วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

Race 110 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ภาค 1

Race 110  บางขุนเทียน ไลอ้อนส์ มินิ ฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 1



คุณเคยตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างให้ประสบความสำเร็จให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด เป้าหมายนั้นก็ยังไม่บรรลุเสียที จนทำให้บางครั้งเกิดอาการหดหู่ เบื่อ เซ็ง และเลิกล้มความตั้งใจในที่สุด

นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ตัวข้าพเจ้าเอง ในช่วงก่อนหน้านี้ อาการที่กล่าวมาข้างต้นกำลังเกิดกับตัวเองอาการเบื่อรวมกับอาการบาดเจ็บรองช้ำ ที่เป็นมาตั้งแต่ต้นปี ช่างกัดกินหัวใจนักสู้อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะซ้อมอย่างมีเป้าหมาย หรือไม่มีเป้าหมาย พักเพื่อให้อาการบาดเจ็บ หายขาด  เวลาผ่านไป มันก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าจะดีขึ้น





โค๊ชก็คุยหลายครั้งแล้วว่าให้เข้าโปรแกรมได้แล้ว แต่ตัวข้าพเจ้าก็ได้แต่นิ่ง เพราะรู้สภาวะจิตใจของตัวเอง อยู่ ว่าไม่ชอบการทำอะไรโดยเสมือนถูกบังคับให้ทำ



จนกระทั่งความรู้สึกกระหายก็กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้เข้าไปอ่าน ข้อความในกลุ่ม We love Sathavorn Running Club  ซึ่งเป็น กลุ่มนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อน หรือวิ่งแบบไม่มีโค๊ช ในการให้คำแนะนำ และควบคุมการซ้อม จัดตั้งกลุ่มและ เข้ามาโพสต์โปรแกรม ที่ได้รับจากโค๊ชสถาวร มีการทำและส่งการบ้านจากตารางซ้อมที่ได้รับ มีการจับกลุ่มวิเคราะห์โปรแกรมแต่ละโปรแกรม อย่างละเอียด จดทุกคำพูด จดทุกคำแนะนำจากรุ่นพี่ ทุกคน เสมือนหนึ่ง นักเรียนรุ่นเฟรชชี่ ปี 1 ที่กำลังสนุกสนานกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้า ขณะที่ไฟเริ่มมอด กลับมีความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง กับการซ้อม

นอกจากนี้การวิ่งแข่งขัน ในกลุ่ม Social  Endomondo ก็เป็นส่วนหนึ่งในการนำข้าพเจ้ากลับเข้าสู่ภาวะความตื่นตัวอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้องขอบคุณกลุ่มนี้ ที่มีเรื่องเฮฮา มาให้ตลอด



หลังจากมีความรู้สึกกระตุ้น มีความอยากกลับมา ข้าพเจ้าตั้งปณิฐานว่า ข้าพเจ้าจะไม่สนใจอาการบาดเจ็บรองช้ำอีกแล้ว จะวิ่งไปแบบนี้ จึงได้เริ่มเข้าสู่โปรแกรม แบบ ลับๆ โดยอาศัยลอกการบ้านที่ โค๊ชสถาวร แจกให้กับกลุ่ม We love มาซ้อมวิ่ง  ซึ่งได้ลอกโปรแกรมการวิ่ง 10K ของกลุ่มมาซ้อม เพราะเป้าหมายที่แท้จริง ของการกลับมาซ้อมครั้งนี้ อยู่ที่ รายการ ดรุณานารี ที่อัมพวา ตั้งใจจะขอทำ 10K ที่ดีที่สุดให้ได้ในปีนี้

ซึ่งหลังจากเริ่มซ้อมโดยมีตารางซ้อม ก็ สามารถซ้อมตามโปรแกรมได้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ทางกลุ่ม ก็มีรายการที่ทาง โค๊ชนัดไปทดสอบและประเมินผลการซ้อมกันที่ บางขุนเทียน  ซึ่งจริงๆ แล้วก็อยากที่จะทดสอบระยะมินิ กับเพื่อนๆ เหมือนกัน แต่ โปรแกรมที่วางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อปีก่อน คือจอมบึงมาราธอน รออยู่เลยจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนระยะไปที่ 21K แทนเพื่อใช้ปรับสภาพร่างกายให้พร้อมกับการวิ่งยาว อีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

จอมบึงมาราธอน เป็นรายการที่ข้าพเจ้าตั้งปณิธานไว้แล้วว่า จะขอวิ่ง มาราธอน ให้ครบ 3 ปี ติดกัน ซึ่ง หลังจากครบก็ค่อยว่ากันอีกที โดยปีนี้ จะเป็นปีที่ 3 ที่ข้าพเจ้ามาวิ่งที่นี่   โดยครั้งแรก วิ่งจบมาราธอนแรกด้วยเวลา 5.2X.xx  และครั้งที่ 2 ด้วยเวลา 4.2X.xx  สำหรับครั้งที่ 3 นี่ เป็นการวิ่งที่ไม่คาดหวังที่เวลาที่จะต้องดีขึ้น แต่คาดหวังสภาพภายหลังการวิ่งที่ต้องมีสภาพที่ช่วยตัวเองได้ ไม่เป็นภาระใคร

บางขุนเทียน อีเวนต์นี้ จัดขึ้นที่ วิทยาลัยวัดปทีปพลีผล  โดยจัดขึ้นเป็นครั้งแรก  แต่ไม่ใช่ครั้งแรก ของถนนเทียนทะเลเส้นนี้  พูดถึงการแข่งขันครั้งก่อนที่ใช้ชื่อว่า บางขุนเทียน มินิฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 1 จัดเมื่อต้นปี 53  ที่จัดที่ โรงเรียนพิทยาลงกรณ์ แล้ว ก็ทำให้ย้อนคิดไปว่า นี่เราวิ่งมาครบ 3 ปีแล้ว กาลเวลาช่างผ่านไปเร็วมาก

ในครั้งก่อนเป็นการปล่อยตัวจากถนนด้านใน ออกมาด้านนอก  โดยถนนช่วงออกจากโรงเรียน จนถึง สน เทียนทะเล ยังเป็นพื้นที่แข็งกระด้างต่อการวิ่งมาก  ซึ่งเมื่อก่อนวิ่งใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่ ใครให้วิ่งที่ไหนก็วิ่ง  จนวิ่งมาครบ 3 ปี ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่า  ถ้าต้องการรักษาสุขภาพขา สุขภาพเท้าให้สมบูรณ์ควรที่จะเลือกสนามวิ่งด้วย  สนามที่ควรหลีกเลี่ยงคือ คอนกรีต  ซีเมนต์ เพราะมันส่งผลต่อข้อต่อ และกระูดูกของเรา

นอกจากงานในครั้งนั้นแล้ว ถนนเส้นนี้ เมื่อปีก่อน ยังมาใช้บริการบ่อยๆ ในการซ้อมยาว เพื่อมาราธอนจอมบึงปีก่อน  แต่นับหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมาซ้อมที่ถนนเส้นนี้อีกเลย จนเมื่อวันเสาร์ หลังจากที่ทำการสมัครวิ่งให้กับทางกลุ่ม Sathavorn Running Club เรียบร้อยแล้ว จึงขับรถเข้าไปดูเส้นทาง จึงพบว่า ถนนเส้นนี้ถูกปรับปรุงให้ลาดยางทั้งเส้นจนไปสุดถนนแล้ว  ซึ่งเห็นแล้วจึงทำให้รู้สึกหึกเหิมในการที่จะลงสนามพรุ่งนี้มาก

ก่อนกลับบ้านแวะซื้ออาหารทะเลสด กลับบ้านให้แม่เตรียมทำไว้ฉลองพรุ่งนี้ด้วย  แต่ะก็ไม่วาย แอบลวกหอยแครง ขึ้นมากินกันก่อน  ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 20 ปีก่อน ผมซื้อหอยแครงมาลวก กิโลกรัม ล่ะ ไม่เกิน 15 บาท มาครั้งนี้ ผมซื้อหอยแครงมา 1 กิโล ต้องใข้เงินถึง 90 บาท  

เช้าวันอาทิตย์ วันนี้เป็นอีกวันที่จะต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ซึ่งถือว่าช้าที่สุดในการเดินทางไปวิ่ง การเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่ไกลเลย ใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็ไปถึงที่หมาย หลังจากจัดการหาที่จอดรถ จากเจ้าภาพที่จัดงานไว้ โดยเลือกทำเล ที่อยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้จากรอบด้าน เพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรม ที่ปัจจุบันมันแพร่เข้ามาที่งานวิ่งแล้ว ถึงแม้ว่าในรถจะมีเพียงเหรียญ 10 บาท ติดรถเพียงเท่านั้น

จากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปบริเวณจัดงาน และเริ่มทำการวอร์มอัพ เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มที ซึ่งสามารถวอร์มได้ไม่ถึง 1 กม.เลย  วันนี้เป็นอีกวัน ที่ตัดสินใจไม่ใส่เสื้อชมรมลงวิ่ง เพราะต้องการทดสอบ การใส่เสื้อยืดวิ่ง ในการวิ่งมาราธอนที่จอมบึง เพราะทุกครั้งที่ใส่เสื้อกล้ามวิ่งมาราธอน สภาพหลังดูไม่ได้สักที

สำหรับในวันนี้ได้รับอุปการะชุดแข่งมาจากผลิตภัณฑ์มิซูโน่ วันนี้จึงจัดเต็มทั้งชุด

ตี 5.32 ตามเวลาจากการดึงสัญญาณจากดาวเทียม เป็นเวลาที่ปล่อยตัว  ซึ่งกว่าจะเดินมาเข้าเช็คอิน ก็เกือบจะปล่อยตัวแล้ว ได้ยืดเหยียดนิดหน่อย เท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวยให้ เสียงฆ้องดัง "โม่ง" บรรดานักวิ่ง ทั้งเพื่อความเป็นเลิศ เพื่อสุขภาพ และเพื่อสร้างสีสรรให้กับงานวิ่ง เริ่มทยอยตบเท้าข้ามจุดสตาร์ท ออกไปด้วยต้นทุนความเร็วของแต่ละคนที่มีอยู่

ในงานวิ่งแต่ละงานถ้าหากไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน หรือ ต้องการมาเพียงสัมผัสบรรยากาศงาน ข้าพเจ้ามักจะมองหานักวิ่งที่มีฝีเท้าใกล้เคียงกันเพื่อเทียบเวลาและแข่งขัน โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ โจทย์ ข้าพเจ้ามีทั้งหญิงและชาย  แต่โดยส่วนใหญ่คู่เทียบของข้าพเจ้ามักจะเป็นนักวิ่งสาวๆ มากกว่า

สำหรับงานนี้ คู่เทียบที่มองๆ ไว้ มีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนวิ่งตลอดกาล นายบอล ที่ถึงบอกว่าไม่แข่ง ก็แข่งอยู่ดี  นอกจากนี้ ยังมี พี่วิเชียร โจทย์ที่เคยฝากรอยแผลไว้ที่งานริเวอร์แคว์ กาญจนบุรี หรือ เพื่อนๆ คนอื่นๆ มีอีกคนที่ฝีเท้าใกล้เคียงกัน คือนักวิ่งหญิง รุ่นอายุ 40 ของชมรมวิ่งเพื่อชีวิตสมุทรสาคร  เท่าที่มองๆ วันนี้คู่เทียบเพียบ

หลังจากข้าพเจ้าก้าวผ่านจุดสตาร์ท ก็เริ่มเร่งเครื่องให้ได้จังหวะการวิ่งที่ได้ซ้อมไว้

กม. แรก เป็นการวิ่งตามฝูงชนที่ออกไปก่อนหน้า ซึ่งกว่าจะหลบหลีกผู้คนแต่ละช่วงได้ จึงต้องใช้ความเร็ว ในระดับต่ำกว่าปกติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนคนอื่นโดยไม่เจตนา ซึ่งใช้เวลาเมื่อผ่าน กม แรก ไปที่  5 นาที 46 วินาที จากนั้น จึงเร่งทำความเร็วในระดับสำหรับการแข่งขัน วันนี้วิ่งโดยใช้การจังหวะจากความรู้สึก ซึ่งความรู้สึกจะแตกต่างจากการวิ่งมินิ  เพราะถ้าวิ่งมินิทุกฝีก้าวจะเหมือนวิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง  ซึ่งถ้าเอาความรู้สึกนี้มาวิ่งระยะฮาล์ฟ วิญญาณคงถูกกระชากออกไปไม่กลับมาแน่

การวิ่งวันนี้ ใช้การจับความรู้สึกจากการหายใจเข้าออก หายใจเข้า 2 ครั้ง หายใจออก 1 ครั้ง ความรู้สึกต้องไม่รู้สึกเหนื่อยหอบเป็นไปอย่างสบายๆ

เมื่อสู่หลัก กม ที่ 2  จึงดูนาฬิกาเพื่อเทียบกับระยะ ก็ถือว่าใกล้เคียงกับระยะจริง เมื่อรับน้ำ จิบเล็กน้อย จึงโยนแก้วทิ้ง  พูดถึงเรื่องแก้ว ปัจจุบัน ก็เริ่มมีการรณรงค์จากหลายๆ ฝ่ายถึงการให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม และการรักษ์โลกมากขึ้น ซึ่งข้าพเจ้ามองว่าถ้าเป็นระดับของนักวิ่งที่แข่งขัน คงทำได้ค่อนข้างยากจากปัจจัยการที่ต้องทำเวลา   แต่ถ้าเปลี่ยนมาจับกลุ่มผู้ที่วิ่งเพื่อสุขภาพ หรือผู้ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลา น่าจะได้ผลมากกว่า  แต่วันนี้ ขอทำตัวตรงข้ามกับน้องเนยรักษ์โลก หน่อยนะครับ เพราะวันนี้ตั้งใจทำเวลาให้ดีซึ่งถ้ามัวแต่พะวงเรื่องรับน้ำคงเสียเวลาไปเหมือนกัน

คุ๋ปรับตลอดกาล นายบอย
เมื่อเข้าสู่หลัก กม ที่ 3 ก็วิ่งมาทัน กับพี่วิเชียร โจทย์เมื่อครั้ง ริเวอร์แคว จึงวิ่งไปด้วยกัน เริ่มแซง คู่ปรับตลอดกาล นายบอย  หนึ่งและพี่สมาน  แต่ที่ยังแซงไม่ได้คือน๊อต และอากู๋ จาก รพ.นครธนที่วันนี้ดูฟิตเปียะ วิ่งนำไม่หยุด  แต่พอเกาะกันกับพี่วิเชียรไปได้ประมาณ ช่วง กม 3 ถึง กม 4  รู้ว่าวิ่งคนละจังหวะกัน จึงบอกให้พี่เค้าไปก่อน เพราะเป็นการวิ่ง pace ที่ผมไม่เคยกล้าแตะเวลาวิ่ง Half เลยคือเวลา 5.07

โดยปกติ ทุกครั้งที่วิ่งฮาล์ฟ ไม่เคยมีความมั่นใจ ที่จะวิ่งให้เร็วกว่า pace 5.25 เลย  เลยไม่รู้ว่าเส้นบางๆ เส้นนี้เป็นตัวกั้นขวางการพัฒนา ให้ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จหรือไม่  ตัวเลขนี้มันหลอน มาตลอดเพราะกลัวว่าวิ่งเลย pace นี้แล้ว แรงจะหมด แรงจะตก อะไรต่างๆ นาๆ ถาโถมเข้ามาใส่ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเลขใดใดนั้นก็ไม่สำคัญเลย ถ้าเราสามารถซ้อม ซ้อม ซ้อม ถึงจังหวะที่ควรจะเป็น

สิ่งที่เคยกังวลเมื่อก่อนมาวิ่งสนามเส้นนี้ ก็คือ ความมืด กับไฟในสนามวิ่ง เนื่องจากข้าพเจ้าสายตาไม่ดี แต่ไม่ชอบใส่แว่นวิ่ง จึงกังวลว่าถ้าไฟไม่สว่างกลัวว่าจะวิ่งไปสะดุดอะไรเข้ามา ซึ่งหลังจากวิ่งมาได้ 4 กม ก็รู้ว่า ถนนเส้นนี้ ไฟดีตลอดสาย ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องวิ่งเหมือนหลับตาวิ่ง

กม ที่ 5-6  เป็นการวิ่งจังหวะสบายๆ  มีวิ่งแซงเพื่อนบ้าง โดนแซงกลับบ้าง ในช่วงจังหวะวิ่งนี้ เป็นการทดสอบท่าวิ่ง ให้ไหลให้มากที่สุดในจังหวะสบายๆ ก่อนที่เครื่องจะติดใน อีกไม่กี่ กิโลข้างหน้า

หลังจากรับเช็คพอยต์ที่จุดแรก ก็รับมาใส่นิ้วไว้ แล้ววิ่งไปตามจังหวะเดิม คิดว่าคงจะมีแจกอีกทีตรงจุดกลับตัวฮาล์ฟ อีกแน่ๆ

หนึ่ง ธนกฤต


กม ที่ 7  ได้ยินเสียงนักวิ่งที่ข้างหู  "โหย กว่าจะตามทัน ทำไมวิ่งเร็วอย่างนี้"  หันไปดูเจอหนึ่ง เพื่อนที่ซ้อมที่สนามวิ่งเดียวกัน  ข้าพเจ้าก็ได้แต่หันไปยิ้มตอบ อย่างเดียว เพราะกำลังอยู่ในโลกของสมาธิอยู่ และเราก็เฟสตัวหนีเพื่อนหนึ่ง ออกไป เพราะเค้าจ้ำมาคงหมดแรงตามเรา

ตอนนี้เริ่มหาเป้าหมายในการวิ่งเกาะที่ละขั้น เพื่อควบคุมความเร็วของเราไม่ให้ตกลง ซึ่งมองไปไกลๆ เจอ อากู๋ นครธนแล้ว วันนี้เฮียแกลงวิ่งฮาล์ฟ และสปีดต้นแรงพอดู จึงล็อคเป้าหมายในการวิ่งจังหวะไปให้ทัน จาก 200 เมตร ที่ห่าง ลดลงจน 100 เมตร และเหลือเพียง  50 เมตร ข้าพเจ้าจึงประคอง เพื่อรักษาระดับความเหนื่อย และ เป็นการเคาะเพื่อฟื้นสภาพ ให้พร้อมที่จะเร่งอีกหลายๆ ครั้ง



อากู๋ นครธน

กม ที่ 8  เป็น กม.ที่วิ่งไล่มาทันและแซงอากู๋ที่วันนี้ออกตัวแรง ได้ หลังจากการปรับจังหวะวิ่งให้เร็วขึ้นเล็กน้อย ผ่านมาได้ไม่ถึง 200 เมตร ก็เจอเป้าหมายที่คิดจะต้องล็อค ต่อไป คือน้องน๊อต ซึ่งดูไม่
เหมือนน๊อตคนเดิมที่เจอก่อนหน้านี้  เป็นการวิ่งแซงไปอย่างง่ายดาย  ข้าพเจ้าเลยเดาไปว่า ต้องมีอาการผิดปกติ อะไรแน่ๆ กับน้อง เพราะ ปกติไม่ได้วิ่งแบบนี้ ซึ่งมาทราบภายหลังว่าได้รับบาดเจ็บจากการวิ่งวันนี้

เมื่อวิ่งผ่าน สน. เทียนทะเล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จำได้ว่า หลังจากวิ่ง ผ่านร้านอาหารทะเลชาวบ้าน ร้าน ป้าอิ้ว  ที่เราเป็นลูกค้ามาอุดหนุนประจำ  จะเป็นเส้นทางที่ถนนแข็ง  แต่จากการขับรถไปสำรวจมาเมื่อวันเสาร์ ทำให้รู้ว่าถนนถูกปรับให้เป็นลาดยางตลอดทั้งเส้นแล้ว จึงวิ่งด้วยความสบายใจ

ในใจตอนนี้ มีข้อสงสัยอย่างเดียวคือ มันจะไปกลับตัวตรงไหน เพื่อให้ได้ระยะฮาล์ฟมาราธอน มาตอนนี้เริ่มเจอกลุ่มนักวิ่งแนวหน้า กลับตัวกันมาแล้ว คนแรกที่เจอคือ เป้า อุ้มยศ  (เราอยู่ กม ที่ 8   เค้าวิ่งมาแล้ว 12 กม  ห่างกัน 4 โล โอ้วแพะเจ้า)  จากนั้น ก็วิ่งไปเรื่อยๆ เห็นเพื่อนๆ ที่กลับตัวมาเรื่อยๆ

ในกลุ่มคนที่รู้จักกัน ก็มี  พี่รงค์  ที่วิ่งเกาะกับน้องยุทธ  วิ่งมาเป็นกลุ่มแรก   จากนั้นก็ตามมาด้วยพี่หนา คุณน้อย  คุณหลอด  พี่กบ  วิ่งตามมาเป็นกลุ่มที่สอง เมื่อข้าพเจ้าวิ่งมาถึง กม ที่ 9  (ห่างกัน 2 กิโล 555)

เมื่อมาถึงสุดทางถนนเทียนทะเล เส้นทางกำหนดให้เลี้ยวขวา วิ่งผ่าน โรงเรียน พิทยาลงกรณ์ (สถานที่จัดงานบางขุนเทียนครั้งก่อน)  ก็เจอ กลุ่มที่ 3 ที่รู้จักกัน  มี น้องเต๋อ  คุณไก่ จากพยัคฆ์ดำ  และโจทย์คนสำคัญ พี่วิเชียร  ตอนนี้ไม่ได้คิดว่าจะไล่ใครในกลุ่มที่ 1 และ 2 ทัน  แต่เริ่มกังวลและว่าระยะจะไม่ถึง เพราะมองไปไกลๆ เห็นกลุ่มนักวิ่งกลับตัวกันแล้ว

ถึงจุดกลับตัว แล้วจึงรับเช็คพอยต์ในจุดที่ 2  ที่  10.25 กม คือระยะกลับตัวที่ได้รับเมื่อก้มลงไปมองที่นาฬิกา  ด้วยความเซ็งอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าถนนเส้นนี้จะไปต่อไปอีกไม่ได้ เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนที่วิ่งไปเชื่อมกับทางไปวัดพันท้าย ซึ่งยังไปได้อีกเยอะ เลยสงสัยว่า คนจัดงานใช้อะไรจับระยะ  ข้าพเจ้าเป็นคนพูดอยู่เสมอว่า ไม่อยากให้จัดงานวิ่งแบบระยะทางขาด เพราะมันบันทึกเป็นสถิติไม่ได้  การจัดงานวิ่งแล้วระยะทางขาด เสมือนว่า ไม่ได้มาวิ่ง

สำหรับการจัดงานวิ่งระยะเกิน นั้นหลายคนชอบ และอีกหลายคนไม่ชอบ แต่โดยส่วนตัว ระยะเกินไม่ว่ากันแต่ขอให้บอกความจริงว่าเท่าไหร่ จะได้เกลี่ยพลังงานถูก

จากโจทย์ข้อนี้ ระยะที่ขาดไป ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร เมื่อถ้าวิ่งไปจะถึงแล้วมีแววว่าจะทำลายสถิติที่ใกล้จะบรรจุเป็นโบราณวัตถุในระยะฮาล์ฟ ที่ค้างมา ปีกว่าๆ ที่ 1.54 ลงได้  โดยมีตัวเลือกให้เลือกคือ

1. วิ่งออกมาแล้ววิ่งให้ครบ 21.1 กม
หรือ 2. ซัดให้หมดแล้วปล่อยเลยตามเลย

ซึ่ง อีก 10 กม. จะเป็นตัวตัดสินว่าจะเลือกข้อไหน

มาถึงตอนนี้ แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงออกมาแล้ว วินาทีติดเครื่องเริ่มขึ้น ความรู้สึกการวิ่งที่เหมือนไหล ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นโดยจังหวะการก้าวที่ลงตัว รวมกับคุณสมบัติของรองเท้ามิซูโนที่ใส่วันนี้ ที่เด้งรับกับจังหวะการวิ่ง เป็นสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

การลดช่องว่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้น้อยลง จำต้องใช้ระยะทางการวิ่งที่มากขึ้นเป็นตัวกำหนด จะใช้ความรู้สึกวิ่งไล่ให้ทันจากระยะสั้นๆ คงทำไม่ได้  เมื่อคิดได้ดังนั้น คอร์ท 4K ที่ฝึกซ้อมมาจึงเป็นกลยุทธแรกที่นำมาใช้ลดช่องว่าง

ความเร็วที่ใช้ ช้ากว่าตอนซ้อม ที่จะวิ่งอยู่ที่ 4.45  ปรับลดมาเหลือ 5.05 เพื่อให้การวิ่งสามารถวิ่งได้ตลอดรอดฝั่ง  ซึ่งเมื่อวิ่งครบคอร์ทแล้ว ก็ยังไม่สามารถไล่ใครได้ทันเหมือนเดิม จนจบ กมที่ 14

มาถึงตอนนี้อุณหภูมิในร่างกาย โดยเฉพาะที่ศรีษะเริ่มร้อนแรงขึ้น จากแสงอาทิตย์รวมกับการปรับจังหวะการวิ่งที่เค้นพลังงานมากขึ้น  จึงต้องดับความร้อนด้วย น้ำหนึ่งแก้วจากจุดให้น้ำ

หลังจากราดลดลง ความรู้สึกโล่งหัว ก็เกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่ค้างคาในสมอง พร้อมที่จะทำงานตามแผนในขั้นตอนต่อไป

มองออกไปไกลๆ เริ่มเห็นเป้าหมายที่กล่าวถึงแล้วหลายคน คำนวณจากการวิ่ง 4K คงสามารถลดช่องว่างไปได้พอสมควร  จึงปรับการวิ่ง 4K หลังนี่ใหม่อยู่ที่จังหวะ 5.15K เพื่อรักษาระดับหายใจ ก่อนจะใช้กลยุทธ์สุดท้าย คือการเร่งให้หมดใน 2 กม สุดท้าย

กม ที่ 14-18 การวิ่งจังหวะที่เบาลง เหมือนกับการ recharge พลังงานในร่างกายให้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สังเกตุได้ว่ากลุ่มที่ออกนำไปตอนแรก แรงเริ่มตกลง เพราะช่องว่างที่มีอยู่ลดลงไปในระดับที่ข้าพเจ้าสามารถวิ่งแซงได้แล้ว  แต่เพื่อเป็นการรักษาแผนการณ์จึงวิ่งตามจังหวะเดิมต่อไป

ประธานเซ็นทรัล พระราม 2 ประธานสุเทพ

เมื่อเริ่มต้นที่ กม.ที่ 16  จึงไล่มาทัน น้องเต๋อ ที่แรงตกลงไป (คาดว่าจากการที่ติดภาระกิจไม่ค่อยได้ซ้อมยาว เลยหมดแรง) ถือเป็นงานแรกที่สามารถแซงเต๋อได้ หลังจากวิ่งด้วยกันมา 3 ปี  และก็ยังสามารถแซง คุณไก่จากพยัคฆ์ดำ ได้  (แซงผู้หญิงอีกแล้ว 5555) และก็วิ่งผ่านเจอประธานสุเทพ ที่วันนี้มาลงระยะมินิ ได้ ซึ่งวันนี้สีหน้าแกไม่สู้ดีเท่าใดนัก


เริ่มต้นกม ที่ 18 จากการเปลี่ยนสปีด มาเป็น 4.50 ทำให้ความมันส์ในการวิ่งเกิดขึ้น เพราะตอนนี้เริ่มวิ่งมาทันกลุ่มมินิ ที่วิ่งกันมา  ก็คิดอยู่ว่าวันนี้จะเจอใครบ้างและวิ่งทันใครบ้าง  สำหรับกลุ่มวิ่งมินิที่เร็วกว่า 1 ชม คงไล่ไม่ทันแน่ๆ  จึงตั้งเป้ามาหาคนไล่ ในกลุ่มที่ วิ่งมากกว่า 1 ชม  ซึ่งก็จะเจอคนแรก คือพี่อิ๊ด จากสมันน้อย  ตามด้วยพี่แอร์  ทำให้แรงฮึดเราเริ่มเกิดขึ้นอีก เหมือนยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา คำนวณแล้ว ถ้าใส่ 2 กม สุดท้ายนี่หมด ต่อด้วยไปว่าที่วิ่งให้ครบระยะฮาล์ฟ ยังไงก็ New PB แน่นอน จึงกัดฟันวิ่งเพื่อทำลายกำแพงนี่ลงให้ได้



แต่ก่อนที่จะไล่ใส่ไปมากกว่านี้ แอคชั่นแรก กับรูปถ่ายที่จุดแรก จากโปรรุจน์ ซะหน่อย 2 ภาพ เพื่อความเป็นสิริมงคล   หลังจากใส่มาก็เห็น พี่หลอดที่เริ่มแผ่วปลายอีกแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งเป้าหมายคือการแซงด้วยอารมณ์และความรู้สึกว่า ถ้าสามารถแซงและฉีกหนีออกไปได้ ถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จที่สามารถลดระยะจาก 2 กม ที่ห่างกันลงมาได้


พี่หลอด

และที่สำนักงานที่ดิน ก็เป็นจุดที่สามารถแซงพี่หลอดลงได้จริงๆ  น่าเสียดายจริงๆ เพราะปกติพี่เค้าซ้อมดีมากๆ ซ้อมสั้น ซ้อมเร็วใช้ได้ และ เวลา ซ้อมยาว ก็ว้อมทีละ 3-4 ชม  เสียดายที่เวลาวิ่งจริงไปวิ่งตามจังหวะคนอื่นไม่วิ่งตามจังหวะที่ซ้อม เลยทำให้แผ่วปลายทุกงาน

จากนั้นจึงกัดฟันวิ่งต่อโดยเป้าหมายจริงๆ คือทำสถิติ แต่พอดีสายตาสั้นๆ ก็เหลือบไปเห็น พี่วิเชียร ที่ห่างอยู่ประมาณ 200 เมตร จึงเริ่มเร่งเพื่อให้ทัน ตอนนี้คือเริ่มโถมและใส่ไม่ยั้งจริงๆ จากระยะ 200 เมตร ลดลงมาเหลือประมาณ 20-30 เมตร จนคิดว่าถ้ามีโอกาสจะพยายามแซงให้ได้

ซึ่งตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องการถ่ายรูปแล้วเพราะ เป้าหมายคือเจอพยัคฆ์อยู่ด้านหน้า สมันน้อยอย่างเราต้องไล่ให้ทัน จาก 30 เมตร ลดลงเหลือ 20 เมตร แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้อยู่ว่าโดนไล่ จึงเร่งความเร็วเพื่อรักษาระยะห่าง ซึ่งสุดท้ายพี่วิเชียรที่วิ่งอย่างเหลือๆ ก็สามารถประคองเข้าเส้นชัยไปก่อน โดยปล่อยให้ข้าพเจ้าไล่ไม่ทัน และต้องกลับไปทำการบ้านมาใหม่ ในงานหน้า


แต่ ภาระกิจในวันนี้ของข้าพเจ้ายังไม่จบ เพราะเมื่อวิ่งเข้าเส้นชัย รับเหรียญเรียบร้อย เช็คเวลาที่นาฬิกา ได้ 1.46.46 โดยที่พี่ทนงศักดิ์ ที่วันนี้เป็นพิธีกร ทักทาย ข้าพเจ้าก็ยังมึนๆ ทักตอบไปแบบมึนๆ เพราะตอนนั้นสติตั้งเป้าอย่างเดียว จะออกจากรูหลังวิ่งยังไงเพื่อไปวิ่งต่อ อีก 600 เมตร เพื่อให้ครบ ถึงแม้สถิติที่ควรจะดีกว่าดีนี้ ถ้าวิ่งไหลไปเรื่อยๆ  แต่การออกมาวิ่งให้ครบ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ค้างคาใจไปแบบนี้


600 เมตรที่เหลือ กว่าจะออกมาได้และหาทางวิ่งเพื่อไม่ให้ชนกับนักวิ่งที่กำลังเข้ามาเป็นไปอย่างยากเย็น

ซึ่งต้องวิ่งเผื่อให้เลยไปอีก จนเมื่อวิ่งจบและมาเช็คผลของวันนี้ที่ระยะนี้ สามารถจบได้ที่เวลา 1.49.26  ถือว่าภาระกิจวันนี้บรรลุเป้าหมายลงไปได้
กระชากครั้งสุดท้าย ก่อนไล่ไม่ทัน
ยังเสียดายไม่ให้กับระยะที่หายไปของการจัดงาน  กับน้ำ จุดที่ กม ที่ 18 ที่หมดลงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหวังว่าจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งต่อๆไป เพราะเสียดายกับสนามที่ดีดี สนามนี้ ถึงแม้ว่าจะมีบางจุดที่ไม่สามารถควบคุมการจราจร เพราะมีรถบางคันที่เริ่มหงุดหงิดที่ปิดถนนบางส่วนสำหรับการวิ่งในวันนี้ หวังว่าในอนาคตถ้าจัดบ่อยๆ ทุกคนที่ใช้การจราจรในย่านนี้จะเข้าใจ เพราะเป็นการส่งเสริมธุรกิจในนี้ให้คึกคักขึ้นด้วย แต่ถ้าจะให้ดี ถ้ามีแข่ง ร้านอาหารควรเลื่อนเปิดจาก 10.00 น มาเป็น 9.00 น จะได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยคนเลยทีเดียว


พบกันใหม่ที่ จอมบึงมาราธอน 
น้องและเพื่อนสนิท ที่ไปวิ่งด้วยกันตลอด
ไช้ 17   บอย 25


3 ความคิดเห็น:

  1. งานนี้เราวิ่ง mini ดีที่สุดเท่าที่เคยวิ่งมาสามารถเวลาได้ 1:10 แป๊ะ สามารถเอาชนะ half ไช้กับบอยได้ ปกติต้องเข้าทีหลัง ลบคำสพประมาทบอยได้ แล้ว 55555...

    ตอบลบ
  2. เยี่ยมเลยครับคุณน้อง จอมบึง ฮาล์ฟครั้งนี้ ฉลุยแน่นอน

    ตอบลบ
  3. เร็วจริงๆ ครับ pace ขนาดนี้ หายใจทันได้ยังไง

    ตอบลบ