พัทยา สนามที่เริ่มวิ่งตั้งแต่ปี 2010 / 2011 ที่ลงฮาล์ฟ และ ปี 2012 ที่ลงมินิ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากการวิ่งทั้งสามครั้งที่ผ่านมาว่าสมควร ลงวิ่งแค่ระยะมินิ เนื่องจากสภาพสนามและสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมกับตัวข้าพเจ้าเอง ที่ไม่เคยประทับใจกับเส้นทางที่นี่เลย การมาวิ่งก็เพื่อมาร่วมงาน เก็บเกี่ยวบรรยากาศกับเพื่อนๆ ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายเมื่อมาเยือนที่นี่ไปแล้ว
มาในปีนี้ ก็อีกเช่นเคยที่ข้าพเ้จ้าก็ยังยืนยันที่จะวิ่งระยะ 11 กม.เท่านั้น แต่ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนคือ มาเพื่อลบรอยแผลในครั้งเก่าที่ทำให้ข้าพเจ้าเดี้ยงยาวถึงสิ้นปีจากการเร่งแล้วกล้ามเนื้อกระตุก ที่หน้าโรงเรียน กม.ที่ 8 หรือ 9 จำไม่ค่อยได้ เป้าหมายในครั้งนี้คือวิ่งแล้วต้องไม่เจ็บ เป็นเป้าหมายแรกและเป้าหมายเดียวในวันนี้
เครดิตภาพ รุจน์ shutterrunning |
ที่บริเวณจุดปล่อยตัว ด้วยที่วันนี้มีเป้าหมายวิ่งแล้วไม่เจ็บ แต่แอบแฝงไปด้วยการทดสอบการเร่ง 5 กม.สุดท้าย ก่อนที่จะถึงอีเว้นต์ที่ตัวเองตั้งเป้าไว้ในอาทิตย์หน้า จึงหนีตัวเองออกไปอยู่หลังสุด เพื่อที่จะได้ออกสตารท์ไปอย่างช้าๆ ซึ่งนะจุดปล่อยตัวก็ได้ยืนประกอบกับพี่ภาคแห่ง เซนสื่อรักสื่อวิญญาณ ที่ปัจจุบันผันตัวเองตาม ดร.ต้าร์ และตูน เข้ามาร่วมงานวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นประจำ หลังจากทักทายพอหอมปากหอมคอ ประเภท น้องเค้างง ว่ามันเป็นใคร ก็เริ่มออกวิ่งตามจังหวะช้าๆ เพจ 8 ไปเรื่อย ๆ เก็บบรรยากาศนักวิ่งสาวๆ ข้างทางไปเรื่อยๆ เป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพใจอย่างแท้จริง
เครดิตภาพ รุจน์ shutterrunning |
ระยะทางเมื่อวิ่งเข้าสู่ถนนสุขุมวิท ถ้าใครที่มาวิ่งที่นี้ประจำจะรู้ว่าเป็นเส้นทางขึ้นเนินที่ใช้กำลังมากกว่าปกติ เนินยาวๆ ตามถนนหลวงเส้นนี้ ทำให้บรรดานักวิ่งไม่ประจำทาง ถึง กับเป่าปาก และเริ่มเดินกันมากขึ้น คาดว่าจะเกิดจากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกันเท่าไหร่
เมื่อถึง กม. ที่ 4 ก็เริ่มแปลกใจเมื่อมี เคนย่า และนักวิ่งบางส่วนวิ่งสวนทางมา เห้ยปีนี้เค้าเปลี่ยนเส้นทางวิ่งเหรอ ทำไม ไม่แจ้งนักวิ่งเลย ข้าพเจ้ายังไม่ทันที่จะคิดอะไรไปไกลกว่านี้ ก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกน ออกมาและเหมือนจะวิ่งตามนักวิ่งกลุ่มนั้นไป "ผิดทาง กลับมาทางนี้ครับ" เสียงที่แว่วเ้ข้าสู่โสตประสาท ที่ทำให้ข้อสงสัยถูกขจัดไป และยิ่งชัดเจน เมื่อเห็นกลุ่มนักวิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับข้าพเจ้ากำลังเลี้ยวซ้ายบริเวณห้างชื่อดัง
วันนี้ กลุ่มนักวิ่ง ที่รู้จักส่วนใหญ่จะทำเวลาได้ดี ณ จุด 4 กม. ที่ข้าพเจ้ากำลังผ่าน เป็นระยะ ทาง 7 กม สำหรับผู้ที่วิ่งกลับมาตรงฝั่งตรงข้าม หมายถึงข้าพเจ้าตามถึง 3 กม. ที่ทิ้งข้าพเจ้า เทียบเป็นเวลาก็คงไม่ต่ำกว่า 15 นาที หากจะไล่ให้ทัน บ้าไปแล้ว ใครวิ่งตามก็บ้าแล้ว ข้าพเจ้าคิดในใจ แต่การกระทำของขา หาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อ สัญญาณนาฬิกา แสดงระยะทาง 4.5 กม. ยังไม่ครบตามที่ตั้งใจ ข้าพเจ้าจึงเริ่มหยิบปังตอขึ้นมาพื่อสับ เอ้ยไม่ใช่ เริ่มเปลี่ยนวงรอบของขา ปรับความเร็วขึ้น เพื่อทดสอบ 5 กม. สปีดความเร็วว่าอาทิตย์น่าจะไหวหรือไม่
เครดิตภาพ ตุ้ม shutterrunning.com |
การวิ่งหลัง กม.ที่ 5 ไม่สนุกเหมือนการวิ่งช่วงแรก แต่ก็แลกมาด้วยความเร้าใจ ในขณะที่ไล่เก็บกลุ่มนักวิ่งทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักไปทีละคน เมื่อเพชรฆาตออกล่าเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น ความเร็วที่เร่งขึ้นโดยฉับพลัน ทำให้ เมื่อวิ่งไปได้ 2 กม. หลังจากเร่ง เริ่มส่อสัญญาณไม่ดี ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ ปรับความเร็วลง เพื่อให้อาการจุก ลดลง ทั้งเอามือล้วงเข้าไปที่ลิ้นปี่ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลาย จากนั้นอาการจึงดีขึ้น คาดว่าคงเกิดจากอาการ ละทิ้งกิเลสไม่ลง เมื่อเห็น คู่แข่งหลายๆคนที่วิ่งทดสอบกันบ่อยๆ ห่างกันเหลือเกิน
ฝันร้ายเมื่อปีก่อนถูกทำลายกำแพงลงไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงเริ่มปรับความเร็วขึ้น เพื่อให้ไล่ระยะทางของบรรดาเหล่านักวิ่ง เพื่อคู่แข่งระหว่างทางให้สั้นลงที่สุด
จนในที่สุดก็เข้าเส้นชัย ได้ในเวลา 1:01:28 ตามเวลาที่ข้อมือตัวเอง พร้อมแล้วสำหรับจ้อคแอนด์จอยมินิมาราธอน อาทิตย์หน้าเจอกัน
เครดิต ภาพ จาก คุณเตือน บางขุนเทียน |
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น