เครดิต รูป จาก พี่ Tom Tri-Zest |
หลังจากกลับตัว ที่ กม.ที่ 5 เรียบร้อย เวลาก็เป็นไปดั่งใจที่คิดไว้ล่วงหน้า ที่ไม่เกิน 23 นาที และเมื่อรู้อันดับตัวเองว่าอยู่ที่ 4 ก็ทำให้คลายความวิตกกังวลลงไปได้บ้าง ความเครียดที่มีสะสมมาตั้งแต่ก่อนแข่งบรรเทาเบาบางลง ซึ่งสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังไตร่ตรอง ณ ขณะนั้น คือ จะทำอย่างไร ที่จะสามารถประคองอันดับและจังหวะการวิ่งของตนเองให้สามารถยืนหยัดไปสู่ปลายทาง 10K ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในวินาทีนั้น เหลือบสายตามองไปที่ข้างหน้าเห็นแนวหน้าหญิง ที่วันนี้มาในชุดดำ ที่กำลังวิ่งนำหน้าอยู่ ดูจังหวะแล้วคิดว่าสามารถติดตามได้ จึงเริ่มเร่งเพื่อให้เข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อยก็จะได้วิ่งไปเรื่อยๆ แนวหน้าระดับนี้คงคำนวณเวลามาเป็นอย่างดีแล้ว ซึ่งทำให้ ความเร็วในกิโลเมตรที่ 6 ความเร็วกลับไปอยู่เหมือนช่วง 4 กมแรก และทำให้เข้าไปใกล้คู่เทียบเฉพาะกิจ มาก โดยคะเนจากระยะทางไม่น่าจะเกิด 3 เมตร ที่ข้าพเจ้าวิ่งตาม
อีกเรื่องที่ไม่พลาดคือการสังเกตนักวิ่งในฝั่งตรงข้ามที่ยังไม่กลับตัวมา ซึ่งแน่นอน ได้เห็นพี่ที่ได้อันดับที่ 5 เมื่อปีก่อน ตามมา ซึ่งจากการคะเนด้วยสายตา ระยะห่างไม่น่าจะเกิน 200 เมตร รวมถึงบอย ที่วิ่งตามมาห่างๆ ตามด้วย น้องที่ได้อันดับ 3 รุ่น 85 กก เมื่อปีก่อน ที่ปีนี้อัพรุ่น หนีตามบอยขึ้นไป โดยระยะทางดูแล้วตามบอยมาไม่ห่าง ไม่น่าจะเกิน 50 เมตร
สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะตอนซ้อมวันที่โอเวอร์เทรนนิ่ง ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ก็ตามมาหลอกหลอนจนได้หลังจากเร่งความเร็วจากรอบที่ผ่านมา อาการเหนื่อยหอบและเร่งไม่ได้ดั่งใจ การหายใจเริ่มสั้น เร็วและหอบถี่ ก็เกิดขึ้น นาทีนั้น ในใจคิดว่าอยากจะให้การแข่งขันจบลงไวไว ณ ตรงนั้นเลย แทบไม่อยากวิ่งต่ออีกแล้ว
แต่ชั่ววินาทีเสี้ยวความคิดหนึ่งก็แวบที่เข้ามาให้หัวสมองในขณะนั้น คือบทความจาก สถาวรรันนิ่งคลับ ที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปหาความรู้อยู่เสมอ ในแฟนเพจ มากจาก หัวข้อ "วงรอบที่สมบูรณ์" จากย่อ หน้าที่ 7 กล่าวไว้ว่า ดังนี้
"ลองเร่งความเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ถ้าความรู้สึกเปลี่ยน
มีอาการเหนื่อยหอบเพิ่มขึ้นมากก ็แสดงว่าเราผ่านเกินจุดนั้นแล้ว
ถ้าลดความเร็วลงก็จะเกิดอาการล้ า ไม่คล่องตัว
เมื่อปรับเข้าความเร็วเดิม ความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปแล้ว
ดังนั้นต้องจดจำความรู้สึกที่ได ้รับสำหรับการวิ่งครั้งต่อไป
เมื่อวิ่งถึงจุดดังกล่าวต้องรัก ษาระดับความรู้สึก
และจังหวะความเร็วที่วิ่งในขณะน ั้นให้นานที่สุด
จะทำให้การวิ่งมีคุณภาพและเกิดป ระสิทธิผลที่ดีมากขึ้นครับ" -- สถาวร จันทร์ผ่องศรี
จากบทความนี้เอง ความหมายของมันอยู่ในวิกฤตในครั้งนี้ นั่นหมายความว่า ถ้า้ข้าพเจ้ายังยังดันทุลัง วิ่งที่ ความเร็ว ที่ระดับเร็วกว่า 4:40 ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบ จนผิดวงรอบ หรือว่าควรที่จะทิ้งเป้าหมายหลัก แล้วลดความเร็วลงไปต่ำกว่า 5 นาที อาการต่างๆ ก็คงไม่ดีขึ้น เพราะเมื่อวิ่งช้า ก็เกิดอาการล้า ไม่คล่องตัว อย่างที่ โค๊ชสถาวร กล่าวไว้
และอะไรล่ะ คือจุดลงตัว การคำนวณอย่างหยาบๆ ได้เกิดขึ้น เอาว่ะ โค๊ชว่าไว้อย่างนี้ คงต้องปรับตามต้นทุนตัวเองที่มีอยู่ไปก่อน มีโอกาสหน้าซ้อมดีดี ค่อยว่ากันใหม่ สถิติ 10K จ๋า (เพิ่งมาซ้อมได้เดือนเดียวจะเอาอะไรมากมนุษย์หนอมนุษย์) ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับจังหวะ ให้อยู่ใน Pace 4:50 ทันที ซึ่งแน่นอนความรู้จากโค๊ชผู้เชียวชาญที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทางด้านกรีฑามามากมายที่นำมาเป็นทฤษฏีอ้างอิงในครั้งนี้ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครื่องไม่ระเบิดระหว่างทางอย่างที่กังวล และเรื่องที่โชคดีอีกเรื่อง คือแนวหน้าหญิงที่ข้าพเจ้าพยายามเกาะติด และตามอยู่ วันนี้คงมาวิ่งจ็อคเล่นเพราะเพิ่งเห็นไปวิ่งฮาล์ฟที่พัทยามาราธอนมา ความเร็วจ็อคของน้องเค้าเลยอยู่ในระดับใกล้เคียง ในขณะที่ข้าพเจ้าพยายามกวด และหายใจได้เกือบปกติ ทำให้สามารถมีคู่เทียบให้เกาะเคาะเท้าไปได้อย่างมีจังหวะ
แต่ในระหว่างที่ทดลองปรับโน้นปรับนี่ ถึงแม้จะปล่อยการทำลายสถิติออกไปจากเป้าหมายในวันนี้ แต่ก็ยังไ่ม่วายที่จะต้องยังคงรักษาอันดับ ระหว่างทางที่มีเพื่อนนักวิ่งแซงไป ก็สังเกตจากรูปร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ตัวเล็กกว่าข้าพเจ้า ก็เลยคิดว่า คงยังไม่มีใครแซงไป และยังคงสามารถ ประคองอันดับได้อยู่
ยิ่งวิ่งยิ่งใช่ จังหวะที่ตามหา มานานนี่ มันอยู่ที่ 4:50 นี่เอง กม.ที่ 7 ผ่านไป เส้นทางกลับเข้าสู่บริเวณเส้นทางตัวหนอนที่คุ้นเคย นั่นหมายความว่าจุดกลับตัวข้างหน้าสุดทางสระน้ำจะพบจุดให้น้ำจุดสุดท้ายของงานนี้นั่นเอง พยายามเคาะจังหวะฝีเท้าให้เข้ากับลมหายใจ โดยที่เป้าหมายยังคงเกาะข้างหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดล่ะ
กม.ที่ 8 มีฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่กว่าข้าพเจ้าเล็กน้อย เร่งแซงผ่านไป ในใจคิดเลยว่าคงเป็นรุ่นเดียวกันแน่ๆ แต่ก็ได้แต่ทำใจและมีสมาธิกับตัวเอง ในการรักษาจังหวะเอาไว้ พยามยามไม่สนใจรอบข้างเท่าใดนักเพราะเหลืออีกเกือบ 2 กม. การซ้อมที่เคยเร่ง 2 กม. สุดท้าย ได้ความเร็วประมาณ 4.20 ต่อ กม. คงเอามาใช้ในงานนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะ 7 กม ที่ผ่านมาเป็นการวิ่งที่ใช้ความเร็วกว่าการซ้อมที่มักจะซ้อมอยู่ที่ 5 นาทีต้นๆ จึงทำให้มีแรงเหลือ ที่มาเร่งในตอนท้าย นี่เป็นอีกหนึ่ง ปัจจัย ที่หลังจากนี้จะต้องนำเอาไปปรับใช้ในการซ้อมต่อไป
จวบจน มา ถึง กม ที่ 9 น้ำที่ข้าพเจ้าดิ้นรน ถือมาตั้งแต่ออกสตาร์ท ก็เริ่มมีประโยชน์กับตัวข้าพเจ้าขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี่การทำผิดกติกาหรือไ่ม่ กับการถือน้ำมาวิ่งเอง
ข้าพเจ้าซัดน้ำ ที่มีอยู่ในขวดไปครึ่งขวด พอสร้างความชุ่มชื่นให้กับร่างกาย และน้ำในขวดที่เหลือ ก็บรรจง ราดลงศรีษะทั้งหมด เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนในตัวลง ซึ่งได้ผลในเชิงจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะนำฝาขวดที่อยู่ในมือซ้าย ข้ามมาเพื่อบรรจงปิดขวดเหมือนเดิม ก็เกิดความผิดพลาดขึ้น อาจจะเป็นมือข้าพเจ้ากำลังสั่นอยู่ก็คงเป็นไปได้ ฝาไม่ลงล็อค และหล่นลงไปที่พื้น ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเร่งขึ้นไป ใน อีก 800 เมตรข้างหน้า
ไม่มีเวลาที่จะคิดย้อนกลับลงไปเก็บมันขึ้นมาแน่ๆ ข้าพเจ้าจึงไม่อาจที่จะทนให้ฝาอันเป็นที่รัก พลัดพรากกับขวดที่คู่กันมานาน จึงบรรจง หย่อนขวดน้อยๆ ไว้ข้างทางเพื่อมิให้มันพลากจากกัน (ขออภัยที่ทำให้สวนสกปรก มา ณ ที่นี้)
มาถึงนาทีนี้ เหมือนนกที่กำลังโบยบินเพื่อหาเสรีภาพ เสียงนาฬิกาที่ดังมาตลอด แต่ทว่าข้าพเจ้าแสร้งทำไม่ได้ยิน กลับมาก้องในหูอีกครั้ง หมายมั่นที่จะวิ่งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่ ให้ไปหมดที่เส้นให้ได้ มา นาทีนี้ อยากรู้แล้ว ถ้าอัดจนหมด เข้าเส้นจะมือไม้ชา ตัวเย็น ไม่มีแรง เหมือนการรีดพลังให้หมดทุกเม็ดอย่างที่ีพี่น้อย เคยเล่าให้ฟังหรือป่าว แต่เอ๊ะ แนวหน้าที่เราเกาะหายไปไหนแล้ว บ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าแซงมาหรือนี่
มิใช่เลย น้องเค้าสปีดหนีไปไกลโพ้นห่างกันเกือบ 100 แล้วเห็นจะได้ 555+ แต่การสปรินท์ในครั้งนี้ทำให้สามารถวิ่งไล่ขึ้นมาทันคุณฝรั่งที่แซงไปเมื่อ กม ที่ 8 หลังจากแซงขึ้นไปได้ อาการหมดแรงกลับมาอีกครั้งกับชีวิตนักวิ่งวันนี้
เอาไงล่ะที่นี้ นี่มันหมดก่อนเข้าเส้นแน่ๆ เถียงไปได้ไม่ไกลกว่านี้แน่เลย คิดว่าก๊อก 2 คงหมดไปแล้วแน่ๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจ เอี้ยวคอไปทางซ้าย และก้มลงต่ำเล้กน้อย เป้าหมายอยู่ที่หน้าอก เอ้ย เบอร์ที่หน้าอกของฝรั่งท่านนั้น
"75" 75 เว้ย ฝืนบี้มาตั้งนาน คนละรุ่นซะงั้น ข้าพเจ้าจึงเบาเครื่องลงในจังหวะ recovery อีกครั้งที่ระยะ 100 เมตร ก่อนที่จะเข้าสู่ interval สุดท้ายในนาฬิกา คือ 300 เมตร นาทีนั้นหลังจากสัญญาณนาฬิกาเตือนว่าให้สปีดได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มเร่งให้เร็วขึ้น เพื่อเป้าหมายที่เพิ่งเข้ามาในหัวเมื่อสักครู่ในการวิ่งให้จบที่ ต่ำกว่า 47 นาที ในระยะ 10 กิโล นั่นหมายความว่าในขณะที่ข้าพเจ้าวิ่งผ่านเข้าจุดฟินิช เวลาจะต้องอยู่ที่ 46 นาที ให้ได้ เพราะว่าสนามนี้ระยะไม่ครบ 10 กม แน่นอน หลังจากที่ข้าพเจ้ามาร่วมงานหลายครั้ง ระยะจะอยู่ที่ประมาณ 9.8 - 9.9 กิโลเมตร แล้วแต่ลักษณะการวิ่งในแต่ละครั้ง
ข้าพเจ้าทะยานเข้าเส้นชัย ด้วยเวลาที่ข้อมือตัวเองที่ 46:35 นาที นาทีนั้นลุ้นเหมือนกันว่าเราจะนับตัวพลาดหรือป่าว เพราะน้องที่หน้าเส้นชัย นิ่งมาก เหมือนกับว่านักวิ่งคนนี้ ไม่ติดอันดับใดๆ แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาในระหว่างที่ข้าพเจ้าจะก้าวผ่านตรงจุดนั้นตรงขึ้นไป
"85 อันดับ 4" เสียงนี่มันสะท้อนก้องในหูไปชั่วขณะ ใจคิดเรานี่ก็บวกเลขเก่งไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
หลังจากรับป้ายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตามปกติของกิจกรรม ก็มีแจกเหรียญและเช็คป้าย แต่นาทีนั้นข้าพเจ้าใจรู้ว่ายังมีภาระกิจ อีก เกือบ 120 เมตร ที่จะต้องไปตามเก็บให้ครบ จึงเริ่มออกตัวเพื่อจะเร่งเก็บระยะให้ครบ
"เดี๋ยวววววววครับ ขอ.....คืน และ รับเหรียญ พร้อมจับสลากเบอร์ด้วย" เห้ย มันมีพิธีการอะไรอีกเนี้ย แล้วอีตาคนข้างหน้าก็ช้าเหลือเกิน มัวแต่เลือกจะจับเบอร์โน้นเบอร์นี้อยู่นั่น อย่างกับรางวัลเป็นบ้านพร้อมที่ดินนี่กระไร ข้าพเจ้าจะสปีดหนีวิ่งออกไปก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมีรูเล็กๆ อยู่รูเดียวให้ผ่าน จึงต้องจำใจ รอ และรับสลากให้เรียบร้อย ก่อนที่จะวิ่งออกไป จนครบ 10 km เพื่อบันทึกเป็นสถิติใหม่ประจำเดือนคือ 47.11 นาที
แต่เอ๊ะ ตะีกี้เค้าขออะไรคืนหว่า แต่ช่างเถอะวิ่งครบแล้ว ไปคูลดาวน์ดีกว่า ข้าพเจ้าจึงได้วิ่งต่อไป เพื่อเป้าหมายคูลดาวน์ ลดการเต้นหัวใจให้ช้าลง แต่ประทานโทษ วิ่งๆเดินๆไปได้แค่ 300 ตะคริวเหมือนจะขึ้น จึงต้องยุติการคูลดาวน์ไว้เพียงเท่านี้ จึงหาที่ยืดคลายกล้ามเนื้อแบบเบาๆ และเดินกลับที่จุดสตาร์ท เพื่อหาน้ำและหาของกิน เพราะตอนนั้นรู้สึกโหยหาอาหารอย่างเต็มที่ มิได้กินเพื่อเพิ่มน้ำหนักตัวเองให้เข้าเกณฑ์ตามที่ผู้จัดกำหนดไว้เหมือนปีก่อน
หลังจากจัดแจงแซนวิสในงาน เติมน้ำ และเกลือแร่ พอหอมปากหอมคอเรียบร้อย จึงพบกับบอยที่กำลังสาระวน ในการหาของกินอยู่เหมือนกัน จึงชวนกันเข้าไปสู่บริเวณรายงานตัว ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตนักวิ่ง ในระหว่างแถวที่รอเพื่อชั่งน้ำหนัก เหมือนกับนักมวยที่กำลังขึ้นชก มีทั้งผิดหวังและสมหวังกันหลังจากชั่งน้ำหนัก จนมาถึงคิวของข้าพเจ้า เท้าซ้ายค่อยๆ แตะไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ให้ งานนี้คุณเจี๊ยบ จ้อคแอนด์จอย เป็นผู้ควบคุมการตรวจสอบเองกับมือ ตัวเลข เริ่มรันขึ้น จาก เลข 1 สู่เลข 2 และ เริ่มหยุดสนิทที่ เลข 4 ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจก้าวขาขวาที่ยังคงเหยียบพื้นดินอยู่ ขึ้นไปบรรจบกับขาคู่แรกที่วางอยู่ ตัวเลขเริ่มขยับจากเลข 4 ไปเลข 5 และข้ามไปสู่หมายเลข 8 และ.....
ข้าพเจ้าเริ่มมีความไม่แน่ใจว่าตาชั่งที่งานนี้จะได้ค่าที่ออกมาเหมือนกับตาชั่งส่วนตัวที่บ้าน เพราะโดยปกติเมื่อข้าพเจ้าซ้อมเรียบร้อยแล้ว หลังจากจิบน้ำ และชั่งน้ำหนัก น้ำหนักจะอยู่ในเกณฑ์ 85 อัพ เสมอ แต่การระเบิดปอดออกไปในวันนี้ ไม่รู้ว่าน้ำหนักมันจะลดลงไปมากกว่าเดิมหรือไม่
ซึ่งในระหว่างที่รอรายงานตัว ได้คุยกับพี่ช่อทิพย์ เลยน้ำหนักตัวที่ลดไป หลังการวิ่ง ก็ได้ความว่า ขึ้นอยู่กับอัตราความเร็วที่ใช้เผาผลาญไป ถ้าเทียบแล้วคล้ายๆ กับว่าถ้ายิ่งเร่งเร็ว เหงื่อที่เสียออกไป ก็จะยิ่งมากขึ้น มากกว่าวิ่งช้า
ตายละหว่า หรือว่าเราจะประมาทเกินไปที่ไม่คิดตุนเพิ่มน้ำหนักในระหว่างรอ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อตัวเลข 8 หยุดนิ่ง และเลขด้านหลังเริ่มเปลี่ยนจาก 0 เขยิบไปเรื่อยๆ ใจภาวนา อย่ามาตกม้าตายเพราะเรื่องน้ำหนักนะเฟ้ย เพราะก่อนหน้านี้ รุ่น 85 กก อันดับที่ 3 ก็ตกม้าตายไปหนึ่งท่านเรียบร้อยแล้ว ตัวเลขขยับและสงบหยุดนิ่งอยู่ที่ 85.1 กก คุณเจี๊ยบบันทึกลงในกระดาษใบน้อยก่อนยื่นให้ข้าพเจ้านำไปยื่นเพื่อยืนยันผลการแข่งขันกับเจ้าหน้าที่ ที่อยู่ประจำโต๊ะ
ซึ่งมารู้กติกาที่หลังเพิ่มเติมอีกว่า โดยปกติ จะอนุโลมเรื่องน้ำหนัก ให้ +- ครึ่ง กิโลกรัมอยู่แล้ว (แล้วตรูจะกังวลไปทำไมเนี้ย)
ยินดีกับตัวเอง สำหรับถ้วยใบที่ 2 ในชีวิตของตัวเองจังเฟ้ยยย
บรรยากาศในขณะที่รอรับถ้วย ก็มีเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งคือ กลุ่มนักวิ่งชาวไทยปีก่อนที่รับถ้วยในรุ่น 85 กก. ปีที่แล้ว ปีนี้มากันครบ และติดอันดับกับด้วยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอันดับ 3 ปีก่อน น้องพงศกรที่ปีนี้ข้ามรุ่มไปรุ่น 95 กก และคว้าอันดับ 3 ได้ ส่วนข้าพเจ้า อันดับ 4 ปีก่อน เขยิบอันดับในปีนี้ขึ้นมาเป็นที่ 3
และพี่กฤติพงศณ์ ที่ปีก่อนได้อันดับที่ 5 ปีนี้ยังอยู่รุ่นเดิมและได้อันดับที่ 4 ในปีนี้ และที่ลืมไปไม่ได้ อันดับที่ 6 ในปีก่อน ปีนี้ ทำน้ำหนักหนีขึ้นไปอยู่รุ่น 95 กก สามารถคว้าถ้วยรางวัลจากการแข่งขันใบแรกในชีวิตนักวิ่งได้ ในอันดับที่ 2 ของรุ่น ก็คือนายบอย เพื่อนคู่ซ้อมของผมนั่นเองงงง.
ขอบคุณ จ๊อคแอนด์จอย ที่จัดรายการวิ่งแปลกๆ ขึ้นมา ทำให้ในช่วงชีวิตหนึ่ง มีลุ้นกับเค้าบ้าง จากใจ นักวิ่งอ้วนๆ คนหนึ่ง
ซึ่งแน่นอน ปีหน้า เราจะกลับมาอีกครั้ง ที่สนามนี้แน่นอน ก่อนจากที่เส้นที่เค้าขอคืนเพิ่งมารู้ตอนสุดท้ายว่าเค้าขอชิพคืนน นั่นเอง