http://portman1975.blogspot.com/2013/07/race-123-jog-and-joy-day-part-i.html
ภาพบรรยากาศปล่อยตัวจาก www.jogandjoy.com |
หลังจากที่สามารถเข้าถึงและรับรู้ความรู้สึกของชึวิตแนวหน้าในการปล่อยตัวแล้ว ว่าเป็นเยี่ยงไร ข้าพเจ้าก็กลับมาสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้ง ......
ในครั้งนี้มีสิ่งที่แปลกประหลาดมาก ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยทำมาก่อนและต่อไปก็คงไ่ม่คิดทำอย่างนี้กับงานอีกไหนๆ อีกแล้ว คือ การวิ่งวันนี้ตั้งใจให้ตัวเองเปรียบเสมือน โรบอทที่ไม่มีชีวิต ไม่ฟังเสียงลมหายใจตัวเองขณะวิ่ง หรือ รับรู้ความรู้สึกใดใด นอกจาก เสียงสัญญาณดิจิตอล ที่ใช้ควบคุมตัวเอง ดั่งตัวเองเป็นหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ก็มิปาน
โปรแกรมที่วางแผนไว้ |
Garmin 610 workout วันนี้ถูกตั้งโปรแกรมควบคุม วิธีการวิ่งเอาไว้เพื่อทดสอบการควบคุมตนเองเอาไว้ โดยวันนี้ต้องการที่จะวิ่งสเตปและด้วยวิีธีแบบนี้ไปตลอดเส้นทาง โดยวิธีการคำนวณก็ทำง่ายๆ และรวกๆ โดยนำเวลาและสถิติในอดีตที่เคยทำได้ดีที่สุด คือ 46:06 นาที มาเป็นตุ๊กตาในการตั้งโปรแกรมและกำหนดแนวทางการวิ่งเอง
คุณสมบัติของการตั้งโปรแกรมแบบ Interval ในนาฬิกาการ์มิน รุ่น 610 คือ เราสามารถตั้งจังหวะที่ต้องการเป็นช่วงระยะเวลาที่ต้องการได้ โดยหากวิ่งเร็วกว่าเวลาเป้าหมาย นาฬิกาก็จะร้องเตือนและแจ้งให้ "Slow Down" แต่ถ้าหากว่าผู้ใช้ วิ่งช้าเป็นเต่ากว่าค่าต่ำสุดที่ตั้งไว้ นาฬิกา ก็จะส่งเสียงร้องและสั่นเตือน และแจ้งข้อความว่า "Speed Up" ซึ่งหากผู้ใช้สามารถควบคุมเวลาให้อยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ และสามารถประคองจังหวะได้สม่ำเสมอ นาฬิกา ก็จะแสดงข้อความเป็นกำลังใจให้ว่า "Desire Zone"
แต่ทว่าการกำหนดเวลาแบบนี้ในแต่ละ Interval Target โดยประเมินจากสถิติตัวเอง มากำหนด ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรนำมาเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะสถิติที่ทำได้ในครั้งนั้น สถิติที่ดีที่สุดเป็นช่วงเวลาที่พัฒนาการ ทางการวิ่งมีมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างนั้น และมันคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการนำมาประเมินศักยภาพในวันนี้ อย่างที่นักวิ่งทั่วไป มักจะเรียกว่า "ประเมินต้นทุนที่แท้จริงตัวเองไม่เป็น" แต่นั่นคือสิ่งที่ยังไม่รู้ตัวก่อนที่จะวิ่ง
.................................................................................................................................................................
แผนการณ์ในการวิ่งอธิบายแบบคร่าวๆ ก็คือ จะวิ่ง จังหวะ 4:30-4:35 ในกิโลเมตรแรกและ ผ่อนความเร็วลงเหลือ 4:40-4:45 ในกิโลเมตรหลัง วิ่งแบบนี้ จนครบ 8 กม. พูดง่ายๆ ก็วิ่งซ้ำๆ แบบนี้ 4 เที่ยว และ ตามด้วยการลงคอร์ตสั้น 400 เมตร และ 200 เมตร ไปเรื่อยๆ จนเข้าเส้น
แต่ทว่าหลังจากกระชากออกจากจุดปล่อยตัวไป จริงๆ แล้วก็ตั้งใจจะวิ่งตามฝรั่งรุ่นเดียวกันที่น่าตาละม้าย คล้ายคลึง กับ เคราร์ด ปิเก้ สุดยอดกองหลังของยอดทีมบาร์เซโลน่า แต่คุณพี่ไม่รู้วิ่งเหมือนวิ่งหนีเจ้าหนี้ที่ไหน พี่ท่านเล่นฉีกหนีไประลิ่วไม่ทิ้งฝุ่นไว้ข้าพเจ้าสูดดมเลย ข้าพเจ้าจึงทำได้แค่ตามหลัง ผู้กองยอดนักวิ่งท่านหนึ่ง ตามไปได้สักระยะ ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต สักวันหนึ่งฝันว่าจะลองวิ่งตามโยธิน นักวิ่งทีมชาติดูบ้าง คงเท่ห์ไม่น้อย แต่การปล่อยตัวเองให้วิ่งไปตามบรรยากาศและไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้ แค่เพียง 1 กม.แรก ข้าพเจ้าก็แทบจะถอดวิญญาณออกจากร่าง ซึ่งตอนนั้นยังคิดอยู่ในใจว่า ถ้าไม่มีนาฬิกาให้ดูเวลา คงวิ่งได้ไม่เกิน 3 กม เป็นแน่ๆ
แต่ทว่ายังไม่หมดแค่นั้น เพราะว่าวันนี้ข้าพเจ้าค่อนข้างมีปัญหากับนาฬิกามาก เพราะวันนี้ตั้งหน้าปัดนาฬิกาให้แสดงข้อมูลแต่ละรอบตามโปรแกรม Interval แทนที่จะตั้งดูภาพรวมเหมือนกับการใช้งานในครั้งก่อนๆ เพราะเหตุนี้ นี่เอง เมื่อเกิดภาวะเหนื่อยกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการหูดับตาลาย จำอะไรไม่ค่อยได้ขณะวิ่ง ครั้นจะเปลี่ยนหน้าปัดมาใช้แบบเดิม ก็เกรงใจตัวเอง และประกอบกับ วันนี้ถือขวดน้ำวิ่งด้วยจึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการปรับเปลี่ยนเท่าใดนัก
สิงหา ปานดำ นักวิ่งแนวหน้าจากวินเนอร์รัน |
เมื่อเข้าสู่เส้นทาง เกือบกม ที่ 2 สิงหา ปานดำ ดนักวิ่งชั้นแนวหน้า ก็ได้วิ่งขึ้นมาประกบด้านขวามือ ทักทายกันนิดหน่อย และเค้าก็จากเราไปอีกคน เมื่ออ่านถึงบันทัดตรงนี้อย่าคิดว่า ข้าพเจ้าวันนี้สเตปเทพ แต่ความเป็นจริงคือ สิงหา น่าจะมาสาย และอยู่ด้านหลัง กว่าจะสปีดขึ้นมาตามทัน เลยใช้ระยะทาง กว่า 1 กม. ซึ่ง จริงๆ แล้ว ก่อนเวลาตรงบริเวณจุดปล่อยตัว มีนักวิ่งแนวหน้า หลายท่าน ถามหา สิงหา กันหลายท่าน ซึ่งก็เดาไปต่างๆ นานา ว่าคงไม่มา เพราะเมื่อวาน เพิ่งไปปล่อยของ ที่ ร.ร. สตรีวิทยา 2 มา (อย่าคิดลึกล่ะ เมื่อวาน สิงหา เพิ่งไปคว้า อันดับ 1 ในรุ่น 30 ปี ระยะ มินิมาราธอนมา) ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดเยี่ยงนั้น ว่าวันนี้คงไม่มา เพราะอาจจะเตรียมไปเชียร์หงส์แดงในตอนเย็น หรือว่าอาจจะล้า จนมาไม่ไหว อิอิ นอกจากจะโดนแนวหน้า สิงหา ปานดำ แซงไป อีกคนที่ต้องเอ่ยถึงและลืมไม่ได้ ก็ คือ คุณป้อม litte tiger ที่วันนี้สเตปการวิ่งเนียนและเร็วมาก คิดว่าคงมีเป้าหมายในงานนี้เหมือนกัน เพราะปกติไม่ค่อยเห็นคุณป้อมในจังหวะที่มุ่งมั่นแบบนี้เท่าใดนัก..
หน้าจอ Garmin Connect |
จุดให้น้ำแรก อยู่ที่ กม ที่ 2 กว่า ๆ ณ ตอนนั้น ข้าพเจ้าใช้เวลาไปประมาณ 9 นาที ซึ่งเีร็วกว่าแผนไปมาก หลังจากโฉบรับน้ำที่โต๊ะแรก ก็นำมาราดลงศรีษะเพื่อลดความร้อนที่สะสม เรียบร้อย จึงรีบฉกน้ำแก้วที่สอง และบรรจงจิบ ไปเล็กน้อย พอลดความกระหาย แล้วเริ่มกระชากออกไป แต่ทว่าหลังจากออกจากจุดนี้ไปข้าพเจ้ากลับเกิดอาการเบลอร์จากเสียงนาฬิกาที่มันร้องเตือนตลอดเวลา เพราะว่าการวิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
กลายเป็นคิดไปว่า ตอนนี้ กำลังวิ่งเข้าสู่ กม ที่ 4 มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนเจอป้าย บอกระยะทางที่ตั้งอยู่ข้างทาง ว่าเป็น กม. ที่ 3 สมองที่ล่องลอยอยู่ ณ ขณะนั้น จึงคิดว่าคงต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเสียที มิเช่นนั้น สมองก็คงจะเบลอร์ ไปกับการนั่งคำนวณเวลา จิตไม่สงบเสียที จากนั้นจึงทำการปรับเปลี่ยน display นาฬิกา ให้กับเป็นหน้าจอปกติ ซึ่งทำให้สามารถเห็นระยะทางปัจจุบัน และเวลาที่ใช้จริง
เหมือนเริ่มรู้สึกตัวว่าทำอะไรผิดไป จึงเลิกการควบคุมตัวเองโดยเทคโนโลยีทันที เริ่มกลับมาฟังเสียงร่างกายตัวเองในการวิ่งแทน ปรับจังหวะหายใจให้สบายขึ้น หลังจากที่ต้องหอบมาตลอด เริ่มรู้สึกตัวเบาขึ้น แต่เสียงการเตือนของนาฬิกาก็ยังตามหลอกหลอนอยู่เป็นระยะ แต่นาทีนั้นคือตัดสินใจแล้วว่าไม่สนใจ และต่อไปคงไม่ตั้งแบบนี้อีกแล้ว (ถึงตอนนี้ ระหว่างทางมีเจอเพื่อนๆ น้องๆ ที่มาร่วมซ้อมกับโค๊ชดินที่สวนหลวงวันนี้ แต่ทักทายไม่ได้ เพราะมันเหนื่อยอยู่ ทำได้แต่เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น)
เมื่อมาถึงจุดให้น้ำจุดที่ 2 ก็คือ บริเวณ กม. ที่4 ซึ่งเป็นบริเวณใกล้สนามเทนนิส ในสวนหลวง ร. 9 ก็ทำเหมือนกับที่เคยทำให้จุดแรก อีกครั้ง จำได้ว่าจุดให้น้ำนี้เป็นจุดที่ให้น้ำ ซ้อนกันคือ จุดที่ 2 และ 3 เป็นจุดเดียวกัน แต่ตั้งโต๊ะให้น้ำกันคนละฝั่งเท่านั้น นั่นหมายความว่า จุดกลับตัวที่อยู่ข้างหน้า ก็คือ อีก 1 กม. ซึ่งจุดกลับตัวตั้งอยู่บริเวณหน้า้ห้องน้ำ ในจุดที่ข้าพเจ้าและเพื่อนไปวอร์มกันก่อนแข่ง
ระหว่างทาง กม.ที่ 4-5 นี่แหละ มักจะเป็นจุดที่สังเกต หรือจุดชี้เป็นชี้ตาย สำหรับนักวิ่งที่กลับตัวมาแล้ว เพื่อเช็คอันดับตัวเอง คร่าวๆ ว่าอยู่ตำแหน่งใด ซึ่งแน่นอน คนแรกที่ข้าพเจ้าเห็นผ่านมา ก็คือ นายเคราร์ด ปิเก้ ที่เห็นในตอนเช้า ซึ่งมาทราบชื่อในภายหลังว่า คือ มิสเตอร์นาธาน ควิก แค่ นามสกุลก็ไวแล้ว 555
จากนั้น คนที่ 2 และ 3 ในรุ่น 85 กิโลกรัม ก็ผ่านไป ซึ่งหากสายตาไม่เบลอร์จนเกินไป ขณะนี้ ตัวข้าพเจ้ายังครองตำแหน่งอยู่ในลำดับที่ 4 ซึ่งแน่นอน เมื่อถึงจุดกลับตัวที่ กม ที่5 ยังไม่มีนักวิ่งท่านใดแซงข้าพเจ้าขึ้นไปได้ ซึ่งเมื่อระยะทางวิ่งครบ 5 กม.แล้ว สังเกตจากเวลาใช้เวลาไป ไม่ถึง 23 นาที ซึ่งถือว่าค่อนข้างพอใจ และมีความเป็นไปได้ ที่จะทำลายสถิติ 46 นาทีลงไปได้
ผ่านมาถึงจุดนี้ทำให้คิดถึงงานนี้ เมื่อปีก่อน ที่หลังจากกลับตัวแล้ว ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ประสีประสาอะไร กับเรื่องการนับตัวอะไรเท่าใดนัก เพราะไม่เคยมีลุ้นในการแข่งขันอยู่แล้ว แต่มีเพื่อนนักวิ่งที่อยู่ตรงข้าม ที่วิ่งมาและยังไม่กลับตัว ตะโกนบอกนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า ว่าอยู่ที่ 5 ตายละหว่า ถ้าพี่เค้าอยู่ที่ 5 ข้าพเจ้าก็อยู่ที่ 7 อ่ะดิ เพราะที่ 6 ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เจ้าบอย ที่ปีก่อนยังอยู่ในรุ่น 85 รุ่นเดียวกันกับข้าพเจ้า ที่ตอนนั้น น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 93-94 กิโลกรัม ซึ่งในปีนั้นข้าพเจ้าก็เร่งสปรินท์ จนแซงไปได้รับป้ายอันดับที่ 5 แืทนจนได้ แต่รับถ้วยจริงเป็นอันดับที่ 4 เพราะมีนักวิ่งฟาล์ว เพราะน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์
จบตอน 2/3
โฉมหน้านักวิ่งรุ่นใหญ่ 85-94 กิโลกรัม ปี 2013 |
แนะนำให้เปลี่ยนนามสกุลเป็น ควิกเกอร์ฮ่ะ ;p
ตอบลบ