนังใหญ่ ตอน 10 โมง  แต่เมื่อถามผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน ไม่มีเสียงตอบรับใดใดออกมา  สงสัยสมาชิกจะไม่ชอร์ต เลยยกเลิกงานนี้ มุ่งหน้าสู่ พิพิธภัฑณ์หุ่นขี้ผึ้งสยาม แทน


องค์พระจำลอง
บรรยกาศภายใน เป็นธรรมชาติมาก มีทั้งหุ่นขี้ผึ้ง แบบจำลองบ้านเรือนไทย วัดวาอาราม เหมาะแก่การไปหาความรู้ ถ่ายภาพ และพักผ่อนเป็นอย่างมาก เป็นอีกที่ที่ควรไปเยือน บัตรผ่านประตู 50 บาทเท่านั้น ด้านในนอกจากจะมี สิ่งที่กล่าวมาแล้ว ยังมีห้องน้ำที่เยอะมาก รวมกับร้านกาแฟ ภายใน และที่นั่งทาน บรรยากาศชิวๆ เหมาะกับคอกาแฟ ที่จะมานั่งเล่น ระหว่างรอการเยี่ยมชมแต่ละสถานี









พื้นที่ภายในพิพิธภัฑณ์ น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 45 ไร่ การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่ไกลมาก ถ้ามีโอกาส ก็น่าจะไปลองทัศนากันดู

จะได้รู้ว่าพิพิธภัฑธ์หุ่นขี้ผึ้งไม่ได้มีที่นครปฐมที่เดียว


จากนั้นจึงเริ่มเดินทางเข้าที่พัก เพราะความไม่แ่น่ใจในสถานที่ตั้งสักเท่าไหร่    ซึ่งก็ใช้เวลาพอสมควรในการเดินทางไปจนถึงจุดหมายปลายทาง มีหลง มีเลยบ้างนิดหน่อยตามประสา  ซึ่งยังคุยกันอยู่ในรถเลยว่าถ้าเราเดินทางมากลางคืน คงเหวอ แน่ๆ  เพราะเส้นทาง ไม่น่าจะมีที่พักอยู่ได้เลย


เมื่อจัดการเรื่องที่พักหลับนอนเรียบร้อย แล้ว จึงมุ่งหน้าสู่ ม.ราชภัฏจอมบึง เพื่อดำเนินการสมัครวิ่ง ซึ่งถึงตอนนี้ เริ่มเกิดอาการลังเลขึ้นเล็กน้อย จากอาการบาดเจ็บของตัวเองและอาการป่วยของเพื่อนบอย ผู้ร่วมวิ่งที่มีอาการเป็นไข้  


ปีนี้สถานที่จัดงานย้ายจากสถานที่เดิม ไปอีกฟากฝั่งถนนนึง แต่พวกเรายังจอดรถและเดินทางไปที่เดิม ปรากฏว่าไม่เจออะไร ยกเว้น "ตลาดนัด"  จึงต้องตีเนียนถามนักศักษาสาวๆ ในนั่น จนได้ความว่าอยู่อีกฝั่ง จึงเดินไปสู่สถานที่จัดการใหม่  จัดการสมัครวิ่ง ตามที่ตั้งใจไว้เรียบร้อย เมื่อเวลา 13.00 จึงรู้สึกหิว เลยต้องรีบเดินทางออกไปหาอะไรรองท้องโดยด่วน  ซึ่งจริงๆ แล้วโปรแกรมที่ 3 คือ บ้านหอมเทียนและเยี่ยมสวนผึ้ง  จากความหิวของข้าพเจ้า จึงทำให้ต้องหาที่ทานโดยด่วน ซึ่งร้านแรกที่แวะเข้าไปคือ ก๋วยเตียวไข่คุณยาย เข้าไปนั่งรอสักพัก รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณเลยว่า อีก 1 ชม ก็อาจจะไม่ได้กิน เพราะมากกว่าครึ่งร้านกำลังนั่งรออยู่ และไม่มีใครสนใจเราเลย จึงตัดสินใจเปลี่ยนร้าน

ร้านอาหารชื่อ "ไปกันใหญ่" คือร้านที่ได้เข้ามาทานจริงๆ ซึ่งเมื่อทานแล้ว ก็รู้สึกว่าไปกันใหญ่จริงๆ  เพราะรสชาด ไม่โดน  และคงจะไม่เข้ามาอีกแน่นอน ถ้าไม่หิว  เมนูที่สั่งก็ธรรมดา  

ปลากระพงทอดน้ำปลา (ปรากฏว่าหวาน แต่มีน้ำปลามาให้ราด)

ผัดผักบล็อคโคลี+ถั่วลันเตา  (เยอะโคตรแต่หวาน)

ต้มยำไก่บ้าน  (ไก่มามีแต่เนื้อๆ ไก่บ้านตรงไหนหว่า)  

ไข่เจียวภูเขาวุ้นเส้น (เอาวุ้นเส้นไปทอดกับไข่ โปะ บล็อคโคลี่+ถั่วลันเตาผัดซอสมะเขือเทศ) 

สรุปรสชาด คงทำสำหรับขายฝรั่งหรือกรุ๊ปทัวร์อย่างเดียวแน่แน่

เมื่อท้องอิ่ม การท่องเที่ยวก็เริ่มต่ออีกครั้ง ปลายทางในวันนี้ คือ สวนผึ้ง เพื่อเข้าไปดู มนุษย์หินฟริ้นสโตน แต่ปรากฏว่า ที่นี่เค้าเปิดให้เข้าไปชมและถ่ายรูป เฉพาะช่วงเวลา 12.00-14.00 เท่านัี้น  จึงได้แต่เดินดูรอบๆ เท่านั้น ที่นี่ ได้เจอกับพี่เล็ก แม่น้องเรียว มาถ่ายรูปเล่นเช่นกัน

ณ หน้าห้องน้ำ
จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พัก เพราะรู้สึกง่วงและเพลีย แต่ระหว่างทางก็ยังมิวาย ที่จะต้องแวะ เพื่อสัมผัส กับโมอายคอฟฟี่ สักหน่อย คราวก่อนมาก้ไม่ได้แวะ คราวนี้เลยต้องแวะถ่ายรูปสักหน่อย เดี่ยวจะมาไม่ถึงราชบุรี อีกทั้งรอเวลาที่จะกลับไปจอมบึงอีกครั้ง เพื่อไปรับเพื่อนๆ จากชมรมที่พักที่เดียวกัน เพราะถ้าปล่อยเ้ข้ามาเอง มีหลงแน่นอน

18.00 จึงเดินทางออกจากที่พักอีกครั้ง เพื่อไปสถานที่จัดงาน ใจนึงก็อยากไปกินข้าวเย็นด้วย และอีกเรื่องก็คือไปรับเพื่อนๆ กลับบ้าน  เมื่อไปถึงเผอิญวุ่นๆ กับเรื่องขายเสื้อ และเรื่องสมัครวิ่ง Green Runner

ซึ่งสรุปว่าไม่มีใครได้กินข้่าวที่งาน เพราะไม่รู้ว่าเค้าแจกให้กินตรงไหน T_T

เลยสรุปกันว่า ไปหาซื้อข้าวเหนียวไก่ย่าง ข้าวหลาม กลับบ้านกินดีกว่า ซึ่งก็ได้ยุทธปัจจััยครบ สำหรับพร้อมรบในวันพรุ่งนี้

ก่อนนอนไม่ลืมเช็คอาการเจ็บ เห้อ ยังเจ็บเหมือนเดิม  ก่อนนอนต้องล้มแผนที่วางไว้ วางใหม่อีกแล้ว

ค่อยตอน 2.2  วิ่งจริงซะที พล่ามมานาน

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

Race 110 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ภาค 1

Race 110  บางขุนเทียน ไลอ้อนส์ มินิ ฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 1



คุณเคยตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด เป้าหมายนั้นก็ยังไม่บรรลุเสียที จนทำให้บางครั้งเกิดอาการหดหู่ เบื่อ เซ็ง และเลิกล้มความตั้งใจในที่สุด

นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ตัวข้าพเจ้าเอง ในช่วงก่อนหน้านี้ อาการที่กล่าวมาข้างต้นกำลังเกิดกับตัวเองอาการเบื่อรวมกับอาการบาดเจ็บรองช้ำ ที่เป็นมาตั้งแต่ต้นปี ช่างกัดกินหัวใจนักสู้อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะซ้อมอย่างมีเป้าหมาย หรือไม่มีเป้าหมาย พักเพื่อให้อาการบาดเจ็บ หายขาด  เวลาผ่านไป มันก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าจะดีขึ้น





โค๊ชก็คุยหลายครั้งแล้วว่าให้เข้าโปรแกรมได้แล้ว แต่ตัวข้าพเจ้าก็ได้แต่นิ่ง เพราะรู้สภาวะจิตใจของตัวเอง อยู่ ว่าไม่ชอบการทำอะไรโดยเสมือนถูกบังคับให้ทำ



จนกระทั่งความรู้สึกกระหายก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้เข้าไปอ่าน ข้อความในกลุ่ม We love Sathavorn Running Club  ซึ่งเป็น กลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน หรือวิ่งแบบไม่มีโค๊ช ในการให้คำแนะนำ และควบคุมการซ้อม จัดตั้งกลุ่มและ เข้ามาโพสต์โปรแกรม ที่ได้รับจากโค๊ชสถาวร มีการทำและส่งการบ้านจากตารางซ้อมที่ได้รับ มีการจับกลุ่มวิเคราะห์โปรแกรมแต่ละโปรแกรม อย่างละเอียด จดทุกคำพูด จดทุกคำแนะนำจากรุ่นพี่ ทุกคน เสมือนหนึ่ง นักเรียนรุ่นเฟรชชี่ ปี 1 ที่กำลังสนุกสนานกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้า ขณะที่ไฟเริ่มมอด กลับมีความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง กับการซ้อม

นอกจากนี้การวิ่งแข่งขัน ในกลุ่ม Social  Endomondo ก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำข้าพเจ้ากลับเข้าสู่ภาวะความตื่นตัวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณกลุ่มนี้ ที่มีเรื่องเฮฮา มาให้ตลอด



หลังจากมีความรู้สึกกระตุ้น มีความอยากกลับมา ข้าพเจ้าตั้งปณิฐานว่า ข้าพเจ้าจะไม่สนใจอาการบาดเจ็บรองช้ำอีกแล้ว จะวิ่งไปแบบนี้ จึงได้เริ่มเข้าสู่โปรแกรม แบบ ลับๆ โดยอาศัยลอกการบ้านที่ โค๊ชสถาวร แจกให้กับกลุ่ม We love มาซ้อมวิ่ง  ซึ่งได้ลอกโปรแกรมการวิ่ง 10K ของกลุ่มมาซ้อม เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการกลับมาซ้อมครั้งนี้ อยู่ที่ รายการ ดรุณานารี ที่อัมพวา ตั้งใจจะขอทำ 10K ที่ดีที่สุดให้ได้ในปีนี้

ซึ่งหลังจากเริ่มซ้อมโดยมีตารางซ้อม ก็ สามารถซ้อมตามโปรแกรมได้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ทางกลุ่ม ก็มีรายการที่ทาง โค๊ชนัดไปทดสอบและประเมินผลการซ้อมกันที่ บางขุนเทียน  ซึ่งจริงๆ แล้วก็อยากที่จะทดสอบระยะมินิ กับเพื่อนๆ เหมือนกัน แต่ โปรแกรมที่วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อปีก่อน คือจอมบึงมาราธอน รออยู่เลยจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนระยะไปที่ 21K แทนเพื่อใช้ปรับสภาพร่างกายให้พร้อมกับการวิ่งยาว อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

จอมบึงมาราธอน เป็นรายการที่ข้าพเจ้าตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะขอวิ่ง มาราธอน ให้ครบ 3 ปี ติดกัน ซึ่ง หลังจากครบก็ค่อยว่ากันอีกที โดยปีนี้ จะเป็นปีที่ 3 ที่ข้าพเจ้ามาวิ่งที่นี่   โดยครั้งแรก วิ่งจบมาราธอนแรกด้วยเวลา 5.2X.xx  และครั้งที่ 2 ด้วยเวลา 4.2X.xx  สำหรับครั้งที่ 3 นี่ เป็นการวิ่งที่ไม่คาดหวังที่เวลาที่จะต้องดีขึ้น แต่คาดหวังสภาพภายหลังการวิ่งที่ต้องมีสภาพที่ช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นภาระใคร

บางขุนเทียน อีเวนต์นี้ จัดขึ้นที่ วิทยาลัยวัดปทีปพลีผล  โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรก  แต่ไม่ใช่ครั้งแรก ของถนนเทียนทะเลเส้นนี้  พูดถึงการแข่งขันครั้งก่อนที่ใช้ชื่อว่า บางขุนเทียน มินิฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 1 จัดเมื่อต้นปี 53  ที่จัดที่ โรงเรียนพิทยาลงกรณ์ แล้ว ก็ทำให้ย้อนคิดไปว่า นี่เราวิ่งมาครบ 3 ปีแล้ว กาลเวลาช่างผ่านไปเร็วมาก

ในครั้งก่อนเป็นการปล่อยตัวจากถนนด้านใน ออกมาด้านนอก  โดยถนนช่วงออกจากโรงเรียน จนถึง สน เทียนทะเล ยังเป็นพื้นที่แข็งกระด้างต่อการวิ่งมาก  ซึ่งเมื่อก่อนวิ่งใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ ใครให้วิ่งที่ไหนก็วิ่ง  จนวิ่งมาครบ 3 ปี ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า  ถ้าต้องการรักษาสุขภาพขา สุขภาพเท้าให้สมบูรณ์ควรที่จะเลือกสนามวิ่งด้วย  สนามที่ควรหลีกเลี่ยงคือ คอนกรีต  ซีเมนต์ เพราะมันส่งผลต่อข้อต่อ และกระูดูกของเรา

นอกจากงานในครั้งนั้นแล้ว ถนนเส้นนี้ เมื่อปีก่อน ยังมาใช้บริการบ่อยๆ ในการซ้อมยาว เพื่อมาราธอนจอมบึงปีก่อน  แต่นับหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมาซ้อมที่ถนนเส้นนี้อีกเลย จนเมื่อวันเสาร์ หลังจากที่ทำการสมัครวิ่งให้กับทางกลุ่ม Sathavorn Running Club เรียบร้อยแล้ว จึงขับรถเข้าไปดูเส้นทาง จึงพบว่า ถนนเส้นนี้ถูกปรับปรุงให้ลาดยางทั้งเส้นจนไปสุดถนนแล้ว  ซึ่งเห็นแล้วจึงทำให้รู้สึกหึกเหิมในการที่จะลงสนามพรุ่งนี้มาก

ก่อนกลับบ้านแวะซื้ออาหารทะเลสด กลับบ้านให้แม่เตรียมทำไว้ฉลองพรุ่งนี้ด้วย  แต่ะก็ไม่วาย แอบลวกหอยแครง ขึ้นมากินกันก่อน  ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 20 ปีก่อน ผมซื้อหอยแครงมาลวก กิโลกรัม ล่ะ ไม่เกิน 15 บาท มาครั้งนี้ ผมซื้อหอยแครงมา 1 กิโล ต้องใข้เงินถึง 90 บาท  

เช้าวันอาทิตย์ วันนี้เป็นอีกวันที่จะต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ซึ่งถือว่าช้าที่สุดในการเดินทางไปวิ่ง การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่ไกลเลย ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็ไปถึงที่หมาย หลังจากจัดการหาที่จอดรถ จากเจ้าภาพที่จัดงานไว้ โดยเลือกทำเล ที่อยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้จากรอบด้าน เพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรม ที่ปัจจุบันมันแพร่เข้ามาที่งานวิ่งแล้ว ถึงแม้ว่าในรถจะมีเพียงเหรียญ 10 บาท ติดรถเพียงเท่านั้น

จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปบริเวณจัดงาน และเริ่มทำการวอร์มอัพ เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที ซึ่งสามารถวอร์มได้ไม่ถึง 1 กม.เลย  วันนี้เป็นอีกวัน ที่ตัดสินใจไม่ใส่เสื้อชมรมลงวิ่ง เพราะต้องการทดสอบ การใส่เสื้อยืดวิ่ง ในการวิ่งมาราธอนที่จอมบึง เพราะทุกครั้งที่ใส่เสื้อกล้ามวิ่งมาราธอน สภาพหลังดูไม่ได้สักที

สำหรับในวันนี้ได้รับอุปการะชุดแข่งมาจากผลิตภัณฑ์มิซูโน่ วันนี้จึงจัดเต็มทั้งชุด

ตี 5.32 ตามเวลาจากการดึงสัญญาณจากดาวเทียม เป็นเวลาที่ปล่อยตัว  ซึ่งกว่าจะเดินมาเข้าเช็คอิน ก็เกือบจะปล่อยตัวแล้ว ได้ยืดเหยียดนิดหน่อย เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวยให้ เสียงฆ้องดัง "โม่ง" บรรดานักวิ่ง ทั้งเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อสุขภาพ และเพื่อสร้างสีสรรให้กับงานวิ่ง เริ่มทยอยตบเท้าข้ามจุดสตาร์ท ออกไปด้วยต้นทุนความเร็วของแต่ละคนที่มีอยู่

ในงานวิ่งแต่ละงานถ้าหากไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน หรือ ต้องการมาเพียงสัมผัสบรรยากาศงาน ข้าพเจ้ามักจะมองหานักวิ่งที่มีฝีเท้าใกล้เคียงกันเพื่อเทียบเวลาและแข่งขัน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ โจทย์ ข้าพเจ้ามีทั้งหญิงและชาย  แต่โดยส่วนใหญ่คู่เทียบของข้าพเจ้ามักจะเป็นนักวิ่งสาวๆ มากกว่า

สำหรับงานนี้ คู่เทียบที่มองๆ ไว้ มีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนวิ่งตลอดกาล นายบอล ที่ถึงบอกว่าไม่แข่ง ก็แข่งอยู่ดี  นอกจากนี้ ยังมี พี่วิเชียร โจทย์ที่เคยฝากรอยแผลไว้ที่งานริเวอร์แคว์ กาญจนบุรี หรือ เพื่อนๆ คนอื่นๆ มีอีกคนที่ฝีเท้าใกล้เคียงกัน คือนักวิ่งหญิง รุ่นอายุ 40 ของชมรมวิ่งเพื่อชีวิตสมุทรสาคร  เท่าที่มองๆ วันนี้คู่เทียบเพียบ

หลังจากข้าพเจ้าก้าวผ่านจุดสตาร์ท ก็เริ่มเร่งเครื่องให้ได้จังหวะการวิ่งที่ได้ซ้อมไว้

กม. แรก เป็นการวิ่งตามฝูงชนที่ออกไปก่อนหน้า ซึ่งกว่าจะหลบหลีกผู้คนแต่ละช่วงได้ จึงต้องใช้ความเร็ว ในระดับต่ำกว่าปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนคนอื่นโดยไม่เจตนา ซึ่งใช้เวลาเมื่อผ่าน กม แรก ไปที่  5 นาที 46 วินาที จากนั้น จึงเร่งทำความเร็วในระดับสำหรับการแข่งขัน วันนี้วิ่งโดยใช้การจังหวะจากความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่างจากการวิ่งมินิ  เพราะถ้าวิ่งมินิทุกฝีก้าวจะเหมือนวิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง  ซึ่งถ้าเอาความรู้สึกนี้มาวิ่งระยะฮาล์ฟ วิญญาณคงถูกกระชากออกไปไม่กลับมาแน่

การวิ่งวันนี้ ใช้การจับความรู้สึกจากการหายใจเข้าออก หายใจเข้า 2 ครั้ง หายใจออก 1 ครั้ง ความรู้สึกต้องไม่รู้สึกเหนื่อยหอบเป็นไปอย่างสบายๆ

เมื่อสู่หลัก กม ที่ 2  จึงดูนาฬิกาเพื่อเทียบกับระยะ ก็ถือว่าใกล้เคียงกับระยะจริง เมื่อรับน้ำ จิบเล็กน้อย จึงโยนแก้วทิ้ง  พูดถึงเรื่องแก้ว ปัจจุบัน ก็เริ่มมีการรณรงค์จากหลายๆ ฝ่ายถึงการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และการรักษ์โลกมากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้ามองว่าถ้าเป็นระดับของนักวิ่งที่แข่งขัน คงทำได้ค่อนข้างยากจากปัจจัยการที่ต้องทำเวลา   แต่ถ้าเปลี่ยนมาจับกลุ่มผู้ที่วิ่งเพื่อสุขภาพ หรือผู้ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลา น่าจะได้ผลมากกว่า  แต่วันนี้ ขอทำตัวตรงข้ามกับน้องเนยรักษ์โลก หน่อยนะครับ เพราะวันนี้ตั้งใจทำเวลาให้ดีซึ่งถ้ามัวแต่พะวงเรื่องรับน้ำคงเสียเวลาไปเหมือนกัน

คุ๋ปรับตลอดกาล นายบอย
เมื่อเข้าสู่หลัก กม ที่ 3 ก็วิ่งมาทัน กับพี่วิเชียร โจทย์เมื่อครั้ง ริเวอร์แคว จึงวิ่งไปด้วยกัน เริ่มแซง คู่ปรับตลอดกาล นายบอย  หนึ่งและพี่สมาน  แต่ที่ยังแซงไม่ได้คือน๊อต และอากู๋ จาก รพ.นครธนที่วันนี้ดูฟิตเปียะ วิ่งนำไม่หยุด  แต่พอเกาะกันกับพี่วิเชียรไปได้ประมาณ ช่วง กม 3 ถึง กม 4  รู้ว่าวิ่งคนละจังหวะกัน จึงบอกให้พี่เค้าไปก่อน เพราะเป็นการวิ่ง pace ที่ผมไม่เคยกล้าแตะเวลาวิ่ง Half เลยคือเวลา 5.07

โดยปกติ ทุกครั้งที่วิ่งฮาล์ฟ ไม่เคยมีความมั่นใจ ที่จะวิ่งให้เร็วกว่า pace 5.25 เลย  เลยไม่รู้ว่าเส้นบางๆ เส้นนี้เป็นตัวกั้นขวางการพัฒนา ให้ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จหรือไม่  ตัวเลขนี้มันหลอน มาตลอดเพราะกลัวว่าวิ่งเลย pace นี้แล้ว แรงจะหมด แรงจะตก อะไรต่างๆ นาๆ ถาโถมเข้ามาใส่ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเลขใดใดนั้นก็ไม่สำคัญเลย ถ้าเราสามารถซ้อม ซ้อม ซ้อม ถึงจังหวะที่ควรจะเป็น

สิ่งที่เคยกังวลเมื่อก่อนมาวิ่งสนามเส้นนี้ ก็คือ ความมืด กับไฟในสนามวิ่ง เนื่องจากข้าพเจ้าสายตาไม่ดี แต่ไม่ชอบใส่แว่นวิ่ง จึงกังวลว่าถ้าไฟไม่สว่างกลัวว่าจะวิ่งไปสะดุดอะไรเข้ามา ซึ่งหลังจากวิ่งมาได้ 4 กม ก็รู้ว่า ถนนเส้นนี้ ไฟดีตลอดสาย ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องวิ่งเหมือนหลับตาวิ่ง

กม ที่ 5-6  เป็นการวิ่งจังหวะสบายๆ  มีวิ่งแซงเพื่อนบ้าง โดนแซงกลับบ้าง ในช่วงจังหวะวิ่งนี้ เป็นการทดสอบท่าวิ่ง ให้ไหลให้มากที่สุดในจังหวะสบายๆ ก่อนที่เครื่องจะติดใน อีกไม่กี่ กิโลข้างหน้า

หลังจากรับเช็คพอยต์ที่จุดแรก ก็รับมาใส่นิ้วไว้ แล้ววิ่งไปตามจังหวะเดิม คิดว่าคงจะมีแจกอีกทีตรงจุดกลับตัวฮาล์ฟ อีกแน่ๆ

หนึ่ง ธนกฤต


กม ที่ 7  ได้ยินเสียงนักวิ่งที่ข้างหู  "โหย กว่าจะตามทัน ทำไมวิ่งเร็วอย่างนี้"  หันไปดูเจอหนึ่ง เพื่อนที่ซ้อมที่สนามวิ่งเดียวกัน  ข้าพเจ้าก็ได้แต่หันไปยิ้มตอบ อย่างเดียว เพราะกำลังอยู่ในโลกของสมาธิอยู่ และเราก็เฟสตัวหนีเพื่อนหนึ่ง ออกไป เพราะเค้าจ้ำมาคงหมดแรงตามเรา

ตอนนี้เริ่มหาเป้าหมายในการวิ่งเกาะที่ละขั้น เพื่อควบคุมความเร็วของเราไม่ให้ตกลง ซึ่งมองไปไกลๆ เจอ อากู๋ นครธนแล้ว วันนี้เฮียแกลงวิ่งฮาล์ฟ และสปีดต้นแรงพอดู จึงล็อคเป้าหมายในการวิ่งจังหวะไปให้ทัน จาก 200 เมตร ที่ห่าง ลดลงจน 100 เมตร และเหลือเพียง  50 เมตร ข้าพเจ้าจึงประคอง เพื่อรักษาระดับความเหนื่อย และ เป็นการเคาะเพื่อฟื้นสภาพ ให้พร้อมที่จะเร่งอีกหลายๆ ครั้ง



อากู๋ นครธน

กม ที่ 8  เป็น กม.ที่วิ่งไล่มาทันและแซงอากู๋ที่วันนี้ออกตัวแรง ได้ หลังจากการปรับจังหวะวิ่งให้เร็วขึ้นเล็กน้อย ผ่านมาได้ไม่ถึง 200 เมตร ก็เจอเป้าหมายที่คิดจะต้องล็อค ต่อไป คือน้องน๊อต ซึ่งดูไม่
เหมือนน๊อตคนเดิมที่เจอก่อนหน้านี้  เป็นการวิ่งแซงไปอย่างง่ายดาย  ข้าพเจ้าเลยเดาไปว่า ต้องมีอาการผิดปกติ อะไรแน่ๆ กับน้อง เพราะ ปกติไม่ได้วิ่งแบบนี้ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งวันนี้

เมื่อวิ่งผ่าน สน. เทียนทะเล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำได้ว่า หลังจากวิ่ง ผ่านร้านอาหารทะเลชาวบ้าน ร้าน ป้าอิ้ว  ที่เราเป็นลูกค้ามาอุดหนุนประจำ  จะเป็นเส้นทางที่ถนนแข็ง  แต่จากการขับรถไปสำรวจมาเมื่อวันเสาร์ ทำให้รู้ว่าถนนถูกปรับให้เป็นลาดยางตลอดทั้งเส้นแล้ว จึงวิ่งด้วยความสบายใจ

ในใจตอนนี้ มีข้อสงสัยอย่างเดียวคือ มันจะไปกลับตัวตรงไหน เพื่อให้ได้ระยะฮาล์ฟมาราธอน มาตอนนี้เริ่มเจอกลุ่มนักวิ่งแนวหน้า กลับตัวกันมาแล้ว คนแรกที่เจอคือ เป้า อุ้มยศ  (เราอยู่ กม ที่ 8   เค้าวิ่งมาแล้ว 12 กม  ห่างกัน 4 โล โอ้วแพะเจ้า)  จากนั้น ก็วิ่งไปเรื่อยๆ เห็นเพื่อนๆ ที่กลับตัวมาเรื่อยๆ

ในกลุ่มคนที่รู้จักกัน ก็มี  พี่รงค์  ที่วิ่งเกาะกับน้องยุทธ  วิ่งมาเป็นกลุ่มแรก   จากนั้นก็ตามมาด้วยพี่หนา คุณน้อย  คุณหลอด  พี่กบ  วิ่งตามมาเป็นกลุ่มที่สอง เมื่อข้าพเจ้าวิ่งมาถึง กม ที่ 9  (ห่างกัน 2 กิโล 555)

เมื่อมาถึงสุดทางถนนเทียนทะเล เส้นทางกำหนดให้เลี้ยวขวา วิ่งผ่าน โรงเรียน พิทยาลงกรณ์ (สถานที่จัดงานบางขุนเทียนครั้งก่อน)  ก็เจอ กลุ่มที่ 3 ที่รู้จักกัน  มี น้องเต๋อ  คุณไก่ จากพยัคฆ์ดำ  และโจทย์คนสำคัญ พี่วิเชียร  ตอนนี้ไม่ได้คิดว่าจะไล่ใครในกลุ่มที่ 1 และ 2 ทัน  แต่เริ่มกังวลและว่าระยะจะไม่ถึง เพราะมองไปไกลๆ เห็นกลุ่มนักวิ่งกลับตัวกันแล้ว

ถึงจุดกลับตัว แล้วจึงรับเช็คพอยต์ในจุดที่ 2  ที่  10.25 กม คือระยะกลับตัวที่ได้รับเมื่อก้มลงไปมองที่นาฬิกา  ด้วยความเซ็งอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าถนนเส้นนี้จะไปต่อไปอีกไม่ได้ เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนที่วิ่งไปเชื่อมกับทางไปวัดพันท้าย ซึ่งยังไปได้อีกเยอะ เลยสงสัยว่า คนจัดงานใช้อะไรจับระยะ  ข้าพเจ้าเป็นคนพูดอยู่เสมอว่า ไม่อยากให้จัดงานวิ่งแบบระยะทางขาด เพราะมันบันทึกเป็นสถิติไม่ได้  การจัดงานวิ่งแล้วระยะทางขาด เสมือนว่า ไม่ได้มาวิ่ง

สำหรับการจัดงานวิ่งระยะเกิน นั้นหลายคนชอบ และอีกหลายคนไม่ชอบ แต่โดยส่วนตัว ระยะเกินไม่ว่ากันแต่ขอให้บอกความจริงว่าเท่าไหร่ จะได้เกลี่ยพลังงานถูก

จากโจทย์ข้อนี้ ระยะที่ขาดไป ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร เมื่อถ้าวิ่งไปจะถึงแล้วมีแววว่าจะทำลายสถิติที่ใกล้จะบรรจุเป็นโบราณวัตถุในระยะฮาล์ฟ ที่ค้างมา ปีกว่าๆ ที่ 1.54 ลงได้  โดยมีตัวเลือกให้เลือกคือ

1. วิ่งออกมาแล้ววิ่งให้ครบ 21.1 กม
หรือ 2. ซัดให้หมดแล้วปล่อยเลยตามเลย

ซึ่ง อีก 10 กม. จะเป็นตัวตัดสินว่าจะเลือกข้อไหน

มาถึงตอนนี้ แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงออกมาแล้ว วินาทีติดเครื่องเริ่มขึ้น ความรู้สึกการวิ่งที่เหมือนไหล ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นโดยจังหวะการก้าวที่ลงตัว รวมกับคุณสมบัติของรองเท้ามิซูโนที่ใส่วันนี้ ที่เด้งรับกับจังหวะการวิ่ง เป็นสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การลดช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้น้อยลง จำต้องใช้ระยะทางการวิ่งที่มากขึ้นเป็นตัวกำหนด จะใช้ความรู้สึกวิ่งไล่ให้ทันจากระยะสั้นๆ คงทำไม่ได้  เมื่อคิดได้ดังนั้น คอร์ท 4K ที่ฝึกซ้อมมาจึงเป็นกลยุทธแรกที่นำมาใช้ลดช่องว่าง

ความเร็วที่ใช้ ช้ากว่าตอนซ้อม ที่จะวิ่งอยู่ที่ 4.45  ปรับลดมาเหลือ 5.05 เพื่อให้การวิ่งสามารถวิ่งได้ตลอดรอดฝั่ง  ซึ่งเมื่อวิ่งครบคอร์ทแล้ว ก็ยังไม่สามารถไล่ใครได้ทันเหมือนเดิม จนจบ กมที่ 14

มาถึงตอนนี้อุณหภูมิในร่างกาย โดยเฉพาะที่ศรีษะเริ่มร้อนแรงขึ้น จากแสงอาทิตย์รวมกับการปรับจังหวะการวิ่งที่เค้นพลังงานมากขึ้น  จึงต้องดับความร้อนด้วย น้ำหนึ่งแก้วจากจุดให้น้ำ

หลังจากราดลดลง ความรู้สึกโล่งหัว ก็เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่ค้างคาในสมอง พร้อมที่จะทำงานตามแผนในขั้นตอนต่อไป

มองออกไปไกลๆ เริ่มเห็นเป้าหมายที่กล่าวถึงแล้วหลายคน คำนวณจากการวิ่ง 4K คงสามารถลดช่องว่างไปได้พอสมควร  จึงปรับการวิ่ง 4K หลังนี่ใหม่อยู่ที่จังหวะ 5.15K เพื่อรักษาระดับหายใจ ก่อนจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย คือการเร่งให้หมดใน 2 กม สุดท้าย

กม ที่ 14-18 การวิ่งจังหวะที่เบาลง เหมือนกับการ recharge พลังงานในร่างกายให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สังเกตุได้ว่ากลุ่มที่ออกนำไปตอนแรก แรงเริ่มตกลง เพราะช่องว่างที่มีอยู่ลดลงไปในระดับที่ข้าพเจ้าสามารถวิ่งแซงได้แล้ว  แต่เพื่อเป็นการรักษาแผนการณ์จึงวิ่งตามจังหวะเดิมต่อไป

ประธานเซ็นทรัล พระราม 2 ประธานสุเทพ

เมื่อเริ่มต้นที่ กม.ที่ 16  จึงไล่มาทัน น้องเต๋อ ที่แรงตกลงไป (คาดว่าจากการที่ติดภาระกิจไม่ค่อยได้ซ้อมยาว เลยหมดแรง) ถือเป็นงานแรกที่สามารถแซงเต๋อได้ หลังจากวิ่งด้วยกันมา 3 ปี  และก็ยังสามารถแซง คุณไก่จากพยัคฆ์ดำ ได้  (แซงผู้หญิงอีกแล้ว 5555) และก็วิ่งผ่านเจอประธานสุเทพ ที่วันนี้มาลงระยะมินิ ได้ ซึ่งวันนี้สีหน้าแกไม่สู้ดีเท่าใดนัก


เริ่มต้นกม ที่ 18 จากการเปลี่ยนสปีด มาเป็น 4.50 ทำให้ความมันส์ในการวิ่งเกิดขึ้น เพราะตอนนี้เริ่มวิ่งมาทันกลุ่มมินิ ที่วิ่งกันมา  ก็คิดอยู่ว่าวันนี้จะเจอใครบ้างและวิ่งทันใครบ้าง  สำหรับกลุ่มวิ่งมินิที่เร็วกว่า 1 ชม คงไล่ไม่ทันแน่ๆ  จึงตั้งเป้ามาหาคนไล่ ในกลุ่มที่ วิ่งมากกว่า 1 ชม  ซึ่งก็จะเจอคนแรก คือพี่อิ๊ด จากสมันน้อย  ตามด้วยพี่แอร์  ทำให้แรงฮึดเราเริ่มเกิดขึ้นอีก เหมือนยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา คำนวณแล้ว ถ้าใส่ 2 กม สุดท้ายนี่หมด ต่อด้วยไปว่าที่วิ่งให้ครบระยะฮาล์ฟ ยังไงก็ New PB แน่นอน จึงกัดฟันวิ่งเพื่อทำลายกำแพงนี่ลงให้ได้



แต่ก่อนที่จะไล่ใส่ไปมากกว่านี้ แอคชั่นแรก กับรูปถ่ายที่จุดแรก จากโปรรุจน์ ซะหน่อย 2 ภาพ เพื่อความเป็นสิริมงคล   หลังจากใส่มาก็เห็น พี่หลอดที่เริ่มแผ่วปลายอีกแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งเป้าหมายคือการแซงด้วยอารมณ์และความรู้สึกว่า ถ้าสามารถแซงและฉีกหนีออกไปได้ ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จที่สามารถลดระยะจาก 2 กม ที่ห่างกันลงมาได้


พี่หลอด

และที่สำนักงานที่ดิน ก็เป็นจุดที่สามารถแซงพี่หลอดลงได้จริงๆ  น่าเสียดายจริงๆ เพราะปกติพี่เค้าซ้อมดีมากๆ ซ้อมสั้น ซ้อมเร็วใช้ได้ และ เวลา ซ้อมยาว ก็ว้อมทีละ 3-4 ชม  เสียดายที่เวลาวิ่งจริงไปวิ่งตามจังหวะคนอื่นไม่วิ่งตามจังหวะที่ซ้อม เลยทำให้แผ่วปลายทุกงาน

จากนั้นจึงกัดฟันวิ่งต่อโดยเป้าหมายจริงๆ คือทำสถิติ แต่พอดีสายตาสั้นๆ ก็เหลือบไปเห็น พี่วิเชียร ที่ห่างอยู่ประมาณ 200 เมตร จึงเริ่มเร่งเพื่อให้ทัน ตอนนี้คือเริ่มโถมและใส่ไม่ยั้งจริงๆ จากระยะ 200 เมตร ลดลงมาเหลือประมาณ 20-30 เมตร จนคิดว่าถ้ามีโอกาสจะพยายามแซงให้ได้

ซึ่งตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องการถ่ายรูปแล้วเพราะ เป้าหมายคือเจอพยัคฆ์อยู่ด้านหน้า สมันน้อยอย่างเราต้องไล่ให้ทัน จาก 30 เมตร ลดลงเหลือ 20 เมตร แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้อยู่ว่าโดนไล่ จึงเร่งความเร็วเพื่อรักษาระยะห่าง ซึ่งสุดท้ายพี่วิเชียรที่วิ่งอย่างเหลือๆ ก็สามารถประคองเข้าเส้นชัยไปก่อน โดยปล่อยให้ข้าพเจ้าไล่ไม่ทัน และต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ ในงานหน้า


แต่ ภาระกิจในวันนี้ของข้าพเจ้ายังไม่จบ เพราะเมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย รับเหรียญเรียบร้อย เช็คเวลาที่นาฬิกา ได้ 1.46.46 โดยที่พี่ทนงศักดิ์ ที่วันนี้เป็นพิธีกร ทักทาย ข้าพเจ้าก็ยังมึนๆ ทักตอบไปแบบมึนๆ เพราะตอนนั้นสติตั้งเป้าอย่างเดียว จะออกจากรูหลังวิ่งยังไงเพื่อไปวิ่งต่อ อีก 600 เมตร เพื่อให้ครบ ถึงแม้สถิติที่ควรจะดีกว่าดีนี้ ถ้าวิ่งไหลไปเรื่อยๆ  แต่การออกมาวิ่งให้ครบ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ค้างคาใจไปแบบนี้


600 เมตรที่เหลือ กว่าจะออกมาได้และหาทางวิ่งเพื่อไม่ให้ชนกับนักวิ่งที่กำลังเข้ามาเป็นไปอย่างยากเย็น

ซึ่งต้องวิ่งเผื่อให้เลยไปอีก จนเมื่อวิ่งจบและมาเช็คผลของวันนี้ที่ระยะนี้ สามารถจบได้ที่เวลา 1.49.26  ถือว่าภาระกิจวันนี้บรรลุเป้าหมายลงไปได้
กระชากครั้งสุดท้าย ก่อนไล่ไม่ทัน
ยังเสียดายไม่ให้กับระยะที่หายไปของการจัดงาน  กับน้ำ จุดที่ กม ที่ 18 ที่หมดลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหวังว่าจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งต่อๆไป เพราะเสียดายกับสนามที่ดีดี สนามนี้ ถึงแม้ว่าจะมีบางจุดที่ไม่สามารถควบคุมการจราจร เพราะมีรถบางคันที่เริ่มหงุดหงิดที่ปิดถนนบางส่วนสำหรับการวิ่งในวันนี้ หวังว่าในอนาคตถ้าจัดบ่อยๆ ทุกคนที่ใช้การจราจรในย่านนี้จะเข้าใจ เพราะเป็นการส่งเสริมธุรกิจในนี้ให้คึกคักขึ้นด้วย แต่ถ้าจะให้ดี ถ้ามีแข่ง ร้านอาหารควรเลื่อนเปิดจาก 10.00 น มาเป็น 9.00 น จะได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยคนเลยทีเดียว


พบกันใหม่ที่ จอมบึงมาราธอน 
น้องและเพื่อนสนิท ที่ไปวิ่งด้วยกันตลอด
ไช้ 17   บอย 25