วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Race 107 ระยอง ฮิ สั้น

Race 107 คลาสิค ระยองมาราธอน

จากแผนการและโปรแกรมที่วางไว้ สำหรับมาราธอนนี้ ล้มเหลวไม่เป็นท่า การซ้อมยาวไม่เคยถึง 30 โล แม้สักครั้ง  จากเป้าหมายมาราธอน ต้องมองลงต่ำลงมาเหลือที่ ครึ่งมาราธอน สภาพขาจากอาการรองช้ำ ตั้งแต่ใส่รองเท้าบำบัดเหมือนจะดีขึ้น และแม้จะใกล้วันเข้ามา ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้

เช้าวันเสาร์ออกเดินทางตั้งแต่ 7.30 น เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ

แวะชิม อาหาร ณ ร้าน อร่อยริมทาง  อาหารสไตล์มุสลิม
แวะชม เรื่อรบหลวงจักรีนฤเบศก์
แวะไหว้ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ แสมสาร
แวะทานอาหารที่ หน้าพิพิธภัณฑ์พันธ์สัตว์น้ำระยอง

เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน ตัวเองยังไม่ได้ทันตัดสินใจอะไร กลับมุ่งหน้าไปรับเบอร์ที่ได้รับฟรี ที่สมัครไว้ล่วงหน้าตั้งแต่งาน ชมภาพยนตร์ รัก 7 ปี ดี 7 หน ซะงั้น  เลยกลายเป็นว่าตัดสินใจลงมาราธอน ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการลงมาราธอน จะต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ไม่พร้อมจะสะท้อนออกมาเมื่อลงสนามจริง

มาราธอนนี้ เป็นมาราธอนครั้งที่ 5  หลังจากที่เคยวิ่งที่จอมบึงปี 54 และ 55  สงกรานต์มาราธอนปี 54 กรุงเทพฯมาราธอน ปี54 วิ่งปี 55  ถือว่าเป็นมาราธอนที่ซ้อมน้อยที่สุด เพราะ 4 ครั้งแรก มีการเตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างหนัก ซึ่งผลที่ได้ออกมากลับกลายเป็นอย่างนี้

ครั้งแรกที่จอมบึงปี 54  เป็นมาราธอนแรก ตั้งใจวิ่งสลับเดิม  พอวิ่งจริง 10 โลสุดท้ายคิดว่าแรงเหลือ ใส่ไป ตะคริวขึ้นเลยจบไม่สวย จบงาน เดินขึ้นบันไดไม่ได้ไปหลายวัน

ครั้งที่ 2 สงกรานต์มาราธอนปี 54  เป็นมาราธอนที่สองที่สามารถวิ่งติดต่อกันได้ 30 กม ที่เหลือเดินสลับคลานอีก 12 กม. เพราะตะคริวมาอีกแล้ว ประมาณ 5 รอบสวนลุม  วิ่งจบ สลบไปหลายวัน ขึ้นบันได้ไม่ได้เช่นเคย

ครั้งที่ 3 จอมบึงปี 55 เป็นมาราธอนที่ซ้อมหนักที่สุด ทั้งซ้อมยาว ทั้งซ้อมเร็ว แต่โดนน้ำท่วมสะกัดไม่ต่อเนื่อง  สามารถวิ่งได้ถึง 37 กม ในอัตราความเร็วต่ำกว่า 6 นาที  5 กม ที่เหลือ เดิน บวก คลาน เพราะตะคริวก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ วิ่งจบ ระบมไปทั้งตัว ขึ้นบันไดไม่ได้อีกครั้ง

ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯมาราธอน ปี 54  เป็นมาราธอนที่เดิมทีตั้งความหวังไว้ แต่การเลื่อนมา ทำให้แค่มาวิ่งเฉยๆ เพราะหลังจากจอมบึงไม่ได้ซ้อมยาวเลย  เป็นมาราธอนที่มีอาการบาดเจ็บติดตัว จึงวิ่งได้ 20 กม และ 22 กม ที่เหลือ วางแผนใหม่ เป็นการวิ่งสลับเดิน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่เอาเวลามาเป็นตัวแปร วิ่งจบ ตะคริวไม่ถามหา แต่เวลาไม่ได้เรื่อง  ระบมไปทั้งตัว อีกเช่นเคย คิดว่าพักจากงานมาราธอนก่อนไม่พอเลยทำให้เป็นแบบนี้

พอมาถึงครั้งนี้ เมื่อนำประวัติการวิ่งมาพิจารณาทำให้รู้ว่า การวิ่งมาราธอน ที่ไม่ใช่การแข่งขัน ต้องเป็นมาราธอนที่ประมาณตน จึงตั้งใจว่าในวันนี้จะวิ่งไม่ให้เร็วกว่า 6.30  โดยจะประคองวิ่งที่จังหวะ 7 นาที ต่อ กม.  วิ่งไม่ให้รู้สึกเหนื่อย  นี่คือแผนการก่อนการวิ่งครั้งนี้

เมื่อเดินทางมาถึงงานก็เหลือเวลาอีกเพียง 5-10 นาที จะปล่อยตัว จึงต้องรีบวิ่งเบาๆ ให้ตัวพออุ่นเข้าไปในงานและหาโอกาสยืดเหยียดเท่าที่มีโอกาส วันนี้ได้เจอพี่เยาว์ พี่ที่มาซ้อมด้วยกันที่สถาวรรันนิ่งด้วย พี่เค้าบอกว่าให้รอรอกันด้วย ผมคิดในใจว่าผมจะรอดหรือป่าวยังไม่รู้เลย อิอิ

ตี สี่ ตรง การปล่อยตัวก็เกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้  นักวิ่งต่างๆ เริ่มทยอยวิ่งกันออกไป แต่ข้าพเจ้าลืมไปว่า GPS ยังไม่ได้เปิด ซึ่งเสียเวลา อยู่เกือบ 10 วิ กับการเปิดและรอวิ่งออกไป ถือว่ายังดีที่ตอนวอร์มมีการเปิดสัญญาณไว้ มิเช่นนั้นคงใช้เวลาในการหาสัญญาณอีกนานแน่ๆ

เส้นทางออกจากตัวพิพิธภัณฑ์ มุ่งหน้าสู่หาดสวนสน ในเวลาตี 4   ช่วง 4 กม แรกนี่ก็ยังดีอยู่ เพราะเป็นการวิ่งผ่านชุมชน ผ่านตลาด และท่าเรือข้ามฟาก แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของหาดสวนสน ที่มีแนวสน ตั้งตระหง่านเป็นแนว อยู่ตลอดชายฝั่ง นั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดมิด ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามา จังหวะการวิ่งของนักวิ่ง ส่งเสียงดังขึ้นสลับกับเสียงซัดจากเกลียวคลื่น ลูกแล้วลูกเล่า

ภายใต้ความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่าง ซึ่งได้มาจากทีมงานจักรยานและรถยนต์ที่ช่วยกำกับเส้นทาง ทำให้พอมีแสงไฟสำหรับการวิ่งในเส้นทางนี้ วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มแนวหน้ากลับตัวมาแล้วจากจุดกลับที่ กม 7 ในขณะที่เรายังอยู่ กม ที่4 นักวิ่งท่านแล้วท่านเล่า ทยอยแซงข้าพเจ้าไป และก็สวนทางลงมา ซึ่งรวมถึง เพื่อนคู่หูของข้าพเจ้าด้วย  ในขณะที่เข้าเจ้าอยู่ที่เกือบถึง กม ที 6 เพื่อนข้าพเจ้าก็สวนกลับมา โดยวิ่งมากลับกลุ่มนักวิ่งจาก ชมรมบางขุนเทียน อยู่หลายคน  ซึ่งอาจจะเป็นการวิ่งที่เพื่อนถนัดกับการวิ่งพร้อมคนอื่น  ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้เลย เพราะวิ่งพร้อมคนอื่นที่ไร บรรลัยทุกที เพราะจังหวะเสียไปหมด

ในวันนี้ จากอากาศที่เย็นสบาย พร้อมลมโชยจากชายทะเล ทำให้การควบคุมจังหวะ ไม่ให้เหนื่อยสามารถทำได้ง่ายกว่าปกติ การวิ่งโดยดูต้นทุนของตัวเอง ไม่บ้าบิ่น ทำให้ทุกก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยิ่งก้าว ยิ่งมั่นใจว่าวันนี้ จบสวยแน่ๆ  หลังจากได้กลับตัวเหมือนคนอื่น และกลับมาเข้าสู่เส้นทางที่มีแสงสว่างดังเดิม เริ่มเห็นหน้านักวิ่งที่ผ่านมาและแซงไป  (แซงไปเหอะ วันนี้ยอมให้)

เป็นการวิ่งย้อนเส้นทางเดิม แต่ด้วยเวลาที่แตกต่าง ก็ได้มองเห็นอะไรที่แตกต่างกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน  ซึ่งขาไป เป็นช่วงเวลาตี 4 กว่า ๆ ร้านค้าต่างๆ เพิ่งจะทยอยเตรียมตัวขายของ แต่เมื่อวิ่งกลับมา ก็เจอชาวบ้านมานั่งจิบกาแฟ สนทนากันอย่างคับขั่ง ในตลาดมีของขายส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในขณะวิ่งอย่างมาก  บางบ้าน ก็เพิ่มเปิดบ้าน บางบ้าน ก็มีเด็กนักเรียนเตรียมตัวใส่เสื้อผ้างานวิ่ง เตรียมขึ้นสองล้อเครื่อง ไปวิ่งที่งาน มีพระมาบิณฑบาต เป็นระยะ นับเป็นวิธีพุทธที่น่าสนใจและค้นหาอย่างยิ่ง

เมื่อวิ่งมาถึงจุดแยกที่ กม ที่ 14 ตามหลักฐาน ทางข้อมูลและโทรศัพท์ ที่วันนี้เปิด app Endomondo ควบคู่กับนาฬิกาการ์มิน เพราะเกรงปัญหาจากแบตเตอร์รี่นาฬิกาจะมาบ่อนทำลายสถิติการวิ่งยาวในวันนี้

ซึ่งระยะที่แสดงออกมาคือ 14 กม  ซึ่งต่างจากหลักฐานที่ปักอยู่บริเวณถนน คือ กม ที่ 15

ใจคิดทันที มันจะไปปรับการเพี้ยนตรงไหน หรือว่า ระยะวันนี้จะไม่เต็ม แล้วถ้าไม่เต็มจริงจะเอาไงดี ใช้อุปกรณ์ตัวไหน จับระยะจริง และจะใช้อุปกรณ์ตัวไหนวิ่งต่อไปเพื่อให้ครบ 42.195  ทุกสิ่งพร่างพรูเข้ามาในหัวสมองอย่างฉับพลัน

หลังจากที่วิ่งเข้าเนินมาและเข้าสู่หาดแม่รำพึง นักวิ่งระยะฮาล์พทยอยกลับตัวมาแล้ว รวมถึงระยะมาราธอนด้วย (จะวิ่งเร็วไปไหนเนี้ย)

18 กม ผ่านไป ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อย วันนี้ไม่มีหยุดเดิน มีเพียงแต่ชะลอเข้าไปรับน้ำ ผลไม้เท่านั้น พยายามประคองจังหวะนี้ ไปเรื่อยๆ แต่ทว่า หลัง กม ที่ 20 แดดเริ่มส่องแสง ดีที่ว่า ยังเป็นการหันหลังให้แดดอยู่ จึงยังไม่ได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งยังคิดในใจเลยว่าวันนี้ตัดสินใจได้ถูกต้องที่นำเสื้อแขนสั้นมาใส่วิ่ง แทนที่จะใส่เสื้อชมรม ไม่งั้นการเสียเหงื่อคงมากกว่านี้แน่นอน

เมื่อเกือบถึงจุดกลับตัว ตามระยะจริงที่ กม ที่27 ก็ได้เจอพี่ดาบจ้ำ ตะโกน บอก บอยอยู่ข้างหลัง และก็ได้เจอบอย เมื่อเราอยู่ที่ กม ที่ 26 กว่าๆ แต่บอยกลับตัวมาแล้ว ระยะห่างประมาณ 1 กม  ซึ่งสามารถย่อระยะจากจุดกลัวตัวแรกมาได้ 1 กม แสดงว่าบอยเริ่มวิ่งตกลงอีกแล้ว  แต่ใจยังห้ามตัวเองไว้ว่าวันนี้ลงมาราธอน ห้ามเร่ง ห้ามเหนื่อย ถ้าจะแซงได้ ก็แซงได้เองจึง ตัดอารมณ์การแข่งขันส่วนตัวออกไป

หลังจากได้กลับตัว ที่ป้าย กม ที่ 28 (ระยะจริง 27 กม) วิ่งพ้นโค้งมาสักพัก ก็มาตามนัด ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ตะคริว แต่เป็นแสงแดดที่ เริ่มเปล่งประกาย ความร้อนแรง เข้ากระทบกับโสตประสาท โดยผ่านช่องทางสายตา อย่างเป็นระยะ

จึงต้องหาหนทางแก้ไข โดยการวิ่งข้ามไปอีกฝั่งถนนนึ่ง ที่ยังมีร่มเงาต้นไม้ช่วยได้บ้าง ระหว่างประคองจังหวะวิ่ง ก็แวะ ทานมะละกอบ้าง เกลือแร่บ้าง และที่ลืมไม่ได้ช็อคโกแลตประจำกาย

วันนี้ได้เตรียมช็อคโกแลต ขนานใหญ่เอาไว้เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งเริ่มทยอยหย่อนใส่ท้องทุก 5 กม ตั้งแต่ วิ่งครบ 10 กม.  การเติมน้ำตาลจากช็อคโกแลต อาจทำให้มีพลังงานการวิ่งในวันนี้ อย่างไม่ตกหล่น การเติมก่อนที่จะรู้สึกโหย ทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่

มีคนถามว่าทำไมต้องกินช็อคโกแลต ทำไมไม่ไปซื้อพวกเพาวเวอร์เจล หรือบาร์ กิน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนประหลาดที่เห็นว่า สิ่งเหล่านั้น ทำให้เราไม่ได้ใช้กำลังตัวเองในการวิ่ง ถึงแม้จะกินแล้วจะวิ่งดีขึ้น อึดขึ้น แต่เข้าพเจ้าก็ยังปฏิเสธมันมาตลอด

35 กม ผ่านไป ไม่มีอาการเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าตะคริวจะกิน บางครั้งอยากจะเร่ง แต่ก็ต้องคอยห้ามใจตัวเองอยู่ตลอด เพราะคำว่าประสบการณ์คำเดียว  ช่วงที่แดดแรงที่สุดของวันนี้ก็น่าจะเป็นช่วงขึ้นเนินก่อนกลับเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ เนินสั้นๆ ระยะประมาณ 600 เมตร ถ้าเทียบกับเนินอื่นๆ คงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับระยะมาราธอน เนินเพียงน้อยนิดก็อาจสร้างปัญหาได้

ครั้งนี้เป็นครั้งที่แตกต่างจากครั้งอื่่น เนินลูกนี้ไม่สามารถทำลายจังหวะการวิ่งในวันนี้ได้ ยังสามารถวิ่งด้วยจังหวะเดิมได้อยู่ แม้จะต้องตากแดดที่ร้อนกว่าจุดอื่นๆ และคิดอยู่กับระยะ 2 กม ว่าสามารถเร่งได้หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายก็ยังคิดว่ายังเสี่ยงอยู่ จึงไม่เร่ง และคิดจะเร่งแค่ 1 กม สุดท้ายเท่านั้น เพราะคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงไล่บอยไม่ทันแล้ว เพราะถ้าบอยหมด คงจะต้องเจอแล้ว แต่วันนี้ไม่เห็นวี่แววว่าจะหล่นเลยสักนิด

จากเส้นทางใหม่สู่เส้นทางเดิม ที่บรรยากาศเปลี่ยนไป ณ สามแยก มีขบวนผีตาโขน ซึ่งตอนนั้นหมดสภาพจากแสงแดด กับชุดที่ร้อน นอนหงายเงิบอยู่อย่างหมดสภาพ ช่างน่าประทับใจหรือสงสารดีนี่กับเหตุการณ์นี้

ผ่านจุดนี้ได้ประมาณ 200 เมตร ก็พบกับกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาชับกล่อมดนตรีพร้อมเสียงเพลง กับ หางเครื่องเต็มวง กันอย่างสนุกสนาน ร้องไป เชียร์ไป ทำให้แรงมาจากไหนก็ไม่ทราบ เห็นว่า 200 เมตร เลยลองวิ่งแบบเด้งๆ ดู ตะคริวก็ยังไม่มา  ดูนาฬิกาตอนแรกว่าจะอู้ให้เข้าเวลา 4.44.44 ซะหน่อย แต่สุดท้ายคนเยอะชะลอไม่ได้ ก็เลยจบมาราธอนนี้ที่  4.44.02 กับระยะ 41.17 กม

พร้อมกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง

ไช้ 14   บอย 25

บอย ใช้เวลา 4.43.20



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น