Race 109 ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 2
ใต้สะพานพระราม 8 ในเวลา 5 นาฬิกา โดยปกติคงมีแค่เพียงแสงสาดส่องจากไฟทาง และสปอร์ตไลท์ที่ส่องย้อนกลับไปที่สลิงของสะพาน บวกกับความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงแม่น้ำเคลื่อนตัวในเจ้าพระยา
แต่ในวันนี้ ปรากฏการณ์ ในวงการวิ่งยังมีต่อเนื่องหลังจากกรุงเทพฯ มาราธอน ที่ผ่านมา ทำสถิติ คนมาวิ่งเยอะที่สุด ตั้งแต่จัดงานมา งานนี้ ก็ยังได้รับอานิสงค์เหมือนกัน งานนี้มีการประกาศรับสมัครตั้งแต่ ครึ่งปีแรก และมีการแจ้งปรับราคาเมื่อใกล้ถึงวันงาน เฉกเช่นงานในระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่หลายประเทศจัดกัน
ข้าพเจ้ามาวิ่งงานนี้เพราะต้องการซ้อมยาวระยะ เกิน 20 กม ขึ้นไป แต่ทว่า ช่วงที่คิดได้ ก็เลยระยะเวลาสมัครในราคาปกติไปแล้ว ถ้าจะสมัครก็ต้องใข้สตางค์ 600 บาทมาสมัคร จึงเกิดอาการเสียดายเงินขึ้นมา และจากงานที่เคยสัมผัสกับการจัดงานของเจ้านี้ในครั้งก่อน ยังทำให้รู้สึกแหยง และกลัว การแถมและการขาด ของคนจัดงานนี้อีกครั้ง
จึงตัดสินใจว่าครั้งนี้จะยอมเป็นคนหน้าด้านวิ่งไม่ติดเบอร์ พร้อมถือน้ำมากินเอง แต่แล้วฟ้าก็ดลบันดาล เมื่อเพื่อนสามารถหาเบอร์มาให้วิ่งได้ในระยะ 10 กม. ซึ่งทำให้ตัดปัญหาการต้องเตรียมน้ำมากินเองออกไป
เมื่อมาถึงบริเวณงาน ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่จอดรถเต็มครับ จากปกติที่เคยจอดข้างสวนพระราม 8 ต้องระเห็จไปจอดที่หน้าวัด ที่ยังมีพื้นที่ว่างให้จอดรถอยู่อีกหลายคัน ซึ่งเมื่อจัดแจงพันผ้าที่บริเวณจุดที่เจ็บเรียบร้อยแล้วจึงเร่งเดินทางเข้าสู่บริเวณจัดงาน เพื่อไปวอร์มร่างกายให้พร้อมก่อนการวิ่ง
หลังจากได้รับเบอร์วิ่งมา เป็นเบอร์วิ่งระยะ 10 กม. ก็ดำเนินการนำเสนอ ที่เสื้อของตัวเอง ซึ่งมารู้อีกที ว่าเบอร์เป็นของสุภาพสตรี ก็รู้สึกเขินนิดนึง เมื่อวิ่งวอร์มเรียบร้อยแล้ว จึงมาดำเนินการยืดเหยียด จึงได้พบกับพี่กบ แล้วรู้ว่าวันนี้จะวิ่งฮาล์ฟ แต่ซื้อเบอร์มินิมา มีเพื่อนแล้ว จึงอาศัยเกาะพี่เค้าไปในช่วงปล่อยตัว และทิ้งพี่เค้าเมื่อวิ่งไปได้สักพัก คำว่าทิ้ง หมายความว่าปล่อยพี่เค้าวิ่งไป เพราะเค้าเร็วจริงๆ
งานนี้มาวิ่ง จริงๆ แล้วต้องการมาเซอร์เวย์ ว่ามีพัฒนาการจากครั้งก่อนหรือไม่ ซึ่งคงหาคำตอบได้จากข้อมูลด้านล่างนี้ต่อไป
เวลา 5.15 เป็นเวลาปล่อยตัว ซึ่งวันนี้ข้าพเจ้าหลบเป็นนินจาอยู่ตอนฮาล์ฟ กำลังปล่อยตัว จึงรีบวิ่งตามออกไป มีเจ้าหน้าที่จะพยายามเช็ค แต่ข้าพเจ้าก็รีบจ้ำอ้าวออกไป ทางออกค่อนข้างเสียเวลามาก กับการต้องมาออ ที่ประตูทางเข้าสวนที่เปิดให้วิ่งออกฝั่งเดี่ยว
จากนั้นก็วิ่งออกมาเป็นทางใต้สะพานพระราม 8 ปีนี้แตกต่างกันคือเมื่อปีก่อนจะวิ่งตรงไปเรื่อยๆ และไปขึ้นตรงทางขึ้นอีกทาง แต่มาปีนี้ เป็นการวิ่งย้อนทางลง ซึ่งเมื่อปีก่อน เส้นทางนี้เป็นทางลงก่อนเข้าเส้น
ใจคิดว่าสงสัยจะคำนวณเส้นทางใหม่มาแล้ว จึงกำหนดเส้นทางวิ่งแบบนี้ เพื่อไม่ให้เกิดอาการวิ่งใส่หมด แต่ต้องมาเจอทางย้อนไปย้อนมา
หลังจากวิ่งขึ้นมาบนสะพานเรียบร้อยแล้ว เมื่อผ่านป้าย บอกระยะทางที่ กม ที่ 1 ก็รู้สึกเริ่มสังหรณ์ใจแล้วว่าวันนี้เส้นทางไม่ธรรมดาแน่ เพราะ ป้ายที่บอก กับระยะทางจริงนั้นไม่ได้ตรงกันเลย ระยะทางจริงตรงนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.6 กม เหมือนกับว่าผู้จัดมาเปลี่ยนเส้นทางวิ่งเอาตอนก่อนจะปล่อยตัวหรือไม่ อันนี้ผมไม่รู้ เพราะไม่ได้เช็คเส้นทางวิ่งมาก่อน
หลังจากผ่านป้ายบอกทางแรก ประมาณ 500 เมตร ก็เจอจุดให้น้ำจุดแรก จึงวิ่งเข้าพิท เพื่อเติมน้ำเข้าสู่ร่างกายตามปกติ งานนี้เท่าที่เช็คจำนวนคนวิ่งระยะฮาล์ฟ น่าจะมีประมาณเกือบ 800 ท่าน ซึ่งถือว่าสูงมาก งานในวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น มีแต่คนหนุ่มสาว มาวิ่งกันมากมาย ทำให้วิ่งไป เพลิดเพลินไปอีกแบบหนึ่ง
ป้าย กม ที่ 2 ป้ายบอกทางก็ยังเพี้ยนกับระยะทางจริงอยู่ จริงอยู่เทคโนโลยี เดี่ยวนี้พัฒนาไปไกล ราคาไม่แพงเหมือนแต่ก่อน นักวิ่งสามารถหามาใช้เพื่อควบคุมจังหวะตัวเองในการวิ่งให้ได้ตามแผน แต่การที่ป้ายบอกระยะทางที่ผิดเพี้ยนไป กับนักวิ่งที่ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวนั้น สามารถทำลายจังหวะการวิ่งของนักวิ่งเหล่านั้นได้ทันที เมื่อไหร่ การจัดงานในบ้านเราทุกออแกไนซ์ถึงจะมีมาตรฐานดีขึ้นก็ไม่รู้
มาถึงช่วงนี้ สามารถวิ่งไล่ แจงกับแมน ที่วันนี้วิ่งมาด้วยกันได้ และพยายามแซงหนีออกไปด้วยจังหวะวิ่งเดิม เดิมทีวันนี้ตั้งใจมาวิ่งจ็อก ที่ pace 5:30 ต่อ กม. ซึ่งระหว่างทางวิ่ง ก็มีกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง
วิ่งได้สักพักนึง ก็เจอหมอเจษ ได้คุยกันระหว่างวิ่งสักพัก ถึงงานกล้วยเมื่ออาทิตย์ก่อน จึงแยกย้ายกันคนละทางเพราะวิ่งคนละจังหวะกัน
สำหรับจุดให้น้ำวันนี้รู้สึกจุดให้จะวางมั่วไปหมด ไม่มีมาตรฐานเลยว่าจะวางที่ กม ที่เท่าไหร่ กันแน่ ยิ่งวิ่งยิ่งสับสน กะเกณฑ์จังหวะการกินน้ำไม่ถูก เมื่อวิ่งมาถึงจุดกลับตัว ก็มีรถสุขามารอให้บริการ ณ จุดกลับตัว ระยะอยู่ที่ประมาณ 10.7 ก็เลยคิดว่าถ้ากลับทางเดิม ระยะทางน่าจะโอเคได้มาตรฐานการจัดงานสมชื่องาน อินเตอร์
วิ่งกลับตัวมาได้สักพัก ก็รู้สึกเริ่มตึงๆ ขา ขึ้นมา เป็นจุดเดิม ใต้ฝ่าเท้าที่ยังเจ็บอยู่ จึงเริ่มวิ่งเบาลง เพื่อลองเช็คอาการ ในระหว่างทางเมื่อวิ่งย้อนกลับ ก็ได้ทักทายเพื่อนๆ ไปหลายท่าน การวิ่งกลับตัวแบบเห็นตัวกันนี่มันทำให้รู้สึกสนุกกว่าวิ่งไปทางเดียวมากมาย แต่แปลกทำไม ก่อนเราจะกลับตัว ทำไมไม่เห็นบอย สงสัยจะมึนมากวันนี้
วิ่งชิว ได้อยู่แค่ 6 กม. ระหว่างดื่มด่ำ กับของสวยงามระหว่างทาง กับการเก็บภาพบรรยากาศของนักวิ่งต่างๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ยังไม่จุใจ ก็กลับต้องมาเหนื่อยอีกครั้ง เมื่อน้องแจง สลัด แมน ตอนไหนก็ไม่รู้วิ่งตุปัดตุเป่ แซงหน้าขึ้นไปเฉยเลย ด้วยเป็นชายอกสามศอก ใยจะให้สาวสาว แซงได้อย่างไร จึงเริ่งสปีดตามแบบเคาะไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้เฉลียวใจ วิ่งดร๊าฟ ตามไปได้สักพักเอ๊ะใจ จากเสี่ยงนาฬิกาที่ดังขึ้นเมื่อบอกว่าวิ่งครบ lap แล้ว ชะโงกหน้าลงไปดูที่หน้าปัดนาฬิกา ถึงกับร้องในใจออกมา
"อัยย่ะ" 4:57 เห็นน้องวิ่งชิวๆ ไหงเร็วแบบนี้ จึงผ่อนความเร็วลง กะปล่อยแล้ว ถ้าแรงแบบนี้ พี่คงอ๊วกก่อนที่จะถึงจุดหมายแน่ เหมือนฟ้าบันดาลเพราะถึงจุดให้น้ำพอดี แจงชะลอ และหยุดเพื่อรับน้ำ จังหวะนี้ ข้าพเจ้าอาศัยการโฉบน้ำ ทั้งกิน ทั้งอาบ และชิงฉีกหนีออกไปอีกครั้ง หนีไปได้ไม่นาน คุณเธอก็มาอีกแล้ว แซงไปอีกแล้ว ซึ่งหลังจากผลัดกันนำ ผลัดกันแซงได้สักพักซึ่งข้าพเจ้าในคราวนี้ คิดว่าจะปล่อยแล้ว เพราะคิดว่าร่างกายคงแข็งแรงสู้น้องเค้าไม่ได้ในคราวนี้ จึงได้แค่วิ่งประคองไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังเร็วกว่าช่วง10 กิโลแรกที่วิ่ง จนเมื่อสายตากวาดเส้นทางยาวไป เห็นแจงวิ่งไป และเหลือบไปเห็นบอย ที่วันนี้ ใส่เสื้อสีชมพู ของ รพ.นครธน มาวิ่ง ซึ่งเป็นเสื้อตัวเดียวกับวันนี้ที่ข้าพเจ้าหยิบขึ้นมาใส่วิ่ง
เผลอแป๊ปเดียว น้องแจงวิ่งแรงขึ้นไปและแซงบอยได้ ใจก็เลยคิดว่า ถ้าแจงแซงได้ ข้าพเจ้าก็คงแซงได้ จึงเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นหลังผ่านป้าย กม ที่ 19 อัดไป แต่ยังไม่เต็มสตรีม เพราะวันนี้ ยังไม่รู้ว่าคนจัดงานจะมาไม้ไหน เพราะงานที่เจ้านี้จัดนอกสถานที่ มักจะแถมอยู่รำไป
เมื่อครบ กม ที่ 20 นาฬิกาบอกเวลา ว่า กม ที่ผ่านมา วิ่งไป 4:49 ซึ่งสามารถไล่มาทันบอย ที่ จุดนี้ เหมือนว่าขาจะลอยแล้ว จึงพยายามเร่งต่อไป โดยที่มีความหวังที่จะทำลายสถิติ Half ตัวเอง ที่ Freeze มานาน แต่ก็งงกับจุดที่ขึ้นปีก่อน ที่คิดว่าจะเป็นจุดให้ลงในปีนี้ ถูกรถตู้บังทางไว้ เลยคิดว่าสงสัยจะลงทางเดิมที่ขึ้นมาแน่ๆ แต่ก็ยังไม่วายระแวง จึงไม่กล้าปล่อยหมด ประคองจนมาทันน้องแจงอีกครั้ง จะพยายามวิ่งขึ้นไปตีคู่ แต่เหมือนน้องจะไม่ยอม ฉีกหนีไปอีกครั้ง
อัยหย่า ถึงจุดกลับตัวแล้วทำไม เค้ายังวิ่งกันต่อไปอีก นัยว่าจะให้ไปวิ่งถ่ายรูปที่สะพาน พระราม 8 ยังไงยังงั้น จะกลับตัวตรงไหน สมองตั้งคำถามขึ้นมา กลางสะพานหรือป่าว หรือว่าตีนสะพาน ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองทะลุสะพานที่ทึบได้
สีหน้าแต่ละคนที่วิ่งสวนทางมา ส่วนใหญ่เหยเก ปากบ่นพรึมพำ อะไรก็ไม่รู้ ในที่สุดก็เจอจุดกลับตัวจนได้ เมื่อวิ่งไปเกือบสุดสะพาน นาฬิการ้อง ที่จุดนี้ 21 กม. ท่าทางงานนี้จะแถมไม่ใช่น้อย ใจก็คิด แม่งเอาอีกแล้ว แก้วน้ำก็ขาดในบางจุด จนเห็นนักวิ่งที่เก็บอาการไม่ไหวต้องไปเก็บถ้วยเก่ามาเติมน้ำกิน
ไม่เข้าใจว่าเรื่องน้ำสำคัญมาก แต่น้ำในจุดที่ร่วมกันทุกระยะที่ต้องมีปริมาณมากๆ กลับขาดอีกครั้ง แต่คราวนี้ดันขาดแก้ว สงสัยต่อไปต้องรณรงค์ แก้วเดียว เที่ยวทั่วไทย ให้กับนักวิ่ง เหมือนงานกล้วยซะแล้ว ณ จุดนี้ สามารถเร่งทันคุณน๊อต ที่วันนี้ปล่อยตัวแรงมาก จนมาทันได้ ทราบความตอนหลังจึงรู้ว่าหมดแรงเพราะท้องเสียเมื่อคืน
กลับมาที่เส้นทางวิ่งย้อนข้ามสะพานพระราม 8 กลับเข้าสู่จุดหมาย โดยย้อนเส้นทางขาขึ้น การแข่งขันก็เริ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะคราวนี้เส้นทางคงไม่เพี้ยนไปกว่านี้แล้ว เมื่อรู้ว่าบอยอยู่ห่างพอสมควร จึงวิ่งผ่อนๆ มาเพราะระยะวันนี้ครบ Half Marathon Record ไปแล้ว ตากลับไปเหลียวเห็นน้องแจงอีกครั้ง ที่ตีนสะพานจุดวกกลับเข้าเส้นชัย จึงเริ่มเร่งอีกครั้ง เพื่อไล่ให้ทันกับเป้าหมายใหม่ในวันนี้ ซึ่งกว่าจะไล่ทัน และฮึดเฮือกสุดท้ายปาดหน้าเข้าเส้นชัยก่อนหวุดหวิด ที่ประตูทางเข้าสวนพระราม 8 เป็นการปาดหน้าเข้าเส้นที่สะใจสุดๆ ชนะผู้หญิงแล้วโว้ยยยยยยยย
ขอบคุณน้องแจง ที่มาวิ่งกระตุ้นให้แรงไม่ตกตอนท้ายด้วยวันนี้
ระยะจริง 22.27
ไช้ ใช้เวลา 2:01:14
บอย ใช้เวลา 2:04:XX
ไช้ 16 บอย 25 ก็ต้องตามกันต่อไป
เมื่อเข้าเส้นเรียบร้อย ก็ต้องไปผจญ กับมวลมนุษยชาติที่ต่อแถวรับสปอนเซอร์ รับอาหารกันอีกขนานใหญ่ คนเยอะขนาดนี้ ดันแจกน้ำจุดเดียว ทำไปได้
สุดท้าย ได้ กระเพาะปลามา 2 ถ้วย สปอนเซอร์ 1 กระป๋อง และมายืนดูเค้ารับรางวัล ซึ่งวันนี้ รพ.นครธน ได้มา 1 ถ้วย ด้วยเยี่ยมจริงๆ และพอได้ยินเค้าแจกรางวัลที่เป็นเงินให้กับผู้ชนะ จึงรู้ล่ะว่าทำไม ต้องเก็บค่าสมัคร ฮาล์ฟ 600 ใช่ไม๊ครับพี่บุญโอ เป็นครั้งแรกของผมที่วิ่งแล้วไม่มีผลชิพ เพราะว่าชิพหายยยยย ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม คริคริ
วันนี้ต้องขออภัยผู้จัดด้วยครับที่เอาเบอร์มินิ มาวิ่งฮาล์ฟ และขออภัยที่ต้องตำหนิกันตรงๆ อีกครั้ง
วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555
Race 108 ช็อป นครธน
Race 108 นครธน มินิมาราธอน ครั้งที่ 5
ช่างเป็นเรื่องน่าบังเิอิญจริงๆ กับ Race ที่ 108 นี้ ที่ไปพ้องกับ ร้านสะดวกซื้อ 108 ช๊อป ซึ่งในงานนครธนนี้ ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์งานแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะ ร้านค้านี้ ตั้งอยู่บริเวณจุดสตาร์ทที่ใช้ทำการปล่อยตัวเท่านั้นเอง
นครธนมินิมาราธอนครั้งที่ 5 นี้ นับเป็นครั้งที่ 4 ที่ข้าพเจ้ามีส่วนร่วม ซึ่งสถิติที่ผ่านมาในแต่ละครั้งมีดังนี้
10/12/52 1:12:05
10/12/53 0:56:57
10/12/54 0:53:46
10/12/55 ??????
จากสถิติที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าสำหรับงานนี้ กับระยะทางเดิม เวลานั้นดีขึ้นเรื่อยๆ โดยวันนี้ตั้งเป้าหมายการวิ่งให้ ได้ประมาณ 50 นาที
สายฝนโปรยปรายมาเมื่อตอนตี 4 ทำให้บรรยากาศดีขึ้น เย็นขึ้น แต่ก็แลกด้วยความหวาดเสียวว่าจะตกไม่หยุด อาจทำให้งานกร่อยได้ ก่อนออกจากบ้านตัดสินใจอยู่นานกับการเลือกกางเกงมาใส่วิ่งวันนี้ เดิมทีจะใส่ CW-X มาวิ่งเพื่อ Save เข่าตัวเอง แต่อีกใจก็คิดว่าระยะสั้นๆ ดูออกจากเวอร์ไป คิดไปคิดมา จึงใส่ขาสั้นมาวิ่งเหมือนเดิม แต่แฝงไปด้วยความกังวลใจว่าเข่าจะเจ็บขึ้นมาอีก
มาถึงงานเดิมทีจะจอดรถ ที่สวนเซ็นทรัลปาร์ค แต่ดูลักษณะแล้วน่าจะมีพื้นที่จอดจึงขับไปจอดบริเวณงาน วันนี้พา น้อง และหลานอีก 2 คนมาร่วมงานด้วย
เมื่อมาถึงบริเวณงานจึงเข้าไปในตัวโรงพยาบาล เพื่อสมัครเพิ่ม ในส่วนผู้ติดตาม และรับเสื้อ งานนี้น่ารักมาก เพราะเสื้อที่แจกในงาน มีถึงขนาด SSS ด้วย ทำให้เด็ก 7 ขวบ สามารถใส่ได้ หลังจากที่พาหลานๆ ไปวิ่งมาหลายๆ งาน เสื้องานวิ่งที่ได้มามักจะต้องยกให้คนอื่นอยู่ร่ำไปเพราะใส่ไม่ได้
ติดตามงานให้ผู้ติดตามแล้ว จึงต้องมาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองบ้าง เพราะปัจจุบันยังไม่มีเบอร์วิ่ง เพราะได้สมัครล่วงหน้าไปนานแล้ว และฝากบอย รับเบอร์ตองมาให้ (555)
ซึ่งปีนี้ได้หมายเลข 30-49 ว้า ไม่ได้เบอร์ตอง
จากนั้นก็เริ่มมาวอร์มเบา ๆ ด้านหลังที่บริเวณซุ้มตั้งอาหาร ซึ่งเป็นที่วอร์มประจำ ซึ่งในช่วงแรกก็เริ่มวอร์มเบาๆ ได้ 1 กม จึงมายืดเหยียด ซึ่งวันนี้มัวแตุ่คุย เลยมีเวลายืดเหยียดน้อยไปนิด
จากนั้นก็มาวิ่งสไตรค์ ยืดๆ อยู่ประมาณ 5-6 เที่ยว จึงได้เวลาปล่อยตัว จึงเดินกลับไปเช็คอิน และรออยู่ที่จุดสตาร์ท
ประสบการณ์ 3 ครั้งที่ ผ่านมา ทุกครั้งจะเห็นนักวิ่งกระโดดข้ามไปอีกฝั่งของซุ้มปล่อยตัว ซึ่งคราวนี้ข้าพเจ้าขอทำบ้างเพราะถ้าอยู่จุดนี้จะไหลมากกว่า วิ่งผ่านซุ้ม (ถ้ามีชิฟ ทำไม่ได้นะครับ)
ยังไม่ถึงช่วงปล่อยตัว ในขณะที่ อ.ญาณเดช กำลังกล่าววัตถุประสงค์ของงาน ทำให้มีเวลากับมายืดเหยียดเพิ่มเติม ทำให้รู้สึกเส้นที่ตึง คลายลงมาก แต่ก็มิวายกังวล กับ อาการบาดเจ็บใต้ฝ่าเท้าเหมือนเดิม วันนี้ลองเปลือยขา ไม่พันผ้าวิ่งดู
5:57 เป็นเวลาปล่อยตัวจริง สงสัยท่านประธานจะกะจังหวะการพูดให้จบ ไม่ลงตัว แล้วไม่มีใครคอยดูเวลาให้ด้วย ดีที่ไม่มีใครว่าอะไร
เมื่อเคลื่อนพลออกจากหน้าโรงพยาบาล การสปีดเพื่อฉกชิงตำแหน่งด้านหน้าได้เกิดขึ้น และสามารถแซงขึ้นนำได้เมื่อพ้นหน้าสำนักงานเขตบางขุนเทียน และประคองจังหวะการวิ่งที่ จังหวะ 4.30 / กม ซึ่งเป็นการวิ่งตามจังหวะการวิ่งของคุณน้อย กลุ่มโรงเหล็กที่ปกติวิ่งเร็วกว่าข้าพเจ้ามาก ส่วนบอยไม่ต้องห่วง ผมแซงมาแล้ว และวันนี้ตั้งใจ keep breath เพื่อประคองให้จบแบบนี้
สะพานแรกที่เจอ คือ สะพานข้ามคลอง ก่อนหน้าร้านส้มตำ เป็นเนินเล็ก ๆ จากนั้น ก็เลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าสู่ซอยที่มุ่งหน้าสู่ถนนเอกชัย ก็เจอ สะพานข้ามคลองอีก 2 ครั้ง ตอนนี้เรีี่ยวแรงยังดีอยู่ สะพานไม่มีผลต่อจังหวะการวิ่งเท่าใดนัก
หลังจากเลี้ยวซ้าย ออกถนน ก็เจอสะพานข้ามคลอง เป็นจุดที่ 4 อีกครั้ง และจากจุดนี้เลยไป 200 เมตร เป็นจุดให้น้ำ ซึ่งนักวิ่งหลายคนเข้าใจว่าเป็นจุดให้น้ำแรก จึงมีอาการโวยวาย ว่านักวิ่ง วิ่งฝั่งขวา เอาน้ำไปตั้งฝั่งซ้ายทำไม โธ่ ลุงๆ ครับ นี่ไม่ใช่จุดให้น้ำจุดแรกครับ เพิ่ง วิ่งมา กิโลกว่าเองครับ
ซึ่งความจริงจุดให้น้ำนี้คือจุดให้น้ำสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัย ซึ่งหลังจากนี้ทุกคนคงร้องอ๋อกัน
ป้ายระยะบอกทางของงานนี้ มีการบอกทุก 1 กม. ทำให้สม่ำเสมอและที่สำคัญ เมื่อวิ่งเรียบร้อยแล้วมาทบทวน จะเห็นได้ว่า การวางป้าย และจุดให้น้ำสมบูรณ์แบบมาก ที่เป๊ะหมด ขอบคุณ สมาพันธ์เดินวิ่งเพื่อสุขภาพไทย ที่เป็นเจ้าหน้าที่สนามในวันนี้ ที่ทำได้ยอดเยี่ยม
พอพ้น กม. ที่ 2 ต้องเผชิญ กับ สะพานที่ชันที่สุดของวันนี้ กับระยะความยาว 600 เมตร ที่ในช่วงแรกคิดว่ายังมีแรงเหลือเฟือ ในการวิ่งขึ้น จากที่พยายามยามวิ่ง ตาม พี่กบเคโระมา 2 กม. ก็ต้องปล่อย เพราะพี่เค้าจังหวะเร็วกว่าเราเยอะ เลยต้องหาเป้าหมายใหม่ ในการวิ่งเกาะ ซึ่งเมื่อลงสะพานมา ก็เจอ พี่สมาน วิ่งอยู่ จึงอาศัย วิ่งเกาะตามไปเรื่อยๆ ในช่วงนี้ นักวิ่งบางท่านที่เครื่องเข้าที่ ก็เริ่มสปีดหนีออกไป คนแล้วคนเล่า ไม่ว่าจะเป็นพี่สมัย พี่หมู สยามรันเนอร์หรือ คนที่รู้จักหลายคน
เมื่อพ้น กม.ที่ 4 หัวลากเหมือนจะหมด เพราะจังหวะเบาลง จึงต้องขออนุญาติ แซงเพื่อรักษาจังหวะวิ่งตัวเองเอาไว้
ครบ กม ที่ 5 สถิติ อยู่ที่ 23.47 นาที เลยคิดว่า 50 นาทีที่ตั้งใจไว้ คงไม่ทะลุแน่ๆ เพราะรู้ว่า 5 กม หลังคงวิ่งไม่ได้ดีกว่า ช่วงแรกอยู่แล้ว เพราะช่วงหลังไม่ได้ฝึกวิ่งแบบ NS เลย
ระยะห่างจากบอยตอนนี้อยู่ที่ ประมาณ 200 เมตร รอที่จะพิฆาตได้เสมอ จึงพยายามเคาะลากจังหวะเดิมให้รักษาระยะห่างเอาไว้ จน กม ที่ 8 หลังจากที่ไม่มีเป้าให้วิ่งตาม ก็มาเจอ พี่บุญหนาและสมาชิกชมรมกลุ่มโรงงานอินเตอร์ จึงพยายามประคองวิ่งประคองตาม ซึ่งขอบอกว่าลากเลือด ยิ่งจังหวะลงสะพาน เค้ายิ่งใส่กัน แต่ความพยายามดร๊าฟ ก็ยังไม่หมด ยังสามารถเกาะติดได้ทุกฝีก้าว
จนกระทั่งจุดกลับตัวหลังสะพาน เรี่ยวแรงกลับมีเพิ่มขึ้น หลังจากจุดให้น้ำจุดสุดท้าย ได้นำน้ำ 2 แก้ว ราดดับความร้อน บนศรีษะ ทำให้รู้สึกเย็นหัวลง พี่หนาส่งสัญญาณให้ไปเลย ข้าพเจ้าจึงสปีด หวังว่าจะทำสถิติให้ต่ำกว่า 51 นาที ให้ได้ เพราะ 50 นาที นี่ 500 สุดท้าย ต้องวิ่ง 2 นาที ซึ่งทำไม่ได้แน่นอน
3 นาที เป็นการวิ่งที่สบายๆ มีผ่อน เพื่อถ่ายรูปเป็นระยะๆ แต่ก็เกือบเข้าเส้นไม่ทัน เวลาจบหวุดหวิดกับความต้องการเลย
ระยะทางจริง 10.59 กม
ไช้ ใช้เวลา 50:59 นาที
บอย ใช้เวลา 52:51 นาที
ไช้ 15 บอย 25
ใกล้เข้ามาอีกหน่อยแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555
Race 107 ระยอง ฮิ สั้น
Race 107 คลาสิค ระยองมาราธอน
จากแผนการและโปรแกรมที่วางไว้ สำหรับมาราธอนนี้ ล้มเหลวไม่เป็นท่า การซ้อมยาวไม่เคยถึง 30 โล แม้สักครั้ง จากเป้าหมายมาราธอน ต้องมองลงต่ำลงมาเหลือที่ ครึ่งมาราธอน สภาพขาจากอาการรองช้ำ ตั้งแต่ใส่รองเท้าบำบัดเหมือนจะดีขึ้น และแม้จะใกล้วันเข้ามา ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้
เช้าวันเสาร์ออกเดินทางตั้งแต่ 7.30 น เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
แวะชิม อาหาร ณ ร้าน อร่อยริมทาง อาหารสไตล์มุสลิม
แวะชม เรื่อรบหลวงจักรีนฤเบศก์
แวะไหว้ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ แสมสาร
แวะทานอาหารที่ หน้าพิพิธภัณฑ์พันธ์สัตว์น้ำระยอง
เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน ตัวเองยังไม่ได้ทันตัดสินใจอะไร กลับมุ่งหน้าไปรับเบอร์ที่ได้รับฟรี ที่สมัครไว้ล่วงหน้าตั้งแต่งาน ชมภาพยนตร์ รัก 7 ปี ดี 7 หน ซะงั้น เลยกลายเป็นว่าตัดสินใจลงมาราธอน ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการลงมาราธอน จะต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ไม่พร้อมจะสะท้อนออกมาเมื่อลงสนามจริง
มาราธอนนี้ เป็นมาราธอนครั้งที่ 5 หลังจากที่เคยวิ่งที่จอมบึงปี 54 และ 55 สงกรานต์มาราธอนปี 54 กรุงเทพฯมาราธอน ปี54 วิ่งปี 55 ถือว่าเป็นมาราธอนที่ซ้อมน้อยที่สุด เพราะ 4 ครั้งแรก มีการเตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างหนัก ซึ่งผลที่ได้ออกมากลับกลายเป็นอย่างนี้
ครั้งแรกที่จอมบึงปี 54 เป็นมาราธอนแรก ตั้งใจวิ่งสลับเดิม พอวิ่งจริง 10 โลสุดท้ายคิดว่าแรงเหลือ ใส่ไป ตะคริวขึ้นเลยจบไม่สวย จบงาน เดินขึ้นบันไดไม่ได้ไปหลายวัน
ครั้งที่ 2 สงกรานต์มาราธอนปี 54 เป็นมาราธอนที่สองที่สามารถวิ่งติดต่อกันได้ 30 กม ที่เหลือเดินสลับคลานอีก 12 กม. เพราะตะคริวมาอีกแล้ว ประมาณ 5 รอบสวนลุม วิ่งจบ สลบไปหลายวัน ขึ้นบันได้ไม่ได้เช่นเคย
ครั้งที่ 3 จอมบึงปี 55 เป็นมาราธอนที่ซ้อมหนักที่สุด ทั้งซ้อมยาว ทั้งซ้อมเร็ว แต่โดนน้ำท่วมสะกัดไม่ต่อเนื่อง สามารถวิ่งได้ถึง 37 กม ในอัตราความเร็วต่ำกว่า 6 นาที 5 กม ที่เหลือ เดิน บวก คลาน เพราะตะคริวก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ วิ่งจบ ระบมไปทั้งตัว ขึ้นบันไดไม่ได้อีกครั้ง
ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯมาราธอน ปี 54 เป็นมาราธอนที่เดิมทีตั้งความหวังไว้ แต่การเลื่อนมา ทำให้แค่มาวิ่งเฉยๆ เพราะหลังจากจอมบึงไม่ได้ซ้อมยาวเลย เป็นมาราธอนที่มีอาการบาดเจ็บติดตัว จึงวิ่งได้ 20 กม และ 22 กม ที่เหลือ วางแผนใหม่ เป็นการวิ่งสลับเดิน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่เอาเวลามาเป็นตัวแปร วิ่งจบ ตะคริวไม่ถามหา แต่เวลาไม่ได้เรื่อง ระบมไปทั้งตัว อีกเช่นเคย คิดว่าพักจากงานมาราธอนก่อนไม่พอเลยทำให้เป็นแบบนี้
พอมาถึงครั้งนี้ เมื่อนำประวัติการวิ่งมาพิจารณาทำให้รู้ว่า การวิ่งมาราธอน ที่ไม่ใช่การแข่งขัน ต้องเป็นมาราธอนที่ประมาณตน จึงตั้งใจว่าในวันนี้จะวิ่งไม่ให้เร็วกว่า 6.30 โดยจะประคองวิ่งที่จังหวะ 7 นาที ต่อ กม. วิ่งไม่ให้รู้สึกเหนื่อย นี่คือแผนการก่อนการวิ่งครั้งนี้
เมื่อเดินทางมาถึงงานก็เหลือเวลาอีกเพียง 5-10 นาที จะปล่อยตัว จึงต้องรีบวิ่งเบาๆ ให้ตัวพออุ่นเข้าไปในงานและหาโอกาสยืดเหยียดเท่าที่มีโอกาส วันนี้ได้เจอพี่เยาว์ พี่ที่มาซ้อมด้วยกันที่สถาวรรันนิ่งด้วย พี่เค้าบอกว่าให้รอรอกันด้วย ผมคิดในใจว่าผมจะรอดหรือป่าวยังไม่รู้เลย อิอิ
ตี สี่ ตรง การปล่อยตัวก็เกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้ นักวิ่งต่างๆ เริ่มทยอยวิ่งกันออกไป แต่ข้าพเจ้าลืมไปว่า GPS ยังไม่ได้เปิด ซึ่งเสียเวลา อยู่เกือบ 10 วิ กับการเปิดและรอวิ่งออกไป ถือว่ายังดีที่ตอนวอร์มมีการเปิดสัญญาณไว้ มิเช่นนั้นคงใช้เวลาในการหาสัญญาณอีกนานแน่ๆ
เส้นทางออกจากตัวพิพิธภัณฑ์ มุ่งหน้าสู่หาดสวนสน ในเวลาตี 4 ช่วง 4 กม แรกนี่ก็ยังดีอยู่ เพราะเป็นการวิ่งผ่านชุมชน ผ่านตลาด และท่าเรือข้ามฟาก แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของหาดสวนสน ที่มีแนวสน ตั้งตระหง่านเป็นแนว อยู่ตลอดชายฝั่ง นั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดมิด ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามา จังหวะการวิ่งของนักวิ่ง ส่งเสียงดังขึ้นสลับกับเสียงซัดจากเกลียวคลื่น ลูกแล้วลูกเล่า
ภายใต้ความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่าง ซึ่งได้มาจากทีมงานจักรยานและรถยนต์ที่ช่วยกำกับเส้นทาง ทำให้พอมีแสงไฟสำหรับการวิ่งในเส้นทางนี้ วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มแนวหน้ากลับตัวมาแล้วจากจุดกลับที่ กม 7 ในขณะที่เรายังอยู่ กม ที่4 นักวิ่งท่านแล้วท่านเล่า ทยอยแซงข้าพเจ้าไป และก็สวนทางลงมา ซึ่งรวมถึง เพื่อนคู่หูของข้าพเจ้าด้วย ในขณะที่เข้าเจ้าอยู่ที่เกือบถึง กม ที 6 เพื่อนข้าพเจ้าก็สวนกลับมา โดยวิ่งมากลับกลุ่มนักวิ่งจาก ชมรมบางขุนเทียน อยู่หลายคน ซึ่งอาจจะเป็นการวิ่งที่เพื่อนถนัดกับการวิ่งพร้อมคนอื่น ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้เลย เพราะวิ่งพร้อมคนอื่นที่ไร บรรลัยทุกที เพราะจังหวะเสียไปหมด
ในวันนี้ จากอากาศที่เย็นสบาย พร้อมลมโชยจากชายทะเล ทำให้การควบคุมจังหวะ ไม่ให้เหนื่อยสามารถทำได้ง่ายกว่าปกติ การวิ่งโดยดูต้นทุนของตัวเอง ไม่บ้าบิ่น ทำให้ทุกก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยิ่งก้าว ยิ่งมั่นใจว่าวันนี้ จบสวยแน่ๆ หลังจากได้กลับตัวเหมือนคนอื่น และกลับมาเข้าสู่เส้นทางที่มีแสงสว่างดังเดิม เริ่มเห็นหน้านักวิ่งที่ผ่านมาและแซงไป (แซงไปเหอะ วันนี้ยอมให้)
เป็นการวิ่งย้อนเส้นทางเดิม แต่ด้วยเวลาที่แตกต่าง ก็ได้มองเห็นอะไรที่แตกต่างกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ซึ่งขาไป เป็นช่วงเวลาตี 4 กว่า ๆ ร้านค้าต่างๆ เพิ่งจะทยอยเตรียมตัวขายของ แต่เมื่อวิ่งกลับมา ก็เจอชาวบ้านมานั่งจิบกาแฟ สนทนากันอย่างคับขั่ง ในตลาดมีของขายส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในขณะวิ่งอย่างมาก บางบ้าน ก็เพิ่มเปิดบ้าน บางบ้าน ก็มีเด็กนักเรียนเตรียมตัวใส่เสื้อผ้างานวิ่ง เตรียมขึ้นสองล้อเครื่อง ไปวิ่งที่งาน มีพระมาบิณฑบาต เป็นระยะ นับเป็นวิธีพุทธที่น่าสนใจและค้นหาอย่างยิ่ง
เมื่อวิ่งมาถึงจุดแยกที่ กม ที่ 14 ตามหลักฐาน ทางข้อมูลและโทรศัพท์ ที่วันนี้เปิด app Endomondo ควบคู่กับนาฬิกาการ์มิน เพราะเกรงปัญหาจากแบตเตอร์รี่นาฬิกาจะมาบ่อนทำลายสถิติการวิ่งยาวในวันนี้
ซึ่งระยะที่แสดงออกมาคือ 14 กม ซึ่งต่างจากหลักฐานที่ปักอยู่บริเวณถนน คือ กม ที่ 15
ใจคิดทันที มันจะไปปรับการเพี้ยนตรงไหน หรือว่า ระยะวันนี้จะไม่เต็ม แล้วถ้าไม่เต็มจริงจะเอาไงดี ใช้อุปกรณ์ตัวไหน จับระยะจริง และจะใช้อุปกรณ์ตัวไหนวิ่งต่อไปเพื่อให้ครบ 42.195 ทุกสิ่งพร่างพรูเข้ามาในหัวสมองอย่างฉับพลัน
หลังจากที่วิ่งเข้าเนินมาและเข้าสู่หาดแม่รำพึง นักวิ่งระยะฮาล์พทยอยกลับตัวมาแล้ว รวมถึงระยะมาราธอนด้วย (จะวิ่งเร็วไปไหนเนี้ย)
18 กม ผ่านไป ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อย วันนี้ไม่มีหยุดเดิน มีเพียงแต่ชะลอเข้าไปรับน้ำ ผลไม้เท่านั้น พยายามประคองจังหวะนี้ ไปเรื่อยๆ แต่ทว่า หลัง กม ที่ 20 แดดเริ่มส่องแสง ดีที่ว่า ยังเป็นการหันหลังให้แดดอยู่ จึงยังไม่ได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งยังคิดในใจเลยว่าวันนี้ตัดสินใจได้ถูกต้องที่นำเสื้อแขนสั้นมาใส่วิ่ง แทนที่จะใส่เสื้อชมรม ไม่งั้นการเสียเหงื่อคงมากกว่านี้แน่นอน
เมื่อเกือบถึงจุดกลับตัว ตามระยะจริงที่ กม ที่27 ก็ได้เจอพี่ดาบจ้ำ ตะโกน บอก บอยอยู่ข้างหลัง และก็ได้เจอบอย เมื่อเราอยู่ที่ กม ที่ 26 กว่าๆ แต่บอยกลับตัวมาแล้ว ระยะห่างประมาณ 1 กม ซึ่งสามารถย่อระยะจากจุดกลัวตัวแรกมาได้ 1 กม แสดงว่าบอยเริ่มวิ่งตกลงอีกแล้ว แต่ใจยังห้ามตัวเองไว้ว่าวันนี้ลงมาราธอน ห้ามเร่ง ห้ามเหนื่อย ถ้าจะแซงได้ ก็แซงได้เองจึง ตัดอารมณ์การแข่งขันส่วนตัวออกไป
หลังจากได้กลับตัว ที่ป้าย กม ที่ 28 (ระยะจริง 27 กม) วิ่งพ้นโค้งมาสักพัก ก็มาตามนัด ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ตะคริว แต่เป็นแสงแดดที่ เริ่มเปล่งประกาย ความร้อนแรง เข้ากระทบกับโสตประสาท โดยผ่านช่องทางสายตา อย่างเป็นระยะ
จึงต้องหาหนทางแก้ไข โดยการวิ่งข้ามไปอีกฝั่งถนนนึ่ง ที่ยังมีร่มเงาต้นไม้ช่วยได้บ้าง ระหว่างประคองจังหวะวิ่ง ก็แวะ ทานมะละกอบ้าง เกลือแร่บ้าง และที่ลืมไม่ได้ช็อคโกแลตประจำกาย
วันนี้ได้เตรียมช็อคโกแลต ขนานใหญ่เอาไว้เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งเริ่มทยอยหย่อนใส่ท้องทุก 5 กม ตั้งแต่ วิ่งครบ 10 กม. การเติมน้ำตาลจากช็อคโกแลต อาจทำให้มีพลังงานการวิ่งในวันนี้ อย่างไม่ตกหล่น การเติมก่อนที่จะรู้สึกโหย ทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่
มีคนถามว่าทำไมต้องกินช็อคโกแลต ทำไมไม่ไปซื้อพวกเพาวเวอร์เจล หรือบาร์ กิน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนประหลาดที่เห็นว่า สิ่งเหล่านั้น ทำให้เราไม่ได้ใช้กำลังตัวเองในการวิ่ง ถึงแม้จะกินแล้วจะวิ่งดีขึ้น อึดขึ้น แต่เข้าพเจ้าก็ยังปฏิเสธมันมาตลอด
35 กม ผ่านไป ไม่มีอาการเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าตะคริวจะกิน บางครั้งอยากจะเร่ง แต่ก็ต้องคอยห้ามใจตัวเองอยู่ตลอด เพราะคำว่าประสบการณ์คำเดียว ช่วงที่แดดแรงที่สุดของวันนี้ก็น่าจะเป็นช่วงขึ้นเนินก่อนกลับเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ เนินสั้นๆ ระยะประมาณ 600 เมตร ถ้าเทียบกับเนินอื่นๆ คงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับระยะมาราธอน เนินเพียงน้อยนิดก็อาจสร้างปัญหาได้
ครั้งนี้เป็นครั้งที่แตกต่างจากครั้งอื่่น เนินลูกนี้ไม่สามารถทำลายจังหวะการวิ่งในวันนี้ได้ ยังสามารถวิ่งด้วยจังหวะเดิมได้อยู่ แม้จะต้องตากแดดที่ร้อนกว่าจุดอื่นๆ และคิดอยู่กับระยะ 2 กม ว่าสามารถเร่งได้หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายก็ยังคิดว่ายังเสี่ยงอยู่ จึงไม่เร่ง และคิดจะเร่งแค่ 1 กม สุดท้ายเท่านั้น เพราะคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงไล่บอยไม่ทันแล้ว เพราะถ้าบอยหมด คงจะต้องเจอแล้ว แต่วันนี้ไม่เห็นวี่แววว่าจะหล่นเลยสักนิด
จากเส้นทางใหม่สู่เส้นทางเดิม ที่บรรยากาศเปลี่ยนไป ณ สามแยก มีขบวนผีตาโขน ซึ่งตอนนั้นหมดสภาพจากแสงแดด กับชุดที่ร้อน นอนหงายเงิบอยู่อย่างหมดสภาพ ช่างน่าประทับใจหรือสงสารดีนี่กับเหตุการณ์นี้
ผ่านจุดนี้ได้ประมาณ 200 เมตร ก็พบกับกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาชับกล่อมดนตรีพร้อมเสียงเพลง กับ หางเครื่องเต็มวง กันอย่างสนุกสนาน ร้องไป เชียร์ไป ทำให้แรงมาจากไหนก็ไม่ทราบ เห็นว่า 200 เมตร เลยลองวิ่งแบบเด้งๆ ดู ตะคริวก็ยังไม่มา ดูนาฬิกาตอนแรกว่าจะอู้ให้เข้าเวลา 4.44.44 ซะหน่อย แต่สุดท้ายคนเยอะชะลอไม่ได้ ก็เลยจบมาราธอนนี้ที่ 4.44.02 กับระยะ 41.17 กม
พร้อมกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง
ไช้ 14 บอย 25
บอย ใช้เวลา 4.43.20
จากแผนการและโปรแกรมที่วางไว้ สำหรับมาราธอนนี้ ล้มเหลวไม่เป็นท่า การซ้อมยาวไม่เคยถึง 30 โล แม้สักครั้ง จากเป้าหมายมาราธอน ต้องมองลงต่ำลงมาเหลือที่ ครึ่งมาราธอน สภาพขาจากอาการรองช้ำ ตั้งแต่ใส่รองเท้าบำบัดเหมือนจะดีขึ้น และแม้จะใกล้วันเข้ามา ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้
เช้าวันเสาร์ออกเดินทางตั้งแต่ 7.30 น เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
แวะชิม อาหาร ณ ร้าน อร่อยริมทาง อาหารสไตล์มุสลิม
แวะชม เรื่อรบหลวงจักรีนฤเบศก์
แวะไหว้ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ แสมสาร
แวะทานอาหารที่ หน้าพิพิธภัณฑ์พันธ์สัตว์น้ำระยอง
เมื่อมาถึงสถานที่จัดงาน ตัวเองยังไม่ได้ทันตัดสินใจอะไร กลับมุ่งหน้าไปรับเบอร์ที่ได้รับฟรี ที่สมัครไว้ล่วงหน้าตั้งแต่งาน ชมภาพยนตร์ รัก 7 ปี ดี 7 หน ซะงั้น เลยกลายเป็นว่าตัดสินใจลงมาราธอน ณ ตอนนั้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะการลงมาราธอน จะต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี มิเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ไม่พร้อมจะสะท้อนออกมาเมื่อลงสนามจริง
มาราธอนนี้ เป็นมาราธอนครั้งที่ 5 หลังจากที่เคยวิ่งที่จอมบึงปี 54 และ 55 สงกรานต์มาราธอนปี 54 กรุงเทพฯมาราธอน ปี54 วิ่งปี 55 ถือว่าเป็นมาราธอนที่ซ้อมน้อยที่สุด เพราะ 4 ครั้งแรก มีการเตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างหนัก ซึ่งผลที่ได้ออกมากลับกลายเป็นอย่างนี้
ครั้งแรกที่จอมบึงปี 54 เป็นมาราธอนแรก ตั้งใจวิ่งสลับเดิม พอวิ่งจริง 10 โลสุดท้ายคิดว่าแรงเหลือ ใส่ไป ตะคริวขึ้นเลยจบไม่สวย จบงาน เดินขึ้นบันไดไม่ได้ไปหลายวัน
ครั้งที่ 2 สงกรานต์มาราธอนปี 54 เป็นมาราธอนที่สองที่สามารถวิ่งติดต่อกันได้ 30 กม ที่เหลือเดินสลับคลานอีก 12 กม. เพราะตะคริวมาอีกแล้ว ประมาณ 5 รอบสวนลุม วิ่งจบ สลบไปหลายวัน ขึ้นบันได้ไม่ได้เช่นเคย
ครั้งที่ 3 จอมบึงปี 55 เป็นมาราธอนที่ซ้อมหนักที่สุด ทั้งซ้อมยาว ทั้งซ้อมเร็ว แต่โดนน้ำท่วมสะกัดไม่ต่อเนื่อง สามารถวิ่งได้ถึง 37 กม ในอัตราความเร็วต่ำกว่า 6 นาที 5 กม ที่เหลือ เดิน บวก คลาน เพราะตะคริวก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ วิ่งจบ ระบมไปทั้งตัว ขึ้นบันไดไม่ได้อีกครั้ง
ครั้งที่ 4 กรุงเทพฯมาราธอน ปี 54 เป็นมาราธอนที่เดิมทีตั้งความหวังไว้ แต่การเลื่อนมา ทำให้แค่มาวิ่งเฉยๆ เพราะหลังจากจอมบึงไม่ได้ซ้อมยาวเลย เป็นมาราธอนที่มีอาการบาดเจ็บติดตัว จึงวิ่งได้ 20 กม และ 22 กม ที่เหลือ วางแผนใหม่ เป็นการวิ่งสลับเดิน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ไม่เอาเวลามาเป็นตัวแปร วิ่งจบ ตะคริวไม่ถามหา แต่เวลาไม่ได้เรื่อง ระบมไปทั้งตัว อีกเช่นเคย คิดว่าพักจากงานมาราธอนก่อนไม่พอเลยทำให้เป็นแบบนี้
พอมาถึงครั้งนี้ เมื่อนำประวัติการวิ่งมาพิจารณาทำให้รู้ว่า การวิ่งมาราธอน ที่ไม่ใช่การแข่งขัน ต้องเป็นมาราธอนที่ประมาณตน จึงตั้งใจว่าในวันนี้จะวิ่งไม่ให้เร็วกว่า 6.30 โดยจะประคองวิ่งที่จังหวะ 7 นาที ต่อ กม. วิ่งไม่ให้รู้สึกเหนื่อย นี่คือแผนการก่อนการวิ่งครั้งนี้
เมื่อเดินทางมาถึงงานก็เหลือเวลาอีกเพียง 5-10 นาที จะปล่อยตัว จึงต้องรีบวิ่งเบาๆ ให้ตัวพออุ่นเข้าไปในงานและหาโอกาสยืดเหยียดเท่าที่มีโอกาส วันนี้ได้เจอพี่เยาว์ พี่ที่มาซ้อมด้วยกันที่สถาวรรันนิ่งด้วย พี่เค้าบอกว่าให้รอรอกันด้วย ผมคิดในใจว่าผมจะรอดหรือป่าวยังไม่รู้เลย อิอิ
ตี สี่ ตรง การปล่อยตัวก็เกิดขึ้นตามเวลาที่กำหนดไว้ นักวิ่งต่างๆ เริ่มทยอยวิ่งกันออกไป แต่ข้าพเจ้าลืมไปว่า GPS ยังไม่ได้เปิด ซึ่งเสียเวลา อยู่เกือบ 10 วิ กับการเปิดและรอวิ่งออกไป ถือว่ายังดีที่ตอนวอร์มมีการเปิดสัญญาณไว้ มิเช่นนั้นคงใช้เวลาในการหาสัญญาณอีกนานแน่ๆ
เส้นทางออกจากตัวพิพิธภัณฑ์ มุ่งหน้าสู่หาดสวนสน ในเวลาตี 4 ช่วง 4 กม แรกนี่ก็ยังดีอยู่ เพราะเป็นการวิ่งผ่านชุมชน ผ่านตลาด และท่าเรือข้ามฟาก แต่เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของหาดสวนสน ที่มีแนวสน ตั้งตระหง่านเป็นแนว อยู่ตลอดชายฝั่ง นั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดมิด ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามา จังหวะการวิ่งของนักวิ่ง ส่งเสียงดังขึ้นสลับกับเสียงซัดจากเกลียวคลื่น ลูกแล้วลูกเล่า
ภายใต้ความมืดมิดก็ยังมีแสงสว่าง ซึ่งได้มาจากทีมงานจักรยานและรถยนต์ที่ช่วยกำกับเส้นทาง ทำให้พอมีแสงไฟสำหรับการวิ่งในเส้นทางนี้ วิ่งไปได้ไม่เท่าไหร่ กลุ่มแนวหน้ากลับตัวมาแล้วจากจุดกลับที่ กม 7 ในขณะที่เรายังอยู่ กม ที่4 นักวิ่งท่านแล้วท่านเล่า ทยอยแซงข้าพเจ้าไป และก็สวนทางลงมา ซึ่งรวมถึง เพื่อนคู่หูของข้าพเจ้าด้วย ในขณะที่เข้าเจ้าอยู่ที่เกือบถึง กม ที 6 เพื่อนข้าพเจ้าก็สวนกลับมา โดยวิ่งมากลับกลุ่มนักวิ่งจาก ชมรมบางขุนเทียน อยู่หลายคน ซึ่งอาจจะเป็นการวิ่งที่เพื่อนถนัดกับการวิ่งพร้อมคนอื่น ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้เลย เพราะวิ่งพร้อมคนอื่นที่ไร บรรลัยทุกที เพราะจังหวะเสียไปหมด
ในวันนี้ จากอากาศที่เย็นสบาย พร้อมลมโชยจากชายทะเล ทำให้การควบคุมจังหวะ ไม่ให้เหนื่อยสามารถทำได้ง่ายกว่าปกติ การวิ่งโดยดูต้นทุนของตัวเอง ไม่บ้าบิ่น ทำให้ทุกก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ยิ่งก้าว ยิ่งมั่นใจว่าวันนี้ จบสวยแน่ๆ หลังจากได้กลับตัวเหมือนคนอื่น และกลับมาเข้าสู่เส้นทางที่มีแสงสว่างดังเดิม เริ่มเห็นหน้านักวิ่งที่ผ่านมาและแซงไป (แซงไปเหอะ วันนี้ยอมให้)
เป็นการวิ่งย้อนเส้นทางเดิม แต่ด้วยเวลาที่แตกต่าง ก็ได้มองเห็นอะไรที่แตกต่างกัน ณ สถานที่แห่งเดียวกัน ซึ่งขาไป เป็นช่วงเวลาตี 4 กว่า ๆ ร้านค้าต่างๆ เพิ่งจะทยอยเตรียมตัวขายของ แต่เมื่อวิ่งกลับมา ก็เจอชาวบ้านมานั่งจิบกาแฟ สนทนากันอย่างคับขั่ง ในตลาดมีของขายส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในขณะวิ่งอย่างมาก บางบ้าน ก็เพิ่มเปิดบ้าน บางบ้าน ก็มีเด็กนักเรียนเตรียมตัวใส่เสื้อผ้างานวิ่ง เตรียมขึ้นสองล้อเครื่อง ไปวิ่งที่งาน มีพระมาบิณฑบาต เป็นระยะ นับเป็นวิธีพุทธที่น่าสนใจและค้นหาอย่างยิ่ง
เมื่อวิ่งมาถึงจุดแยกที่ กม ที่ 14 ตามหลักฐาน ทางข้อมูลและโทรศัพท์ ที่วันนี้เปิด app Endomondo ควบคู่กับนาฬิกาการ์มิน เพราะเกรงปัญหาจากแบตเตอร์รี่นาฬิกาจะมาบ่อนทำลายสถิติการวิ่งยาวในวันนี้
ซึ่งระยะที่แสดงออกมาคือ 14 กม ซึ่งต่างจากหลักฐานที่ปักอยู่บริเวณถนน คือ กม ที่ 15
ใจคิดทันที มันจะไปปรับการเพี้ยนตรงไหน หรือว่า ระยะวันนี้จะไม่เต็ม แล้วถ้าไม่เต็มจริงจะเอาไงดี ใช้อุปกรณ์ตัวไหน จับระยะจริง และจะใช้อุปกรณ์ตัวไหนวิ่งต่อไปเพื่อให้ครบ 42.195 ทุกสิ่งพร่างพรูเข้ามาในหัวสมองอย่างฉับพลัน
หลังจากที่วิ่งเข้าเนินมาและเข้าสู่หาดแม่รำพึง นักวิ่งระยะฮาล์พทยอยกลับตัวมาแล้ว รวมถึงระยะมาราธอนด้วย (จะวิ่งเร็วไปไหนเนี้ย)
18 กม ผ่านไป ยังไม่มีทีท่าว่าเหนื่อย วันนี้ไม่มีหยุดเดิน มีเพียงแต่ชะลอเข้าไปรับน้ำ ผลไม้เท่านั้น พยายามประคองจังหวะนี้ ไปเรื่อยๆ แต่ทว่า หลัง กม ที่ 20 แดดเริ่มส่องแสง ดีที่ว่า ยังเป็นการหันหลังให้แดดอยู่ จึงยังไม่ได้รับรังสียูวีโดยตรง ซึ่งยังคิดในใจเลยว่าวันนี้ตัดสินใจได้ถูกต้องที่นำเสื้อแขนสั้นมาใส่วิ่ง แทนที่จะใส่เสื้อชมรม ไม่งั้นการเสียเหงื่อคงมากกว่านี้แน่นอน
เมื่อเกือบถึงจุดกลับตัว ตามระยะจริงที่ กม ที่27 ก็ได้เจอพี่ดาบจ้ำ ตะโกน บอก บอยอยู่ข้างหลัง และก็ได้เจอบอย เมื่อเราอยู่ที่ กม ที่ 26 กว่าๆ แต่บอยกลับตัวมาแล้ว ระยะห่างประมาณ 1 กม ซึ่งสามารถย่อระยะจากจุดกลัวตัวแรกมาได้ 1 กม แสดงว่าบอยเริ่มวิ่งตกลงอีกแล้ว แต่ใจยังห้ามตัวเองไว้ว่าวันนี้ลงมาราธอน ห้ามเร่ง ห้ามเหนื่อย ถ้าจะแซงได้ ก็แซงได้เองจึง ตัดอารมณ์การแข่งขันส่วนตัวออกไป
หลังจากได้กลับตัว ที่ป้าย กม ที่ 28 (ระยะจริง 27 กม) วิ่งพ้นโค้งมาสักพัก ก็มาตามนัด ซึ่งครั้งนี้ไม่ใช่ตะคริว แต่เป็นแสงแดดที่ เริ่มเปล่งประกาย ความร้อนแรง เข้ากระทบกับโสตประสาท โดยผ่านช่องทางสายตา อย่างเป็นระยะ
จึงต้องหาหนทางแก้ไข โดยการวิ่งข้ามไปอีกฝั่งถนนนึ่ง ที่ยังมีร่มเงาต้นไม้ช่วยได้บ้าง ระหว่างประคองจังหวะวิ่ง ก็แวะ ทานมะละกอบ้าง เกลือแร่บ้าง และที่ลืมไม่ได้ช็อคโกแลตประจำกาย
วันนี้ได้เตรียมช็อคโกแลต ขนานใหญ่เอาไว้เพิ่มน้ำตาลในกระแสเลือด ซึ่งเริ่มทยอยหย่อนใส่ท้องทุก 5 กม ตั้งแต่ วิ่งครบ 10 กม. การเติมน้ำตาลจากช็อคโกแลต อาจทำให้มีพลังงานการวิ่งในวันนี้ อย่างไม่ตกหล่น การเติมก่อนที่จะรู้สึกโหย ทำให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างเต็มที่
มีคนถามว่าทำไมต้องกินช็อคโกแลต ทำไมไม่ไปซื้อพวกเพาวเวอร์เจล หรือบาร์ กิน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนประหลาดที่เห็นว่า สิ่งเหล่านั้น ทำให้เราไม่ได้ใช้กำลังตัวเองในการวิ่ง ถึงแม้จะกินแล้วจะวิ่งดีขึ้น อึดขึ้น แต่เข้าพเจ้าก็ยังปฏิเสธมันมาตลอด
35 กม ผ่านไป ไม่มีอาการเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าตะคริวจะกิน บางครั้งอยากจะเร่ง แต่ก็ต้องคอยห้ามใจตัวเองอยู่ตลอด เพราะคำว่าประสบการณ์คำเดียว ช่วงที่แดดแรงที่สุดของวันนี้ก็น่าจะเป็นช่วงขึ้นเนินก่อนกลับเข้าสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ เนินสั้นๆ ระยะประมาณ 600 เมตร ถ้าเทียบกับเนินอื่นๆ คงไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับระยะมาราธอน เนินเพียงน้อยนิดก็อาจสร้างปัญหาได้
ครั้งนี้เป็นครั้งที่แตกต่างจากครั้งอื่่น เนินลูกนี้ไม่สามารถทำลายจังหวะการวิ่งในวันนี้ได้ ยังสามารถวิ่งด้วยจังหวะเดิมได้อยู่ แม้จะต้องตากแดดที่ร้อนกว่าจุดอื่นๆ และคิดอยู่กับระยะ 2 กม ว่าสามารถเร่งได้หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายก็ยังคิดว่ายังเสี่ยงอยู่ จึงไม่เร่ง และคิดจะเร่งแค่ 1 กม สุดท้ายเท่านั้น เพราะคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงไล่บอยไม่ทันแล้ว เพราะถ้าบอยหมด คงจะต้องเจอแล้ว แต่วันนี้ไม่เห็นวี่แววว่าจะหล่นเลยสักนิด
จากเส้นทางใหม่สู่เส้นทางเดิม ที่บรรยากาศเปลี่ยนไป ณ สามแยก มีขบวนผีตาโขน ซึ่งตอนนั้นหมดสภาพจากแสงแดด กับชุดที่ร้อน นอนหงายเงิบอยู่อย่างหมดสภาพ ช่างน่าประทับใจหรือสงสารดีนี่กับเหตุการณ์นี้
ผ่านจุดนี้ได้ประมาณ 200 เมตร ก็พบกับกลุ่มชาวบ้านที่ออกมาชับกล่อมดนตรีพร้อมเสียงเพลง กับ หางเครื่องเต็มวง กันอย่างสนุกสนาน ร้องไป เชียร์ไป ทำให้แรงมาจากไหนก็ไม่ทราบ เห็นว่า 200 เมตร เลยลองวิ่งแบบเด้งๆ ดู ตะคริวก็ยังไม่มา ดูนาฬิกาตอนแรกว่าจะอู้ให้เข้าเวลา 4.44.44 ซะหน่อย แต่สุดท้ายคนเยอะชะลอไม่ได้ ก็เลยจบมาราธอนนี้ที่ 4.44.02 กับระยะ 41.17 กม
พร้อมกับความพ่ายแพ้อีกครั้ง
ไช้ 14 บอย 25
บอย ใช้เวลา 4.43.20
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
Race 106 หลงกลสาวนครปฐม
Race 106 ทับแก้ว มินิฮาล์ฟ มาราธอน
เคยตั้งใจว่าจะไปช่วยงานตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่พอเกิดเหตุการณ์เมื่อปีก่อน ทำให้แผนการ ณ ตอนนั้นล้มเหลวไป มาปีนี้ เดิมที ยังไม่ได้ตั้งใจจะไปวิ่ง เพราะ เห็นโปรแกรมตอนปลายปีแบบนี้ ถ้าออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ก็คงไม่ไหว จึงแค่ตั้งใจจะช่วยสมัครและอาจหางานอื่นที่กรุงเทพฯ เพื่อวิ่งแทน
แต่จนแล้วจนรอด เมื่องานเขาชะโงกที่ผ่านมา ตั้งใจว่าจะลงยาว 32 กม นั้นก็ไม่สามารถทำได้ และ กลับมาพิจารณาดูแล้ว หากซ้อมเอง ก็คงไม่มีปัญญาซ้อมยาวได้แน่ จึง ต้องโมดิฟายโปรแกรม โดยเพิ่มงานวิ่งนี้ บรรจุเข้าเป็นวาระเร่งด้วย ก่อน ฟูลมาราธอนในต้นเดือนธันวาคม
จากโปรแกรมนี้ ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า จากเดิมที่ตั้งใจจะออกแต่เช้าเพื่อเดินทางไปเที่ยว กลับกลาย ต้องพลิกอีกครั้ง เนื่องจากลืมไปว่า ในวันเสาร์มีอบรม ตั้งแต่เช้า ยัน 4 โมงเย็น
ซึ่งกว่าจะอบรมเรียบร้อย และเดินทางกลับไปรับบรรดาเหล่าสมุน ก็เกือบ 5 โมงเย็น และใช้เวลาเดินทางไป นครปฐมอีก ซึ่งกว่าจะไปถึงก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว
จุดมุ่งหมายเลขคือการหาที่พัก เพื่อดำเนินการที่หลับนอนให้เรียบร้อย ซึ่งครานี้ได้ บอย ช่วยจองให้ ที่ โรงเเรมเทรนดี้ ซึ่งสภาพโอเคเลย ตัวโรงแรมดูใหม่ ห้องขนาดพอเหมาะ รีเซฟชั่นอัธยาศัยดี
หลังจากจัดแจงย้ายสัมภาระขึ้นห้องเรียบร้อย จึงเดินทางไปสู่สนามวิ่ง ม.ศิลปากร เพื่อดำเนินการสมัครเพิ่มเติม ให้กับคณะผู้ติดตามอีก 2 ท่าน สำหรับข้าพเ้จ้า กับ บอย สมัครเรียบร้อยแล้วที่ 21 กม.
เมื่อไปถึง ก็พบกับบรรยากาศวังเวง แทบไม่มีคนเลย ขับรถวนอยู่หลายรอบ ก็ไม่เจอ ซึ่งกว่าจะทราบความจริงว่าจัดอยู่ในสนามกีฬา ก็เกือบจะหมดอารมณ์อยู่แล้ว เพราะความหิว ซึ่งเมื่อพบจุดหมาย ก็งงยิ่งขึ้นไปใหญ่กับการที่ต้องเขียนใบสมัครใหม่ แล้วตังค์ที่ตรูจ่ายไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนคืออะไรหว่า
น่าจะเป็นขั้นตอนการจัดการที่เค้าวางแผนกันไว้ ในใจคิด เค้าจัดมาตั้ง 11 ครั้งแล้ว คงไม่ปล่อยไก่อะไรแบบนี้ เรามาครั้งแรก อย่าบ่น ใจคิด จึงไม่ได้ทำอะไรต่อ และมุ่งหน้าสู่องค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อสักการะ
เพราะบอยบอกว่า กลางวันคงไม่ได้แวะมาแน่ๆ เมื่อไปถึงก็ยิ่งหงุดหงิด เพราะไม่สามารถหาที่จอดรถได้ เพราะมีงานจัดอยู่ด้านใน
จึงพยายามหาที่จอดรถจนได้ ที่ฟากฝั่งถนนหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าหาข้าวกิน ตรงตลาดโต้รุ่ง ด้วยความหวังว่า อาหารจะเลิศรส แต่สิ่งที่สั่งมา เป็นอาหารจานด่วน ข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ และข้าวหน้าเป็ด รูปร่างหน้าตา ช่างไม่มีสิ่งใดน่าถวิลหา และหลังจากได้ชิมรสชาติ ก็ยิ่งตอกย้ำความผิดหวังให้เพิ่มขึ้นไปอีก หลังจากอิ่มแล้ว จึงเดินเข้าสู่ตัวองค์พระ และไหว้พระเรียบร้อย จึงเดินสำรวจภายในวัดโอ้วนี้มันงานขายของตลาดนัด ชัดๆ มีทั้งเปิดเพลงแดนซ์ มีทั้งขายอุปกรณ์ไฟฟ้า โทรทัศน์ เครื่องเสียง เอ่อ มันขายได้จริงๆเหรอ
หลังจากหลงอยู่ในนั้นเสียตั้งนาน จึงพบทางออก และเหมาไก่ย่าง ไก่ทอด ขนมปังลูกเกต ขนมปังมะพร้าวอ่อน และขนมถังแตก กลับไปเป็นเสบียงที่ห้อง เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่าไม่มีความอิ่มเลยสักนิด
เช้าวันอาทิตย์ ณ เวลา 5.00 พวกเราได้เดินทางถึงสถานที่จัดงาน จึงได้หาที่จอดรถ ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวก ตลอดเส้นทาง ในการหาที่จอดรถจนสามารถจอดได้ มีเ้จ้าหน้าที่ตลอดทุกจุดในการอำนวยความสะดวก หลังจากจัดแจงสัมภาระของทุกคนเรียบร้อย จึงเดินมาเข้าที่บริเวณการจัดงาน ความสงสัยเมื่อวานที่เคลือบคลางใจหายหมดไป เพราะน้องนักศึกษา วางแผนการจัดการดีมาก มีการให้บริการ พาไปถึงทุกจุดที่ต้องทำ มีการให้คำแนะนำตลอดการสมัคร การรับเบอร์ เรียกได้ว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง
หลังจากได้รับเบอร์เรียบร้อย จึงไปทำการทำธุระส่วนตัว ซึ่งก็มีน้องๆ นักศึกษาคอยอำนวยความสะดวกให้ตลอด
จากนั้นจึงไปดำเนินการวอร์มอัพ และยืดเหยียดร่างกาย เพื่อให้ร่างกายพร้อมวิ่งในเวลา 5.30 น.
เวลาการปล่อยตัว เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ไม่เยิ่นเยื้อ ก่อนการปล่อย ทางทีม ได้มีการพูดหยอกล้อกันเล่นๆ ว่าอยากวิ่งกลางฝน เหมือนเทวดาจะได้ยินคำปรารถนาของพวกเรา เพราะว่าหลังจากปล่อยตัว เมื่อวิ่งเข้าสู่ กม ที่ 2 ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาระหว่างทาง และเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเส้นทาง
เมื่อพูดถึงหลัก กม.ที่บอกระยะทาง มีสิ่งที่น่าชมเชย และ สิ่งที่อยากเสนอแนะ คือ เรื่องการวางหลัก กม ของการจัดงาน สิ่งที่เห็นว่าควรปรับปรุงคือ ควรมีการตั้งป้ายบอกระยะทางตลอดเส้นทาง จะเป็นทุก กม หรือ 2 กม ก็แล้วแต่สะดวก แต่อยากให้เป็นมาตรฐานเดียวกันตลอดเส้นทาง เพราะนักวิ่งจะสามารถใช้ประโยชน์จากป้ายนี้ในการวิ่งได้เป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่น่าชมเชยมาก คือระยะในการวางป้ายบอกหลัก กม. ตั้งแต่ กม.ที่ 1 ถึง กม.ที่ 8 นั้นการวางตำแหน่งของระยะทาง ถูกต้องมาก จากการที่ทีมงานใช้นาฬิกา GPS ในการเปรียบเทียบ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลังจากจุดนี้ การวางป้าย แต่ละ กม. ไม่สม่ำเสมอ
เส้นทางการวิ่งวันนี้ เป็นอีกวันที่ทีมงาน วิ่งไปด้วยความสนุก ไม่ว่าจะจากฝนที่โปรยปรายลงมา หรือจะเป็นเส้นทางการวิ่งที่ดีมาก บรรยากาศข้างทางที่เป็นธรรมชาติงดงาม มีทั้งเส้นทางเรียบคลองผ่านสวนต่างๆ ถึงแม้ว่าจะมีกลิ่นนขี้หมูบ้างในบางจุด แต่นี่ คือ นครปฐม ถ้ามาแล้วไม่ได้ดมขี้หมู ท่านคงมาไม่ถึง
เมื่อพูดถึงบรรยากาศการวิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าตลอดเส้นทางที่ฝนตก น้องๆ นักศึกษาที่มาช่วยงานจะสู้ไม่มีถอยเหมือนนักวิ่ง ที่กำลังวิ่งกันอยู่ ทุกเส้นทาง ที่พวกเราวิ่งกันไป เมื่อผ่านจุดให้น้ำ ก็จะได้รับการส่งเสียงเชียร์ ให้สู้ตลอด หรือถึงแม้ว่าจะไม่ใช่จุดให้น้ำ กลุ่มน้องๆ ก็ยังแอบไปยืนเชียร์ ยืนเต้น ส่งเสียงกระตุ้น ท่ามกลางสายฝนอันเย็นฉ่ำ อย่างสนุกสนาน
สำหรับเรื่องน้ำดื่ม เมื่อฝนโปรยปราย พวกเราเลยคิดไปว่า ไม่ว่าจุดให้น้ำจะดีหรือไม่ดีอย่างไร พวกเราคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่ เพราะมีการบรรเทาอาการร้อนจากสายฝนให้แล้ว แต่สิ่งที่มองข้ามไป กลับได้รับการเติมเต็มอย่างคาดไม่ถึง เพราะทุกจุดให้น้ำ นั้นมีระยะเรียกว่าถี่ จนบางที จะเป้น 1 กม ต่อจุดไปเลยก็มี
แต่ละจุด มีทั้งน้ำเย็น น้ำหวาน และ ตั้งแต่ กม ที่ 4 เป็นต้นไป ก็มีการให้น้ำเกลือแร่
อันนี้เป็นความเห็นของทีมงาน ว่า จุดให้เกลือแร่ ไม่ต้องมากขนาดนี้ก็ได้ จะทำให้ ผู้จัดงานมีงบประมาณเหลือ จะได้นำไปใช้ประโยชน์ในกิจกรรมนักศึกษาต่อไป แต่ถ้าสามารถขอสปอนเซอร์มาได้ ไม่ต้องเสียสตางค์ ก็ถือว่าโอเค
เมื่อวิ่งใกล้ครบระยะ แล้วกลับมาเข้าสู่ตัวมหาวิทยาลัย ก็มีกลุ่มน้องๆ มาเต้น เชียร์ส่งท้ายก่อนเข้าเส้นชัย ดูหน้าน้องๆ แล้วนี่ ทำไปด้วยใจโดยแท้ เมื่อมองจากบุคคลภายนอก เป็นงานที่สามารถสร้างความสามัคคีในหมู่ขณะเป็นอย่างดี
เมื่อวิ่งเข้าสู่เส้นชัย จึงได้รับเหรียญทอง มาหนึ่งเหรียญ สำหรับระยะฮาล์ฟ และเหรียญเงิน สำหรับระยะมินิ
สำหรับบรรยากาศหลังเส้นชัย อาจจะเรียกได้ว่า ซุ่มอาหารที่นี่ เป็น แบบ Green โดยแท้ เพราะจากการสังเกตุของทีมงาน นั้น งานนี้ปราศจากกล่องโฟม ในอาหารสำหรับนักวิ่ง 100%
เป็นอีกงานที่ต้องลองมาวิ่งครับ
ระยะทางจริง 21.36 กม
ไช้ ใช้เวลา 2:00:00
บอย ใช้เวลา 1:59:00
ไช้ 14 บอย 24
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
Race 105 เขาชะโงก ที่ชะโงกไม่ไหว
Race 105 เขาชะโงก
32 กม. ตามที่ใจปรารถนา เป็นสิ่งที่ค้างคาใจ เพราะจากปี 53 ที่ตัวเองไม่มีความกล้าที่จะลงวิ่งระยะนี้ในครั้งนั้น จากคำขู่เรื่อง เขา 2 ลูก ทั้งทุเรียนและอะไรอีกจำชื่อไม่ได้ บวกกลับสภาพและสี่หน้าเมื่อตอนเข้าเส้นของเพื่อนๆ แต่ละคนที่วิ่งเข้ามา ท่ามกลางแดดที่ร้อนแผดเผา จนคิดว่าเป็นการทรมานตัวเองเกินไปหรือไม่ ถ้าจะต้องลงรายการแล้วรู้สึกแบบนี้ แต่อีกฟากฝั่งของจิตใจก็คิดว่าน่าทดลอง นั่นคืออารมณ์ของข้าพเจ้าตอนที่ยังไม่เคยลงวิ่งระยะมาราธอนมาก่อน ณ ตอนนั้น
ปี 54 ก็มีอันแคล้วคลาดไม่ได้วิ่งเพราะเหตุการณ์ไม่ปกติทางธรรมชาติของประเทศ ยิ่งทำให้ความรู้สึกเริ่มค้างคาเพิ่มขึ้นไปอีก มาปีนี้ การวางแผน สำหรับการลงมาราธอนครั้งที่ 3 ในรอบปีส่งท้ายปีเก่า นั้น แผนกรกฏ เอ้ยแผนพิชิตมาราธอน โดยไม่สะบักสะบอม ได้บรรจุตารางการแข่ง 32 กม รายการนี้เข้าไปด้วย แต่ทว่า เดือนตุลาคมทั้งเดือน วิ่งยาวที่สุดคือ15 กม แล้วมันจะไปเหลืออะไร ยิ่งใกล้วันแข่งเข้ามา ก็ยิ่งร้อนรน จากการที่ไม่สามารถเพิ่มโหลดการฝึกซ้อมได้
จนต้องวางแผนโปรแกรมซ้อมใหม่อีกครั้ง ด้วยการวิ่งไม่เอาระยะ เน้นวิ่งให้นาน ช้าเท่าไหร่ก็ได้ เดินก็ได้ ซึ่งนำมาใช้ซ้อมในวันที่ 7 ก่อนการแข่ง 11 วัน ใช้เวลาซ้อมไป 3 ชม ได้ระยะทางเพียง 21 กม. ซึ่งคิดว่าจะต้องซ้อมแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายสามารถทนทานได้เกิน 3 ชมขึ้นไป สำหรับ เขาชะโงกครั้งนี้
เช้าวันอาทิตย์ที่ 11 ออกเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าสู่ประตูสวนลุม เพื่อทำภารกิจให้ผ่านไปให้ได้ เป้าหมายการซ้อมวันนี้ เน้นระยะทาง โดยตั้งใจไว้ว่าอย่างน้อยต้องได้ 10 รอบสวนลุมพินี เวลา 5.09 ฤกษ์ดีในการออกซ้อม 10 กม.แรกผ่านไปด้วยดี มีแถมสปรินท์ ช่วง กม ที่ 8-10 ก่อนที่จะพักกินน้ำแล้ววิ่งต่อ สภาพการณ์เหมือนจะจบได้สวย แต่ทว่า ความสวยงามที่วาดไว้หมดไป เมื่อวิ่งไปครบ 8 รอบสวนลุม ได้ระยะ 20 กม. ฝ่าเท้าบริเวณรองช้ำเกิดอาการแปลกๆ เหมือนจะมีอาการหนักขึ้น จนวิ่งแทบไม่ได้จึง
คูลดาวน์ และหยุดการซ้อมครั้งนี้ อยู่ที่ 21 กม เท่านั้น
อาการเจ็บครั้งนี้ มันมาแบบทำให้รู้สึกกังวลมาก ต้องขวนขวาย หาวิธีการรักษาอย่างเร่งด่วน จึงทำให้อาทิตย์ต่อมา ต้องไปซื้อรองเท้าบำบัดอาการรองช้ำมาใส่ ซึ่งคงจะได้กล่าวถึงในบทความต่อไป
จากอาการบาดเจ็บดังกล่าว ส่งผลให้ ต้องหยุดการซ้อมทั้งอาทิตย์ต่อมาทันที ฤานี่ จะเป็นการยุติการวิ่งเขาชะโงกปีนี้เสียแล้ว ฤา
แต่เนื่องจาก สถานที่พัก ได้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ถึงเจ็บวิ่งไม่ได้ก็คงต้องไปอยู่ดี เพราะนัดเพื่อนๆ ไว้แล้ว ถ้าอาการดีหน่อยก็อาจจะได้ลง 16 กม ถ้าเลวร้ายหน่อย ก็คงไปเดินเล่นอย่างเดียว และ สำหรับระยะ 32 กม. ตามความตั้งใจแต่แรก คงต้องเป็นหมันต่อไปอีกปี เพราะรู้ว่าถ้าฝันครั้งนี้ อาจจะต้องหยุดวิ่งยาวไม่มีกำหนดแน่นอน
เช้าวันเสาร์ที่ 17 การเดินทางมุ่งหน้าสู่ ประตูเมืองนครนายก ได้เกิดขึ้น เป้าหมายคือ เที่ยว ให้ดับทุกข์ กินให้มีความสุข ได้เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะสวนดอกไม้ย่านลำลูกกา ไหว้พระหลวงพ่อปากแดงที่เลื่องชื่อ ดื่มด่ำกับธรรมชาติบนสันเขื่อน ขุนด่าน กับอาหารกลางวันเลิศรส ที่ ปากทางเข้า เขาชะโงก ทำให้ลืมเรื่องการวิ่งไปเลยทีเดียว
กลับมาสู่เส้นทางนักวิ่งอีกครั้ง เมื่อได้เดินทางมาถึง บริเวณจัดงาน งานนี้ไม่มีอาการลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กับการสมัครวิ่งที่ระยะ 16 กม. ไม่มีเสียงเย้ยหยัน คัดค้านใดๆ จากคู่หู เนื่องด้วย เดี้ยงเหมือนกัน ฮ่าฮ่า
จากนั้นก็เริ่ม เดินชม ร้านค้าต่างๆ ที่มาจัดบูธ จนได้รู้จัก ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Phiten ทางร้านได้ยื่นสร้อยคอ ให้ข้าพเจ้ามาทดสอบ โดยให้ยกของด้วยมือเปล่า และเปลี่ยนให้ยกอีกครั้งพร้อมผลิตภัณฑ์ของเค้า เออแปลกดี ทำให้เที่ยวสอง ของถึงเบาได้ ทางร้านบรรยายสรรพคุณสินค้า ให้ฟังอย่างยาวเหยียด ซึ่งระหว่างฟัง ข้าพเจ้า พยามยามแอบมอง....... ราคาของผลิตภัณฑ์ จึงเห็นว่านี่มันสินค้าไฮโซชัดๆ โลโซอย่างเราไม่มีสิทธิ์ แต่ทางร้านค้า ยังใจดีแปะพลาสเตอร์ให้ ในบริเวณที่เจ็บรองช้ำ ในใจคิดก็ดีเหมือนกัน เผื่อได้ผล ก็มีทางเลือกในการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ให้หายไป
ในการวิ่งวันพรุ่งนี้ ได้เตรียมแผ่นรองเท้า ที่ไปทำมา เตรียมใช้ในงานครั้งนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือป่าว กับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยทดสอบ แต่นำมาใช้จริงเลย จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พักทันที
เช้าวันอาทิตย์ นี้ กับเมื่อ 2 ปีก่อน ตามที่สังเกตุ รู้สึกว่า งานนี้คนน้อยลงไปมาก อาจเป็นเพราะงานวันนี้จัดชนกับงาน BKK Marathon ก็เป็นได้ ระหว่างการวอร์มอัพ เท่าที่สังเกตุงานนี้มีแต่นักวิ่งหวังผล มาแข่งชันกัน เพื่อเข้าเฝ้ารับพระราชทานถ้วย จาก พระเทพฯ กันมากมาย อย่างว่าละครับ ผมว่าถ้วยใบนี้ ใครๆ ก็อยากได้ และคงมีค่ากว่าถ้วยรายการไหนๆ เป็นแน่
5.16 การปล่อยตัวระยะ 16K ก็เริ่มขึ้น นี่คือการวิ่งครั้งแรกในรอบสัปดาห์หลังจากบาดเจ็บ ช้าเข้าไว้ คือคำที่ข้าพเจ้าท่องไว้ในใจตลอด 2 กม แรก และเมื่อพ้น กม.ที่ 2 ก็เข้าสู่เขตเนินเขา เนินลูกแรก ความชันอยู่ที่ประมาณ 45 องศา เนินขึ้น 650 เมตร เนินขาลงประมาณ 700 เมตร และกลับสู่เส้นทางในระดับปกติ เมื่อพ้น ระยะทางที่ 3.5 กม จากการวัดโดย GPS ส่วนตัว หลงดีใจได้ไม่ถึง 5 นาที พ้น กมที่ 4 ก็มาเจอเนินลูกที่ 2 อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ดีหน่อย ที่เนินลูกนี้ ความชันอยู่ที่ประมาณ 7-8 องศา แต่เป็นเนิน สลับขึ้นสลับลง ไปจนถึง กม. ที่ 6 ซึ่งเป็นทางแยกที่ทาง ทหาร เปิดให้ขึ้นไปวิ่ง เนินนี่แหละที่ผมคิดว่าหินกว่าเนินแรกมาก
ถึงแม้ว่าความชัน จะอยู่ที่ 20-25 องศา แต่ระยะทางที่ต้องวิ่ง จาก กม ที่ 6 แล้วไปกลับตัวลงมา จบที่ กมที่ 11.5 รวมๆ แล้วต้องใช้พลังงานกับจุดนี้ เกือบ 5 กม. ซึ่งถือว่าสาหัสเอาการกับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บอย่างข้าพเจ้า
เมื่อเข้าสู่ หลัก กม.ที่ 12 เป็นต้นไป เส้นทางวิ่ง ก็เป็นเฉกเช่นการวิ่งทางราบในงานวิ่งอื่นๆ ทั่วไป เพียงแต่ว่าถนนช่วงนี้เป็นคอนกรีตล้วนๆ จนถึงเส้นชัย ซึ่งหลังผ่านการวิ่งมา 12 กม. อาการบาดเจ็บอาทิตย์ก่อนไม่มีปรากฏ เรียวแรงยังพอมีเหลือ จากการออมไว้ตั้งแต่แรก จึงเริ่มปฏิบัติการ หมาล่าเนื้ออีกครั้ง เผื่อว่าจะไล่คู่หูทัน แต่ปรากฏว่า ถ้าเริ่มเร่งเร็วกว่านี้ อาจจะไล่บอยทัน ซึ่งมารู้ความจริงอีกทีว่า บอย อยากได้ประกาศนียบัตรของงานนี้มาก จึง ซัดลืมอาการเจ็บ จนสามารถคว้าประกาศนียบัตรได้สมปรารถนา ซึ่งขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง ว่าแต่เดี่ยวนี้ตั้งแต่ประกาศเลิกแข่งกัน ไม่ค่อยได้วิ่งผลัดกันแซงเลย คิดถึงอารมณ์แบบนั้นอีกจัง
เมื่อเข้าเส้นชัยเรียบร้อย จึงไปคูลดาวน์ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บ ปรากฏว่าไม่มีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วง จากนั้นก็ลืมยืดเหยียด ไปเลย เพราะเร่งไปเชียร์เพื่อนๆ ที่แข่งในระยะ 32 กม ให้คว้าถ้วย
อากาศตอนนี้แหละที่เริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักวิ่งแต่ละท่านวิ่งเข้ามา ปากซีดกันเป็นแถว วันหลังอาจจะเตรียมลิปสติก ไปให้บริการเพื่อนๆ ดีกว่า
ในวันนี้ พี่ๆ ที่ชมรม สามารถ พาตัวเอง ไปสู่ห้องโถงสำหรับรับถ้วยพระราชทานได้ 2 ท่าน ได้แก่พี่ปุ๊กและพี่รงค์ แต่สมแล้วที่ทั้งสองท่านได้ เพราะขยันซ้อมมากๆๆ เห็นแล้วทึ่งจริงๆ
มองท้องฟ้า ออกไป หวังว่าไม่เกิน 10 ปี เราคงมีโอกาสนี้กับเค้าบ้างเนอะ เขาชะโงก
ระยะทางจริง 15.96 กม
ไช้ 1.32.20
บอย 1.26.36
32 กม. ตามที่ใจปรารถนา เป็นสิ่งที่ค้างคาใจ เพราะจากปี 53 ที่ตัวเองไม่มีความกล้าที่จะลงวิ่งระยะนี้ในครั้งนั้น จากคำขู่เรื่อง เขา 2 ลูก ทั้งทุเรียนและอะไรอีกจำชื่อไม่ได้ บวกกลับสภาพและสี่หน้าเมื่อตอนเข้าเส้นของเพื่อนๆ แต่ละคนที่วิ่งเข้ามา ท่ามกลางแดดที่ร้อนแผดเผา จนคิดว่าเป็นการทรมานตัวเองเกินไปหรือไม่ ถ้าจะต้องลงรายการแล้วรู้สึกแบบนี้ แต่อีกฟากฝั่งของจิตใจก็คิดว่าน่าทดลอง นั่นคืออารมณ์ของข้าพเจ้าตอนที่ยังไม่เคยลงวิ่งระยะมาราธอนมาก่อน ณ ตอนนั้น
ปี 54 ก็มีอันแคล้วคลาดไม่ได้วิ่งเพราะเหตุการณ์ไม่ปกติทางธรรมชาติของประเทศ ยิ่งทำให้ความรู้สึกเริ่มค้างคาเพิ่มขึ้นไปอีก มาปีนี้ การวางแผน สำหรับการลงมาราธอนครั้งที่ 3 ในรอบปีส่งท้ายปีเก่า นั้น แผนกรกฏ เอ้ยแผนพิชิตมาราธอน โดยไม่สะบักสะบอม ได้บรรจุตารางการแข่ง 32 กม รายการนี้เข้าไปด้วย แต่ทว่า เดือนตุลาคมทั้งเดือน วิ่งยาวที่สุดคือ15 กม แล้วมันจะไปเหลืออะไร ยิ่งใกล้วันแข่งเข้ามา ก็ยิ่งร้อนรน จากการที่ไม่สามารถเพิ่มโหลดการฝึกซ้อมได้
จนต้องวางแผนโปรแกรมซ้อมใหม่อีกครั้ง ด้วยการวิ่งไม่เอาระยะ เน้นวิ่งให้นาน ช้าเท่าไหร่ก็ได้ เดินก็ได้ ซึ่งนำมาใช้ซ้อมในวันที่ 7 ก่อนการแข่ง 11 วัน ใช้เวลาซ้อมไป 3 ชม ได้ระยะทางเพียง 21 กม. ซึ่งคิดว่าจะต้องซ้อมแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายสามารถทนทานได้เกิน 3 ชมขึ้นไป สำหรับ เขาชะโงกครั้งนี้
เช้าวันอาทิตย์ที่ 11 ออกเดินทางจากบ้าน มุ่งหน้าสู่ประตูสวนลุม เพื่อทำภารกิจให้ผ่านไปให้ได้ เป้าหมายการซ้อมวันนี้ เน้นระยะทาง โดยตั้งใจไว้ว่าอย่างน้อยต้องได้ 10 รอบสวนลุมพินี เวลา 5.09 ฤกษ์ดีในการออกซ้อม 10 กม.แรกผ่านไปด้วยดี มีแถมสปรินท์ ช่วง กม ที่ 8-10 ก่อนที่จะพักกินน้ำแล้ววิ่งต่อ สภาพการณ์เหมือนจะจบได้สวย แต่ทว่า ความสวยงามที่วาดไว้หมดไป เมื่อวิ่งไปครบ 8 รอบสวนลุม ได้ระยะ 20 กม. ฝ่าเท้าบริเวณรองช้ำเกิดอาการแปลกๆ เหมือนจะมีอาการหนักขึ้น จนวิ่งแทบไม่ได้จึง
คูลดาวน์ และหยุดการซ้อมครั้งนี้ อยู่ที่ 21 กม เท่านั้น
อาการเจ็บครั้งนี้ มันมาแบบทำให้รู้สึกกังวลมาก ต้องขวนขวาย หาวิธีการรักษาอย่างเร่งด่วน จึงทำให้อาทิตย์ต่อมา ต้องไปซื้อรองเท้าบำบัดอาการรองช้ำมาใส่ ซึ่งคงจะได้กล่าวถึงในบทความต่อไป
จากอาการบาดเจ็บดังกล่าว ส่งผลให้ ต้องหยุดการซ้อมทั้งอาทิตย์ต่อมาทันที ฤานี่ จะเป็นการยุติการวิ่งเขาชะโงกปีนี้เสียแล้ว ฤา
แต่เนื่องจาก สถานที่พัก ได้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ถึงเจ็บวิ่งไม่ได้ก็คงต้องไปอยู่ดี เพราะนัดเพื่อนๆ ไว้แล้ว ถ้าอาการดีหน่อยก็อาจจะได้ลง 16 กม ถ้าเลวร้ายหน่อย ก็คงไปเดินเล่นอย่างเดียว และ สำหรับระยะ 32 กม. ตามความตั้งใจแต่แรก คงต้องเป็นหมันต่อไปอีกปี เพราะรู้ว่าถ้าฝันครั้งนี้ อาจจะต้องหยุดวิ่งยาวไม่มีกำหนดแน่นอน
เช้าวันเสาร์ที่ 17 การเดินทางมุ่งหน้าสู่ ประตูเมืองนครนายก ได้เกิดขึ้น เป้าหมายคือ เที่ยว ให้ดับทุกข์ กินให้มีความสุข ได้เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะสวนดอกไม้ย่านลำลูกกา ไหว้พระหลวงพ่อปากแดงที่เลื่องชื่อ ดื่มด่ำกับธรรมชาติบนสันเขื่อน ขุนด่าน กับอาหารกลางวันเลิศรส ที่ ปากทางเข้า เขาชะโงก ทำให้ลืมเรื่องการวิ่งไปเลยทีเดียว
กลับมาสู่เส้นทางนักวิ่งอีกครั้ง เมื่อได้เดินทางมาถึง บริเวณจัดงาน งานนี้ไม่มีอาการลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กับการสมัครวิ่งที่ระยะ 16 กม. ไม่มีเสียงเย้ยหยัน คัดค้านใดๆ จากคู่หู เนื่องด้วย เดี้ยงเหมือนกัน ฮ่าฮ่า
จากนั้นก็เริ่ม เดินชม ร้านค้าต่างๆ ที่มาจัดบูธ จนได้รู้จัก ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Phiten ทางร้านได้ยื่นสร้อยคอ ให้ข้าพเจ้ามาทดสอบ โดยให้ยกของด้วยมือเปล่า และเปลี่ยนให้ยกอีกครั้งพร้อมผลิตภัณฑ์ของเค้า เออแปลกดี ทำให้เที่ยวสอง ของถึงเบาได้ ทางร้านบรรยายสรรพคุณสินค้า ให้ฟังอย่างยาวเหยียด ซึ่งระหว่างฟัง ข้าพเจ้า พยามยามแอบมอง....... ราคาของผลิตภัณฑ์ จึงเห็นว่านี่มันสินค้าไฮโซชัดๆ โลโซอย่างเราไม่มีสิทธิ์ แต่ทางร้านค้า ยังใจดีแปะพลาสเตอร์ให้ ในบริเวณที่เจ็บรองช้ำ ในใจคิดก็ดีเหมือนกัน เผื่อได้ผล ก็มีทางเลือกในการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ให้หายไป
ในการวิ่งวันพรุ่งนี้ ได้เตรียมแผ่นรองเท้า ที่ไปทำมา เตรียมใช้ในงานครั้งนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะเป็นการเสี่ยงเกินไปหรือป่าว กับผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เคยทดสอบ แต่นำมาใช้จริงเลย จากนั้นจึงเดินทางกลับที่พักทันที
เช้าวันอาทิตย์ นี้ กับเมื่อ 2 ปีก่อน ตามที่สังเกตุ รู้สึกว่า งานนี้คนน้อยลงไปมาก อาจเป็นเพราะงานวันนี้จัดชนกับงาน BKK Marathon ก็เป็นได้ ระหว่างการวอร์มอัพ เท่าที่สังเกตุงานนี้มีแต่นักวิ่งหวังผล มาแข่งชันกัน เพื่อเข้าเฝ้ารับพระราชทานถ้วย จาก พระเทพฯ กันมากมาย อย่างว่าละครับ ผมว่าถ้วยใบนี้ ใครๆ ก็อยากได้ และคงมีค่ากว่าถ้วยรายการไหนๆ เป็นแน่
5.16 การปล่อยตัวระยะ 16K ก็เริ่มขึ้น นี่คือการวิ่งครั้งแรกในรอบสัปดาห์หลังจากบาดเจ็บ ช้าเข้าไว้ คือคำที่ข้าพเจ้าท่องไว้ในใจตลอด 2 กม แรก และเมื่อพ้น กม.ที่ 2 ก็เข้าสู่เขตเนินเขา เนินลูกแรก ความชันอยู่ที่ประมาณ 45 องศา เนินขึ้น 650 เมตร เนินขาลงประมาณ 700 เมตร และกลับสู่เส้นทางในระดับปกติ เมื่อพ้น ระยะทางที่ 3.5 กม จากการวัดโดย GPS ส่วนตัว หลงดีใจได้ไม่ถึง 5 นาที พ้น กมที่ 4 ก็มาเจอเนินลูกที่ 2 อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ดีหน่อย ที่เนินลูกนี้ ความชันอยู่ที่ประมาณ 7-8 องศา แต่เป็นเนิน สลับขึ้นสลับลง ไปจนถึง กม. ที่ 6 ซึ่งเป็นทางแยกที่ทาง ทหาร เปิดให้ขึ้นไปวิ่ง เนินนี่แหละที่ผมคิดว่าหินกว่าเนินแรกมาก
ถึงแม้ว่าความชัน จะอยู่ที่ 20-25 องศา แต่ระยะทางที่ต้องวิ่ง จาก กม ที่ 6 แล้วไปกลับตัวลงมา จบที่ กมที่ 11.5 รวมๆ แล้วต้องใช้พลังงานกับจุดนี้ เกือบ 5 กม. ซึ่งถือว่าสาหัสเอาการกับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บอย่างข้าพเจ้า
เมื่อเข้าสู่ หลัก กม.ที่ 12 เป็นต้นไป เส้นทางวิ่ง ก็เป็นเฉกเช่นการวิ่งทางราบในงานวิ่งอื่นๆ ทั่วไป เพียงแต่ว่าถนนช่วงนี้เป็นคอนกรีตล้วนๆ จนถึงเส้นชัย ซึ่งหลังผ่านการวิ่งมา 12 กม. อาการบาดเจ็บอาทิตย์ก่อนไม่มีปรากฏ เรียวแรงยังพอมีเหลือ จากการออมไว้ตั้งแต่แรก จึงเริ่มปฏิบัติการ หมาล่าเนื้ออีกครั้ง เผื่อว่าจะไล่คู่หูทัน แต่ปรากฏว่า ถ้าเริ่มเร่งเร็วกว่านี้ อาจจะไล่บอยทัน ซึ่งมารู้ความจริงอีกทีว่า บอย อยากได้ประกาศนียบัตรของงานนี้มาก จึง ซัดลืมอาการเจ็บ จนสามารถคว้าประกาศนียบัตรได้สมปรารถนา ซึ่งขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้ง ว่าแต่เดี่ยวนี้ตั้งแต่ประกาศเลิกแข่งกัน ไม่ค่อยได้วิ่งผลัดกันแซงเลย คิดถึงอารมณ์แบบนั้นอีกจัง
เมื่อเข้าเส้นชัยเรียบร้อย จึงไปคูลดาวน์ เพื่อเช็คอาการบาดเจ็บ ปรากฏว่าไม่มีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วง จากนั้นก็ลืมยืดเหยียด ไปเลย เพราะเร่งไปเชียร์เพื่อนๆ ที่แข่งในระยะ 32 กม ให้คว้าถ้วย
อากาศตอนนี้แหละที่เริ่มร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักวิ่งแต่ละท่านวิ่งเข้ามา ปากซีดกันเป็นแถว วันหลังอาจจะเตรียมลิปสติก ไปให้บริการเพื่อนๆ ดีกว่า
ในวันนี้ พี่ๆ ที่ชมรม สามารถ พาตัวเอง ไปสู่ห้องโถงสำหรับรับถ้วยพระราชทานได้ 2 ท่าน ได้แก่พี่ปุ๊กและพี่รงค์ แต่สมแล้วที่ทั้งสองท่านได้ เพราะขยันซ้อมมากๆๆ เห็นแล้วทึ่งจริงๆ
มองท้องฟ้า ออกไป หวังว่าไม่เกิน 10 ปี เราคงมีโอกาสนี้กับเค้าบ้างเนอะ เขาชะโงก
ระยะทางจริง 15.96 กม
ไช้ 1.32.20
บอย 1.26.36
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555
Race 104 10 กม นี้ เหนื่อยหนักหนา
Race 104 วิ่งขจัด โปลิโอ
หลังจากได้รับมอบหมายจากทาง สสส ให้ทีมงานสถาวรรันนิ่งคลับ มาช่วยเปิดคลีนิค สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่มา การซ้อมการลงแข่งที่ปกติจะทำอย่างสม่ำเสมอ ก็ถูกแบ่งเวลาออกไปทำให้ การซ้อมน้อยลง การแข่งนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะหมดสิทธิ์เลย แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยให้การออกกำลังกายแพร่หลายออกไป
ข้าพเจ้าเป็นประเภท ชอบใช้เวลาในการแข่งล่าสุด มาเป็นแรงบันดาลใจในการวิ่ง ซึ่งเมื่อห่างหายจากสนามไปนานๆ มันทำให้ไฟในตัวเริ่มมอดไปโดยรู้ตัว นอกจากไม่มีเวลาแล้วอาการบาดเจ็บที่รองช้ำ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปสักที ทั้งที่พักก็แล้ว งดซ้อมมาก็บ่อย ก็ยังเจ็บนิดๆ ตลอดเวลา
ซึ่งข้าพเจ้ารู้ตัวดี ว่าจะต้องหางานมาบิ้วท์อารมณ์ให้ซ้อมก่อน เขาชะโงก 32 กม ไม่งั้นงานนี้มี นรกแน่ๆ ซึ่งก็พยายามจะเลือกไปหลายงาน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถไปได้จากหน้าที่ค้ำคออยู่
28 ตุลาคม 2012 งานวิ่งที่สวนลุมมาค้ำคอถึงสถานที่ซ้อม มันรู้สึกน่าเสียดายและเสียโอกาสเป็นอย่างยิ่งที่งานมาถึงหน้าบ้านแล้วไม่ได้วิ่ง ทั้งที่ หลายคนดั้งด้นมาจากอยุธยา มาจากชลบุรี มาวิ่งที่งานนี้ แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร
เมื่อคิดการได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติการแจ้งท่านเจ้าสำนักรับทราบของการหายตัวไป 1 คาบเรียน ซึ่งเมื่อเรียบร้อยจะกลับมาที่คาบเรียนที่ 2 เพื่อช่วยต่อ
เวลาตี 4 เริ่มเตรียมตัว อุปกรณ์ ต่างๆ ที่จะใช้สำหรับสอนในวันนี้นำขึ้้นรถ แวะ ซื้อแซนวิส ที่ 7-11 เพื่อเป็นอาหารรองท้องขณะซ้อมของนักวิ่งที่มาซ้อม
กว่าจะแล้วเสร็จก็เกือบตี 4 ครึ่ง จึงเริ่มเดินทาง มุ่งสู่สวนลุมพีนี ในเวลา 5 นาฬิกา เมื่อจัดแจงจอดรถเรียบร้อยแล้วจึงเร่งเดินเข้าในตัวสวนลุม และมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งเมื่อไปถึงปรากฏว่าได้ยินเสียงพิธีกร ประกาศเรื่องเสื้อหมด ซึ่งจะยังขายเบอร์วิ่งต่อไปในราคา 100 บาท พร้อมกระเป๋าคาดเอวแทนเสื้อ
การเข้าคิว เพื่อสมัครและชำระเงิน ถือเป็นอีกหนึ่งมารยาท ที่เราพึงควรมี เพราะวันนี้ข้าพเจ้าได้พอเจอกับสิ่งที่น่ารังเกียจ จาก นักวิ่ง ที่สมัครอยู่ในแถวก่อนหน้า การสมัครเป็นไปตามปกติ แต่มีนักวิ่งบางคนไม่ยอมต่อแถว เล่นยื่นตังค์ไปฝากเพื่อนที่ซื้อเบอร์อยู่ อย่างไม่เกรงใจผู้อื่นที่ต่อแถวอยู่เลย
เมื่อจ่ายตังค์สมัครเสร็จ จึงต้องรีบกลับไปปฏิบัติภาระกิจ รีบวิ่งวอร์มกลับไปที่จอดรถ และ เริ่มขนป้ายและน้ำดื่ม มาวางไว้ที่ลานตะวันยิ้ม พร้อมทั้งติดตั้งป้ายจนเรียบร้อย จึงรีบสะพานเป๋ใบเก่ง กลับไปที่งาน โดย วิ่งตัดทางตรงกลางกลับไปรีบนำกระเป๋าไปฝาก พร้อม กับมายืดเหยียด แต่เวลาก็ไม่พอให้มีเวลาสไตรค์ เลยต้องเลยตามเลย
วันนี้ ได้ยืนปล่อยตัวพร้อม กับคุณพุช คุณโก้ และพี่กิ๊บ คนมาร่วมงานวันนี้ไ่ม่มากเท่าไหร่ แต่เท่าที่ได้ยินจากนักวิ่งประเภทล่าถ้วย แว่วๆ ว่า หนีงานอื่นมาเจองานนี้ทั้งนั้น แสดงว่า คนหวังถ้วยหมายปองถ้วยงานนี้ไว้นี่เอง
เวลาปล่อยตัวอยู่ที่เวลา 6:06 นาที เมื่อปล่อยตัว จึงรีบเร่งสปีดหนีกลุ่มออกไปก่อน วันนี้ไม่มีคู่ปรับมาให้ไล่ด้วย และไม่รู้การวิ่งวันนี้จะหมดแรงที่ กม ไหน เพราะไม่ได้ซ้อมเร็วมาเลยตลอดเดือน ได้แค่ประคองซ้อมให้ครบระยะมาตลอดทั้งเดือน
เมื่อวิ่งอยู่บนถนนพระราม 4 และเลี้ยวซ้าย วิ่งเราะขอบกำแพงสวนลุม เริ่มทยอยแซงนักวิ่งที่รู้จักได้ทีละคนสองคน จากนั้นก็วิ่งเข้าถนนวิทยุ แล้วไปเลี้ยวซ้ายที่หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา ช่วงถนนสุขุมวิท มุ่งตรงไปสู่ ถนนอังรีดูนัง ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ติดไฟแดงตรงแยกราชประสงค์ และเมื่อผ่านไปแดงมาก็ต้องวิ่งตามแท็กซี่ อยู่ระยะพอสมควร กว่าที่แท็กซี่ จะฉีกหนีออกไปได้
การวิ่งวันนี้ พยายามประคองอยู่ที่ Pace 4:45 ไม่รู้ว่าจะทานกำลังได้เท่าไหร่ ซึ่งเมื่อถึงถนนอังรีดูนัง นั้นเริ่มรู้สึกว่ากำลังตัวเองตกลงไปเยอะพอประมาณ จึงพยายามเร่งจังหวะเพิ่มขึ้นอีกนิด
และเร่งสปีดสุดฝีเท้าตรงแยกก่อนเข้าถนนสุรวงค์ ก่อนที่จราจรจะโบกรถให้วิ่ง เล่นเอา เกือบอ๊วก
แต่การวิ่งที่ไม่ปรารถนาที่จะติดไฟแดง ก็ต้องติดจนได้ ที่บริเวณถนนนราธิวาส ตัด สีลม ซึ่งเสียเวลาพอสมควรกับตรงนี้ แต่ก็รู้สึกสงสารรถที่ติดเหมือนกัน เพราะหลายคันกดแตร ด่านักวิ่งและตำรวจกับอย่างสนั่นหวั่นไหว
การวิ่งในเืมืองวันนี้ การปิดการจราจร ยังถือว่าไม่ประทับใจ เพราะความปลอดภัยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก เพราะมีหลายครั้งที่ต้องวิ่งคู่ไปกับรถเมล์ รถแท็กซี่ ดีว่าเราไม่ใช่แนวหน้า เลยมีเกราะกำบังเยอะมาก
การวิ่งวันนี้พยายามควบคุมเรื่องจังหวะหายใจไม่ให้ออกอาการเหมือนพัทยาที่ผ่านมา เหมือนที่พีนงตั้งข้อสังเกตุตอนวิ่ง จังหวะการหายใจวันนี้ดีมาก ไม่มีการหายใจทางปาก ไม่มีอาการหอบเลยจนถึง กม ที่ 8 อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ คนที่ข้าพเจ้าล่า ตั้งแต่ กม แรก นั้น จังหวะหายใจแรง เสียงดังตลอด จนทำให้้ข้าพเจ้าไม่กล้าหายใจแบบนั้น
ในใจคิดว่า หายใจแบบนี้่ ช่วงท้ายเสร็จเราแน่ วิ่งไปครบ 8 กม คำนวณเวลาแล้วว่า 2 กม สุดท้ายสามารถวิ่งได้ต่ำกว่า Pace 4:20 จะสามารถทำลายสถิติลงได้
เมื่อถึง กม ที่ 9 เช็คเวลาอยู่ที่ 4:40 ซึ่งดูแล้วคงไม่สามารถทำลายสถิติได้จึงผ่อนลง และกำลังสงสัยกับเส้นทางการวิ่งมาก เพราะตอนก่อนมาวิ่ง เช็คแล้วว่า เมื่อถึง กม ที่ 9 จะต้องวิ่งย้อนทางเดิมกับเข้าทาง หน้า ร 6 แต่ หาได้เป็นเส้นทางนี้ไม่
จักต้องวิ่งไป ซึ่งคิดแล้วว่าคงจะต้องวิ่งไปอ้อมสวนลุมด้านนอกอีกแน่ ซึ่งไม่ใช่ระยะ 10.54 กม อย่างแน่นอน เมื่อถึง กม ที่ 10 ปรากฏว่าสถิติยังทำลายไม่ได้ เกินไปเกือบครึ่งนาที เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ซึ่งคิดว่าจะผ่อนและวิ่งประคองเข้าเส้นชัยไปแบบไม่ให้ดูเหนื่อยนัก เพราะมีงานรออยู่ แต่ปรากฏว่า เสียงหอบ เสียงเดิม ดังขึ้น และดังใกล้เข้ามา ซึ่งสันชาตญาณ นักสู้ ซึ่งไม่ยอมอยู่เฉยๆ จึงเร่ิงฝีเท้าหนี เพื่อไม่ให้เป้าหมายในวันนี้เสียไป
ซึ่งการพยายามก็เป็นที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเวลา 52:44 ที่ระยะ 11.05 กม
ไช้
28 ตุลาคม 2012
หลังจากได้รับมอบหมายจากทาง สสส ให้ทีมงานสถาวรรันนิ่งคลับ มาช่วยเปิดคลีนิค สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่มา การซ้อมการลงแข่งที่ปกติจะทำอย่างสม่ำเสมอ ก็ถูกแบ่งเวลาออกไปทำให้ การซ้อมน้อยลง การแข่งนี่ไม่ต้องพูดถึง แทบจะหมดสิทธิ์เลย แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยให้การออกกำลังกายแพร่หลายออกไป
ข้าพเจ้าเป็นประเภท ชอบใช้เวลาในการแข่งล่าสุด มาเป็นแรงบันดาลใจในการวิ่ง ซึ่งเมื่อห่างหายจากสนามไปนานๆ มันทำให้ไฟในตัวเริ่มมอดไปโดยรู้ตัว นอกจากไม่มีเวลาแล้วอาการบาดเจ็บที่รองช้ำ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปสักที ทั้งที่พักก็แล้ว งดซ้อมมาก็บ่อย ก็ยังเจ็บนิดๆ ตลอดเวลา
ซึ่งข้าพเจ้ารู้ตัวดี ว่าจะต้องหางานมาบิ้วท์อารมณ์ให้ซ้อมก่อน เขาชะโงก 32 กม ไม่งั้นงานนี้มี นรกแน่ๆ ซึ่งก็พยายามจะเลือกไปหลายงาน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถไปได้จากหน้าที่ค้ำคออยู่
28 ตุลาคม 2012 งานวิ่งที่สวนลุมมาค้ำคอถึงสถานที่ซ้อม มันรู้สึกน่าเสียดายและเสียโอกาสเป็นอย่างยิ่งที่งานมาถึงหน้าบ้านแล้วไม่ได้วิ่ง ทั้งที่ หลายคนดั้งด้นมาจากอยุธยา มาจากชลบุรี มาวิ่งที่งานนี้ แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร
เมื่อคิดการได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติการแจ้งท่านเจ้าสำนักรับทราบของการหายตัวไป 1 คาบเรียน ซึ่งเมื่อเรียบร้อยจะกลับมาที่คาบเรียนที่ 2 เพื่อช่วยต่อ
เวลาตี 4 เริ่มเตรียมตัว อุปกรณ์ ต่างๆ ที่จะใช้สำหรับสอนในวันนี้นำขึ้้นรถ แวะ ซื้อแซนวิส ที่ 7-11 เพื่อเป็นอาหารรองท้องขณะซ้อมของนักวิ่งที่มาซ้อม
กว่าจะแล้วเสร็จก็เกือบตี 4 ครึ่ง จึงเริ่มเดินทาง มุ่งสู่สวนลุมพีนี ในเวลา 5 นาฬิกา เมื่อจัดแจงจอดรถเรียบร้อยแล้วจึงเร่งเดินเข้าในตัวสวนลุม และมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงาน ซึ่งเมื่อไปถึงปรากฏว่าได้ยินเสียงพิธีกร ประกาศเรื่องเสื้อหมด ซึ่งจะยังขายเบอร์วิ่งต่อไปในราคา 100 บาท พร้อมกระเป๋าคาดเอวแทนเสื้อ
การเข้าคิว เพื่อสมัครและชำระเงิน ถือเป็นอีกหนึ่งมารยาท ที่เราพึงควรมี เพราะวันนี้ข้าพเจ้าได้พอเจอกับสิ่งที่น่ารังเกียจ จาก นักวิ่ง ที่สมัครอยู่ในแถวก่อนหน้า การสมัครเป็นไปตามปกติ แต่มีนักวิ่งบางคนไม่ยอมต่อแถว เล่นยื่นตังค์ไปฝากเพื่อนที่ซื้อเบอร์อยู่ อย่างไม่เกรงใจผู้อื่นที่ต่อแถวอยู่เลย
เมื่อจ่ายตังค์สมัครเสร็จ จึงต้องรีบกลับไปปฏิบัติภาระกิจ รีบวิ่งวอร์มกลับไปที่จอดรถ และ เริ่มขนป้ายและน้ำดื่ม มาวางไว้ที่ลานตะวันยิ้ม พร้อมทั้งติดตั้งป้ายจนเรียบร้อย จึงรีบสะพานเป๋ใบเก่ง กลับไปที่งาน โดย วิ่งตัดทางตรงกลางกลับไปรีบนำกระเป๋าไปฝาก พร้อม กับมายืดเหยียด แต่เวลาก็ไม่พอให้มีเวลาสไตรค์ เลยต้องเลยตามเลย
วันนี้ ได้ยืนปล่อยตัวพร้อม กับคุณพุช คุณโก้ และพี่กิ๊บ คนมาร่วมงานวันนี้ไ่ม่มากเท่าไหร่ แต่เท่าที่ได้ยินจากนักวิ่งประเภทล่าถ้วย แว่วๆ ว่า หนีงานอื่นมาเจองานนี้ทั้งนั้น แสดงว่า คนหวังถ้วยหมายปองถ้วยงานนี้ไว้นี่เอง
เวลาปล่อยตัวอยู่ที่เวลา 6:06 นาที เมื่อปล่อยตัว จึงรีบเร่งสปีดหนีกลุ่มออกไปก่อน วันนี้ไม่มีคู่ปรับมาให้ไล่ด้วย และไม่รู้การวิ่งวันนี้จะหมดแรงที่ กม ไหน เพราะไม่ได้ซ้อมเร็วมาเลยตลอดเดือน ได้แค่ประคองซ้อมให้ครบระยะมาตลอดทั้งเดือน
เมื่อวิ่งอยู่บนถนนพระราม 4 และเลี้ยวซ้าย วิ่งเราะขอบกำแพงสวนลุม เริ่มทยอยแซงนักวิ่งที่รู้จักได้ทีละคนสองคน จากนั้นก็วิ่งเข้าถนนวิทยุ แล้วไปเลี้ยวซ้ายที่หน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา ช่วงถนนสุขุมวิท มุ่งตรงไปสู่ ถนนอังรีดูนัง ตรงนี้เป็นจุดแรกที่ติดไฟแดงตรงแยกราชประสงค์ และเมื่อผ่านไปแดงมาก็ต้องวิ่งตามแท็กซี่ อยู่ระยะพอสมควร กว่าที่แท็กซี่ จะฉีกหนีออกไปได้
การวิ่งวันนี้ พยายามประคองอยู่ที่ Pace 4:45 ไม่รู้ว่าจะทานกำลังได้เท่าไหร่ ซึ่งเมื่อถึงถนนอังรีดูนัง นั้นเริ่มรู้สึกว่ากำลังตัวเองตกลงไปเยอะพอประมาณ จึงพยายามเร่งจังหวะเพิ่มขึ้นอีกนิด
และเร่งสปีดสุดฝีเท้าตรงแยกก่อนเข้าถนนสุรวงค์ ก่อนที่จราจรจะโบกรถให้วิ่ง เล่นเอา เกือบอ๊วก
แต่การวิ่งที่ไม่ปรารถนาที่จะติดไฟแดง ก็ต้องติดจนได้ ที่บริเวณถนนนราธิวาส ตัด สีลม ซึ่งเสียเวลาพอสมควรกับตรงนี้ แต่ก็รู้สึกสงสารรถที่ติดเหมือนกัน เพราะหลายคันกดแตร ด่านักวิ่งและตำรวจกับอย่างสนั่นหวั่นไหว
การวิ่งในเืมืองวันนี้ การปิดการจราจร ยังถือว่าไม่ประทับใจ เพราะความปลอดภัยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก เพราะมีหลายครั้งที่ต้องวิ่งคู่ไปกับรถเมล์ รถแท็กซี่ ดีว่าเราไม่ใช่แนวหน้า เลยมีเกราะกำบังเยอะมาก
การวิ่งวันนี้พยายามควบคุมเรื่องจังหวะหายใจไม่ให้ออกอาการเหมือนพัทยาที่ผ่านมา เหมือนที่พีนงตั้งข้อสังเกตุตอนวิ่ง จังหวะการหายใจวันนี้ดีมาก ไม่มีการหายใจทางปาก ไม่มีอาการหอบเลยจนถึง กม ที่ 8 อาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ คนที่ข้าพเจ้าล่า ตั้งแต่ กม แรก นั้น จังหวะหายใจแรง เสียงดังตลอด จนทำให้้ข้าพเจ้าไม่กล้าหายใจแบบนั้น
ในใจคิดว่า หายใจแบบนี้่ ช่วงท้ายเสร็จเราแน่ วิ่งไปครบ 8 กม คำนวณเวลาแล้วว่า 2 กม สุดท้ายสามารถวิ่งได้ต่ำกว่า Pace 4:20 จะสามารถทำลายสถิติลงได้
เมื่อถึง กม ที่ 9 เช็คเวลาอยู่ที่ 4:40 ซึ่งดูแล้วคงไม่สามารถทำลายสถิติได้จึงผ่อนลง และกำลังสงสัยกับเส้นทางการวิ่งมาก เพราะตอนก่อนมาวิ่ง เช็คแล้วว่า เมื่อถึง กม ที่ 9 จะต้องวิ่งย้อนทางเดิมกับเข้าทาง หน้า ร 6 แต่ หาได้เป็นเส้นทางนี้ไม่
จักต้องวิ่งไป ซึ่งคิดแล้วว่าคงจะต้องวิ่งไปอ้อมสวนลุมด้านนอกอีกแน่ ซึ่งไม่ใช่ระยะ 10.54 กม อย่างแน่นอน เมื่อถึง กม ที่ 10 ปรากฏว่าสถิติยังทำลายไม่ได้ เกินไปเกือบครึ่งนาที เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ซึ่งคิดว่าจะผ่อนและวิ่งประคองเข้าเส้นชัยไปแบบไม่ให้ดูเหนื่อยนัก เพราะมีงานรออยู่ แต่ปรากฏว่า เสียงหอบ เสียงเดิม ดังขึ้น และดังใกล้เข้ามา ซึ่งสันชาตญาณ นักสู้ ซึ่งไม่ยอมอยู่เฉยๆ จึงเร่ิงฝีเท้าหนี เพื่อไม่ให้เป้าหมายในวันนี้เสียไป
ซึ่งการพยายามก็เป็นที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเวลา 52:44 ที่ระยะ 11.05 กม
ไช้
28 ตุลาคม 2012
วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555
Race 103 Mizuno
Race 103 Mizuno River Kwai Mini Half Marathon 31st
ไช้
16 กันยายน 2012
การเดินทางไปงานวิ่ง หรือ ไปเที่ยว ที่ต้องเดินทางออกต่างจังหวัด มักเป็นอะไรที่ตื่นเต้นเสมอสำหรับข้าพเจ้า เพราะว่า ทุกครั้งที่ได้ออกไป มักจะได้พบมุมมองอะไรที่แปลกๆ และแตกต่าง จากที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเสมอ และสำหรับในครั้งนี้เช่นเคย สารถี ประจำสำหรับทริป ต่างจังหวัด นั้นก็คือ บอย คือเรามีข้อตกลงกันมาว่า ถ้างานวิ่งใน กทมและปริมณฑล จะไปด้วยรถข้าพเจ้า แต่หากเป็นถิ่นทุรกันดาล นอกเขตปริมณฑล จะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านถนน เป็นผู้ดำเนินการแทน
เวลา 9:00 คือเวลาทำการปล่อยตัวจาก โรงพยาบาลนครธน มุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี วันนี้เราเลือกเส้นทางปิ่นเกล้า นครไชยศรี และเข้าสู่ ราชบุรี และ แยกไปทาง กาญจนบุรี ในขาไป
พรุ่งนี้เจอกัน ขอล้างตาหน่อย |
วันนี้เป็นวันที่ทัศนวิสัย ของการขับขี่ไม่ดี เพราะมีฝนตกตลอดเส้นทาง รถติดมากตั้งแต่เข้ามาสู่ถนนใต้ทางยกระดับบรมราชินี ซึ่งก็เป็นที่สงสัยว่า ติดอะไร ซึ่งคำถามที่คาใจ ก็ถูกเฉลยให้หายข้องใจ เมื่อขับผ่านจุดที่เกิดอุบัติเหตุ ที่รถบัสชนกัน พิโธ่ รถบัสบริษัทเดียวกัน จุดหมายการนำเที่ยวไปที่เดียวกัน ชนกันเอง มันน่าไม๊ครับ สงสัยจะซิ่งกันมากไปหน่อย
พอหลุดเส้นทางนี้ รถก็สามารถขับขี่กันได้ตามปกติ ในครั้งแรกตกลงกันว่าการเดินทางครั้งนี้จะมีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน คือ ข้าพเจ้า มิงค์หลานข้าพเจ้า บอย และ แฟนบอย แต่ปรากฏว่าหลานงานเข้าติดงานที่โรงเรียน เลยอดไป
อากาศที่นี่บริสุทธิมาก |
สำหรับการเดินทางในวันนี้ แตกต่างจากปีก่อนที่จะต้องเดินทางไปหาที่พัก กันเอาดาบหน้า พร้อมด้วยแพ็คเกจการท่องเที่ยวเต็มอัตราศึกทั้งที่ปีก่อน จะต้องวิ่ง 30 กม มาปีนี้ มาวิ่งด้วยคอนเซปต์ใหม่ "วิ่งไปด้วยความสงบ" หลังจากที่มีที่พักแน่นอนแล้วจากการอำนวจความสะดวกจากพี่รัตน์ ที่ดำเนินการจองให้ที่ นงชนกรีสอร์ท รีสอร์ท ที่เราควรจะได้พักเมื่อปีก่อน แต่ด้วยความคิดว่าสถานที่ตรงนั้นเป็นปลายทาง จึงเลี้ยวเข้าไปพักอีกที่หนึ่ง ซึ่งปีนี้ กาแผนที่ไว้เรียบร้อยเรื่องที่พัก เลยมิต้องมิความกังวลใดๆ อีก นอกจากนั้นปีนี้ ได้คุยกันแล้วว่าจะไม่ไปไหน ขอนอน ขออยู่ในรีสอรท์ให้สาแกใจหน่อย เพราะปกติที่พัก จองไว้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่เคยได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่นั่นเลย
จุดมุ่งหมายวันนี้ คือ บ้านช้างชรา สถานที่ที่คุณหมอผู้ใจดีและชาวกาญจนบุรี ช่วยกันสร้างเพื่อให้เป็นแหล่งพักพิงและรักษาตัว ในยามชรา ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการปรับปรุงสถานที่ มีการทำที่พักให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจากที่สังเกตุ มีชาวต่างชาติ ทั้งฝรั่งและชาวญีุ่ปุ่น เดินทางมาที่นี่เป็นระยะ ไม่ขาดสาย มีทั้งการเข้าไปให้อาหารช้าง สำหรับกิจกรรมที่นี่ มีทั้งให้อาหารช้าง อาบน้ำให้ช้าง การปลูกอาหารให้ช้าง การกำจัดวัชพืช ในแหล่งอาหารของช้าง นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแคมป์ปิ้งอีกด้วย แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมฟังเพื่อนเล่าให้ฟัง เพราะช่วงเวลาที่เราเข้าไปสามารถทำได้เพียงให้อาหารช้าง เนื่องจากเป็นช่วงบ่าย อากาศร้อน ไว้มีโอกาสมา กาญจนบุรี จะแวะมาที่นี่อีกครั้ง
หลังจากปฏิบัติภาระกิจที่ ช.ช้างชรา เรียบร้อย จุดมุ่งหมายต่อไปคือ การมุ่งตรงสู่โรงแรมริเวอร์แคว์ เพื่อรับเบอร์และชิฟ งานวิ่ง งานนี้รับฝากสมัครมาจากเพื่อนๆ หลายคนเหมือนกัน การเดินทางวันนี้เหมือนจะโชคดีมากที่ตลอดทางที่มา ไม่เจอพายุฝนอย่างที่เค้าร่ำลือกันเมื่อสองวันก่อนเลย การเดินทางปลอดโปร่งมาก
ที่อาบน้ำช้าง ช.ช้างชรา |
แต่เมื่่อเข้าเขต ไทรโยค ที่มีเขาเป็นระยะ นั้น ก็โดนฝนมาต้อนรับทันที ซึ่งตลอดทาง ก็มีทั้งฝนตก แดดออกกันเป็นระยะ ไปจนถึงที่ตัวโรงแรม ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีฝน ซึ่งก็ดูเหมือนจะโชคดีที่เหตุการณ์เป็นแบบนั้น เมื่อเข้าสู่บริเวณโรงแรม และลงเขาเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ตัวโรงแรม ฝนก็ได้ตกลง ซึ่งเมื่อลงไปถึงข้างหน้า ถึงกับหน้าหงาย เพราะเต็มไปด้วยรถของนักท่องเที่ยว นักวิ่ง จอดอยู่เต็มไปหมด จนเหมือนกับไม่มีที่จะให้จอดรถ ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความพยายามอยู่กำลังสอง เพื่อให้ได้ที่จอดรถ ซึ่งจนแล้วจนรอด ก็สามารถหาจนได้ จึงลงจากรถ เพื่อเข้าไปยังจุดรับสมัครล่วงหน้า ซึ่งปรากฏว่าหลังจากเปิดประตูรถออกมา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาทันที ไม่ให้เวลาแม้กระทั่งตั้งหลักเพื่อหลบ ซึ่งทำให้ต้องใช้ฝีเท้า อัดไปจนสุดแรงเพื่อให้กายา ไม่ถูกบดบังด้วยสายฝนที่ไม่ได้มีการต้องการเลย ซึ่งข้าพเจ้ากับบอย แยกกันไปคนละทางเพื่อปฏิบัิติภาระกิจของแต่ละคน จุดมุ่งหมายของบอย คือไปสมัครใหม่ เนื่องจากคนข้างตัวไม่ได้สมัครไว้ล่วงหน้า
ส่วนตัวข้าพเจ้ามุ่งหน้าหมายรับถุงที่บรรจุพร้อม และออกมารอบอย แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ตาลปัตรไม่เป็นดั่งความคาดหมาย ใบเสร็จรับเงินที่นำมาจากการสมัครล่วงหน้า ถูกนำมาส่งต่อให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อรับสินค้าตามความพอใจที่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า แต่ หาได้เป็นเยี่ยงนั้น หลังจากส่งเอกสารเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ กลับต้องไปที่กองหมายเลข เพื่อค้นหาหมายเลขตามที่ได้ระบุในใบเสร็จรับเงิน
โอ้วแม่เจ้า คุณไม่เตรียมตัวอะไรเลยหรือ หลังจากหาเบอร์ที่ 1 พบ ก็กลับไปค้นหาไซด์เสื้อตามที่ได้ระบุไว้ในใบเสร็จ จากนั้นก็มาหยิบเหรียญและของชำร่วย (น้ำนมถั่วเหลืองและน้ำมันนวด) บรรจงใส่ของทั้งหมดลงในถุงและส่งมอบให้ข้าพเจ้า
แต่นั่นเป็นเพียง 1 ชุด ยังเหลือ อีก 4 ชุด สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน กับอีก 1 ชุด สำหรับมินิมาราธอน
ข้าพเ้จ้าได้รับชุดแรกเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่า บอยสมัครได้รับของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เร็วกว่าสมัครล่วงหน้าอีก แล้ว แบบนี้จะสมัครล่วงหน้าทำไมฟร่ะ
สถานที่พักราคาประหยัด นงชนกโฮมสเตย์ |
ไม่รู้ว่าเรื่องเหรียญนี้ ข้าพเจ้าเคยบ่นให้ฟังหรือยัง อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มองว่าผู้จัดรายนี้ต้องการปัดความรับผิดชอบและลดทอนความศักดิ์สิทธิหรือความภาคภูมิใจของนักวิ่งลง เพราะว่าผู้จัดรายนี้ ตอนนี้มีการปฏิวัติใหม่ในรูปแบบการจัดงาน ที่มอบเหรียญที่ระลึกให้ตั้งแต่สมัคร ในความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้มีความยินดีกับการรับล่วงหน้าเลย เพราะทำให้การวิ่งในรายการแบบนี้ ขาดแรงบันดาลใจไปเลย
เมื่อกิจกรรมรับเบอร์เรียบร้อย เราทั้งคู่เห็นว่าควรรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว เพราะนักวิ่งท่านอื่นที่กำลังมาใหม่จะได้มีที่จอดรถ ดังนั้น จึงรีบขับรถหมายมั่นว่าจะไปยังสถานที่พักโดยเร็ว หลังจากที่เคลื่อนพล ออกจากตัวโรงแรม ป้อม ก็ได้โทรแจ้งว่ามาถึงงานแล้วจะขอรับเบอร์กับชิพ ไปเลย หลังจากที่ก่อนหน้านี้สักพัก ตกลงกันว่าจะนำมาให้ตอนเช้าวันแข่งขัน
สงสัยจะคาดกันเล็กน้อย แค่เสี้ยวนาที ดังนั้นจึงนัดหมายสถานที่กันทันที ที่จุดปล่อยตัววิ่งวันพรุ่งนี้ เพื่อส่งมอบเบอร์ให้เรียบร้อยภายในวันนี้ หลังจากนั้นใช้เวลาประมาณ 3 นาที ก็ได้พบเจอและส่งมอบสินค้ากันเป็นที่เรียบร้อย ส่วนตัวทีมข้าพเจ้าเองก็มุ่งหน้าสู่สถานที่พัก โดยใช้เส้นทางคู่ขนาน ที่เมื่อปีก่อนพี่หนิด ขับรถมาจอดตรงส่วนนี้ เส้นทางการเดินทางเหมือนสั้นๆ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนกับการเดินทางไปดวงจันทร์อย่างไร อย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะฝนที่ตกลงมาตลอดในช่วงนี้ทำให้ถนนนั้นไม่น่าดูเลย
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
เมื่อขับมาใกล้ทางสามแยก ที่เราต้องตัดสินใจไปต่อ รถนำคันหน้าทะเบียน กทม เลี้ยวซ้ายโดยพลัน เราในฐานะผู้มาใหม่จึงดำเนินตามรอยของรถนำ (นำใครก็ไม่รู้) เส้นทางเป็นทางลงเขา (โรงแรมมันอยู่นี่จริงๆเหรอ ) ขับไปขับมาก็ไปถึงด้านล่างของทางแม่น้ำ ซึ่งแน่นอนหลงผิดทางอีกแล้ว จึงกลับรถ และมุ่งหน้าสู่เส้นทางเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่ถึง 200 เมตร ก็มาพบเส้นทางเดิมเมื่อปีที่แล้วที่เราเข้ามาหาที่พัก ซ้ายมือ คือ แซมจังเิกิ้ล ที่พักปีก่อน สำหรับที่พักปีนี้ ขับเลยไป 10 เมตร ปีที่แล้วไหงเราพลาดหว่า
หลังจากเลือกที่พักยังไม่ทันเรียบร้อยดีเท่าไหร่ ฝนก็ตกลงมาอีก ทำใ้ห้ต้องหลบอยู่ในห้องพัก แต่้เนื่องจากในวันนี้ทางเจ้าของบ้าน เค้าเตรียมอาหารสดไว้ให้ แต่จะต้องทำกันเอง ซึ่งตอนนั้น ลุงดม พี่ิจิ๋ว และพี่สมภพกับเพื่อนๆ กำลังทำกันอยู่เลยลงไปช่วยจับโน้นจับนี่ให้ แต่ขอบอกตอนนั้นหิวข้าวมาก และตัดสินใจพลาดที่ไม่ไปเยี่ยมร้านอาหารเดิมที่ปีที่แล้วไปอุดหนุนมา
หลังจากทานข้าวทานปลาเสร็จ ส่วนใหญ่ก็ยังนั่งคุยกันต่อไป ซึ่งข้าพเจ้าด้วยความเกรงใจ กอปกับฝนตกไม่รู้จะทำอะไร จึงนั่งฟัง พี่ๆ ในกลุ่มคุยกัน จริงบ้าง โม้บ้าง เกทับกันบ้าง จากความรู้สึก ซึ่งเมื่อดูเวลาอีกทีที่ข้อมือ ก็รู้ว่าถึงเวลาแยกย้าย เพราะพรุ่งนี้มีภาระิกิจที่ต้องทำอีก
เช้าวันอาทิตย์ เวลา ตี 4 เป็นเวลาที่ข้าพเจ้าตื่นอย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านั้นตื่นเป็นระยะๆ เนื่องจากถูกแมลง กระเซ้า ทั้งคืน ตื่นเป็นระยะ ๆ จนต้องทำใจ
การเดินทางออกมุ่งหน้าสู่สนามแข่งขัน โดยรถบอย ที่เริ่มขึ้น ซึ่งระหว่างทาง หน้า แซมจังเกิล ก็มีสาวฝรั่งสองคน ขอโบกรถ ติดมาวิ่งด้วย ซึ่งพี่จิ๋ว ก็ได้สัมภาษณ์เป็นที่เรียบร้อย ทำให้รู้ว่ามาจาก อเมริกา ตอนนี้อยู่ที่ กทม ชอบอากาศที่นี่เลยมาวิ่ง ซึ่งพี่จิ๋วก็ได้ชวนไปสมุยด้วยกันแต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะว่าตอนนั้นจะต้องกลับประเทศแล้ว
เหมือนเดิมเส้นทาง ขรุขระ นั่งแล้วปวดหัว เมื่อมาถึงก็ต้องมาปวดหัวอีก เพราะปีที่แล้วจอดรถได้ตรงที่เราจอด แต่ปีนี้ เจ้าหน้าที่ไม่ให้จอด อ้างว่าเป็นเส้นทางที่คนอื่นต้องขับผ่าน (ป๊าดโธ่ ผมมานั่งดูตอนวิ่งเสร็จไม่มีรถ หรือ หมาสักตัว ผ่าน)
สำหรับเส้นทางวันนี้ เป็นเส้นทางเดียวกับปีก่อน บรรยากาศตอนเช้าของวันแข่งขัน นั้นเป็นไปด้วย นักวิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่พร้อมจะมาลองกับบรรยากาศที่นี่ มีฝนตกพรำๆ ลงมาเล็กน้อย เหมือนกับ น้ำมนต์ชโลมให้กำลังใจให้กับนักวิ่ง งานวันนี้ มีชมรม ที่เป็นทีมธนาคาร มากันมากมายเป็นพิเศษ ซึ่งดูคึกคักมีสีสรรมาก
กำหนดการปล่อยตัวตามเวลาที่แจ้งไว้คือเวลา 6:00 นาฬิกา ซึ่งการปล่อยตัวจริงนั้นล่าช้าออกไปเนื่องจากทางผู้จัดแจ้งว่านักวิ่ง ยังเข้ามาไม่ถึงบริเวณงานอีกหลายท่าน จึงขอเลื่อนเวลาออกไป พิธีการเปิดงานมีเล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ไม่ให้ดูน่าเบื่อ บริเวณปล่อยตัว มีจุดรับฝากของ และจุดให้บริการน้ำดื่ม ให้นักวิ่งก่อนวิ่ง พอฟ้าสาง พิธีการเสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาการปล่อยตัว
เสียงแตรดังขึ้น นักวิ่ง 10 กม และ 21 กม ถูกปล่อยตัวออกไปพร้อมกัน ทั้งนักวิ่งเพื่อการแข่งขัน นักวิ่งเพื่อสุขภาพ ได้เริ่มขยับร่างกายผ่านจุดเช็คพอยต์ เสียงดังสนั่น เมื่อนักวิ่ง วิ่งออกจากโรงแรมมุ่งสู่ถนนหลวง สาย 323 ในช่วงแรกเป็นการปิดถนนโดยสิ้นเชิง เพื่อให้นักวิ่ง วิ่งกันอย่างสะดวก
จากอาการเจ็บที่มีมาและยังไม่หาย ทำให้ปีนี้ลงรายการครึ่งมาราธอนน้อยมาก ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีโอกาสได้ลงระยะนี้ แต่การกลัวว่าจะวิ่งไม่ถึงเพราะ ตลอดเวลาการซ้อมก็ซ้อมด้วยระยะน้อยมากไม่เกิน 10 กม เลย ทำให้การวิ่งในครั้งนี้ ต้องวางแผนวิ่งเบาก่อนในระยะ 10 กม แล้วค่อยวัดใจกันอีกทีที่ 11 กม ที่เหลือ
ตลอดเส้นทางการวิ่งงานนี้ ข้าพเจ้าได้ เช็ค จุดป้ายบอกระยะทาง กับระยะทางจริงที่จับจากนาฬิกา พบว่า กม 1 - กม 7 นั้นการวางป้ายบอกระยะทาง ค่อนข้างผิด ทุกจุด ซึ่งทำให้การประเมินของนักวิ่งอาจผิดพลาดไปได้ แต่เมื่อถึง กม 8 จนถึง กม 15 ระยะทางกลับมาถูกต้องแม่นยำ
สำหรับจุดให้น้ำ ให้ทุก 2.5 กม มีการวางโต๊ะสองโต๊ะให้บริการนักวิ่ง ซึ่งจากนักวิ่งที่จำนวนพอดีทำให้การวางโต๊ะเท่านี้เพียงพอ น้ำทุกจุดมีเพียงพอ ไม่มีเสียงบ่นเรื่องน้ำขาด หลังจากเริ่มวิ่งไปได้สักพัก ก็เริ่มมีการเปิดช่องจราจร เนื่องจากเป็นถนนสายหลัก คงไม่สามารถปิดถนนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็อยู่ในระดับที่ น่าพอใจ
แต่เมื่อถึงระยะที่ กม 16 ก็เริ่มผิดเพี้ยนไปอีก ซึ่งควรจะปรับปรุงให้แม่นยำในภาพรวมให้มากกว่านี้ (ซึ่งแปลกใจมาก เพราะโดยปกติ ออแกไนซ์ เจ้านี้ จะเป็นเจ้าที่ค่อนข้างแม่นเรื่องระยะที่แสดงของป้ายบอกระยะมาก) ซึ่งหลายคนที่เป็นนักวิ่งหน้าใหม่ อาจจะสงสัยว่าจะอะไรกันหนักหนา ระยะทางผิด ป้ายวางผิดจะซีเรียสทำไม แต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่า การที่ป้ายบอกระยะทางถูกต้อง จะทำให้การประเมินร่างกายตนเอง กับความเหนื่อยที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้อง ถ้าป้ายผิดจะทำให้เราประเมินตัวเองผิด ไม่รู้ว่าการวิ่งเกินความสามารถไปหรือไม่ เพราะถ้าเราวิ่งอัตราที่เร็วเกินไป อาจจะทำให้การวิ่งนั้นไม่สนุกได้ครับ
ตลอดเส้นทางการวิ่งไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เจอเพื่อนในกลุ่มสถาวรแม้แต่คนเดียว หรือแม้กระทั่งบอย หรือว่านี่เราวิ่งช้่าไปจริงๆ ซึ่งดูค่าเฉลี่ยที่ 10 กม แรกนี่ 6 นาทีกว่า ๆ ต่อ กม มิน่าไม่เจอใครเลย ต้องมาอาศัยเห็นช่วงกลับตัวอีกล่ะ ซึ่งแน่นอน ห่างจากบอยดูคร่าวๆ น่าจะ กม กว่าๆ ซึ่งบอยวิ่งอยู่กับพี่วิเชียร ห่างจากป้อม ประมาณ หนึ่ง กม.
พูดถึงป้อม ช่วงนี้ไม่รู้ว่าป้อมแรง หรือข้าพเจ้าห่วย ต้องรอเจ้าตัวมาเฉลย เพราะว่าสามงานติดแล้วที่ข้าพเจ้าวิ่งเข้าที่หลังป้อม ขอให้เป็นเหตุผลแรกนะครับ เพราะคงเป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สถิติดีขึ้น
สำหรับงานนี้ระยะทางมินิ ข้าพเจ้าก็สู้ไม่ได้อีกแล้ว วันนี้ โจทย์และโจทก์ เยอะมาก
โจทย์แรก คิดว่าผ่านแล้ว กับการกลัวหมดแรงกับระยะ ฮาล์ฟ เพราะประเมินกำลังจาก 10 โลแรกแล้วยังเหลือ
โจทย์ที่ 2 จะวิ่ง NS ได้หรือไม่วันนี้
โจทย์ที่ 3 / โจทก์ ที่ 1 จะพอแซงป้อมคืน ก่อนวิ่งครบได้หรือไม่
โจทย์ที่ 4 / โจทก์ ที่ 2 จะโดนย้ำแค้นที่สนามนี้เหมือนปีที่แล้วหรือป่าวที่แพ้ไปสามสิบวิ กับ บอย
เมื่อกลับตัว เช็ิคชิพ เรียบร้อย การเปลี่ยนจังหวะการวิ่งเกิดขึ้นทันที เพื่อบรรลุตามเป้าหมายด้านบน การเปลี่ยนจังหวะจาก Pace 6 มาเป็น Pace 5 ทำให้วิ่งมันส์ขึ้น แต่ต้องแรกกับความเหนื่อยที่เพิ่มขึ้น เครื่องอาจอืดเวลาเกินไปบ้างเมื่อขึ้นเขา และชดเชยด้วยเวลาที่เร็วขึ้นเมื่อลงเขา พยายามเร่งๆ ๆๆๆ จนทันจนได้ครับ กับโจทย์ที่ 3 ซึ่งกำลังจะถูกสลัดจากหัวลากคู่ใจ พยายามรักษาจังหวะการวิ่งเดิม เพื่อเป้าหมายที่ 2 ซึ่งพยายามมองไปไกล ๆ ก็มองไม่เห็น เนื่องจากข้าพเจ้าสายตาสั้น เร่งๆ จนรู้สึกเริ่มจะท้อ เพราะไม่เจอสักที เมื่อผ่าน กม ที่ 19 อีกสองกิโล จะจบภาระกิจ ตอนนี้แหละที่อารมณ์เมื่อปีก่อนกลับมาเหมือนเดิมเลย เป็นทางขึ้นเนิน ที่รู้สึกทำให้ท้อใจ วิ่งเท่าไหร่ ก็วิ่งไม่ไป จำได้ว่าปีก่อน ถ้าเรากระชากเนินนี้ได้ และวิ่งตามชมรมเมืองไทยไป ก็จะวิ่งแซงบอยได้
ครั้งนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น ถ้ารักษาความเร็วที่ระดับ 4:50 อย่างที่วิ่งได้เมื่อ กมที่ 17-19 อาจจะมีความหวังที่จะไล่ทัน แต่สมองกับเท้าสั่งการกันคนละอย่าง สมองสู้ แต่เท้าและท้องไม่สู้ การก้าวแต่ละก้าวตอนนี้มีความรู้สึกเจ็บขึ้นมาจากอาการรองช้ำ ทุกฝีเก้า ที่วางไป เหมือนมีเข็มปักทุกครั้ง การวิ่งในอัตราที่เร็ว(นิยามคำว่าเร็วสำหรับข้าพเจ้าคือ วิ่งต่ำกว่า 5 นาที ต่อ กม) ทำให้จะเกิดอาการอาเจียน ออกมา
ในเมื่อส่วนรวมของร่างกายปฏิเสธการต่อสู้เยี่ยงนี้ สมองจึงต้องยอม เพราะเราเป็นประชาธิปไตย จึงผ่อนความเร็วลง 30 วินาที ตลอดเส้นทาง 2 กม ที่ขึ้นเนิน และเมื่อเข้าเส้นชัย ต้องร้องว่า "กรูแพ้ใจตัวเองอีกแล้ว" เพราะบอยอยู่ข้างหน้านิดเดียว ตั้ง 2 นาที แนะ 555+
ไช้ 14 VS บอย 22
ระยะทาง 21.32 กม เวลาจากชิพ
ไช้ ใช้เวลา 1:58:54
บอย ใช้เวลา 1:57:01
ไช้
16 กันยายน 2012
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555
Race 102 EGAT Mini Marathon
Race 102 EGAT Mini Marathon
งานวิ่งขึ้นตึก กฟผ ปีที่แล้วประกาศว่าอาจจะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้ขึ้นตึก เพราะภายในจะมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำให้ปีก่อนต้องรีบไปวิ่งเพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์สำหรับตัวเองมาปีนี้ ถือเป็นที่น่ายินดีที่ยังมีรายการแบบนี้อยู่ จึงไม่พลาดโอกาสที่จะมาร่วมสนุกที่นี่ด้วยอีก บาดแผลจากปีก่อน ปีนี้มาด้วยความหวังที่จะมาเอาคืน กับการเป็นหนึ่งใน 50 ท่านแรกที่เข้าเส้นชัย
สำหรับเส้นทางในการมาสนามวิ่ง เนื่องจากถนนจรัลสนิทวงค์เกือบทั้งสายอยู่ในระหว่างการปรับปรุงเพื่อก่อสร้างรถไฟฟ้า จึงทำให้ช่องการจราจรไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่เนื่องจากเป็นช่วงเช้าจึงทำให้สามารถขับมาได้เรื่อยๆ
เมื่อมาถึงตรงแยกเข้าบางกรวย สิ่งแรกที่ประัทับใจเลยก็คือ การประดับประดา ด้วยไฟ สีน้ำเงิน ระหว่างทางเข้าบริเวณงานเหมือนเช่นเคย ดูยิ่งใหญ่มาก เมื่อขับรถเข้าบริเวณงาน ก็ไปจอดรถที่บริเวณที่ทางสถานที่จัดการให้ (ตรงนี้มีข้อเสนอแนะไปยังผู้จัดหน่อยนึง ตอนที่ผมไป ไม่มีเจ้าหน้าที่บอกให้เลี้ยวซ้ายไปลานจอด ดีที่ว่าจำได้จากปีก่อนว่าไปจอดตรงนั้น)
สถานที่จอดรถกว้างขวาง และเพียงพอต่อจำนวนนักวิ่งที่เข้ามาร่วมงาน เมื่อลงจากรถได้พบสิ่งที่หน้าประหลาดใจมาก คือ วันนี้ มีอากาศเย็น สบายมาก เลยไม่แน่ใจว่าเป็นทุกที่ทั่วกรุง หรือว่าเป็นเฉพาะที่นี่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อเดินไปถึงบริเวณจัดงาน เจ้าหน้าที่ กำลังดำเนินการอย่างแข็งขัน ข้าพเจ้าจึงเข้าไปสมัครวิ่ง ในห้องที่ทางงานจัดไว้ให้ ในบรรยากาศติดแอร์ ซึ่งก็ต้องเขียนใบสมัคร และเลือกรับกระเป๋า หรือกระเป๋าใส่รองเท้า ตามแต่ใจที่นักวิ่งอยากได้
บริเวณจุดฝากของ อยู่ติดกับบริเวณจุดรับสมัคร ดูรัดกุมและปลอดภัย มีการแจกหมายเลขเคลือบพลาสติกให้กับนักวิ่งเมื่อฝากของ (แต่เมื่อตอนรับของดูวุ่นวายนิดหน่อย เพราะเจ้าหน้าที่หากระเป๋าช้า เลยไม่แน่ใจว่า มีการเรียงหมายเลขในการจัดเก็บของอย่างไร อาจต้องปรับปรุงอีกหน่อยครับ)
กลับมาที่สนามวิ่ง การปล่อยตัวของที่นี่ งานนักวิ่ง ย่อมรู้ใจนักวิ่ง พิธีการไม่เยิ่นเหยอ เป็นไปตามเวลา
บริเวณจุดสตารท์มีการตั้งซุ่มน้ำ ให้นักวิ่ง ได้จิบก่อนออกวิ่ง (เยี่ยมครับ)
สำหรับเส้นทางวิ่ง ยังเป็นเส้นทางเดิม แต่ถ้าจำไม่ผิดจำนวนชั้นที่วิ่งในตึกเพิ่มขึ้นหลายชั้น ต้องรอพี่พี่มายืนยันอีกครั้ง
สำหรับการปิดถนน บอกได้เลยว่ายอดเยี่ยมครับ ขณะวิ่งทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัย สามารถวิ่งได้ตามสปีดที่ต้องการ การวิ่งข้ามสะพานพระราม 7 ทั้งไปและกลับ สามารถปิดการจราจรได้สมบูรณ์แบบ
จุดให้น้ำจุดแรกอยู่ที่ 2.5 กม การตั้งโต๊ะมี 2 โต๊ะ แต่เนื่องจากไม่มีการแข่งขัน และเจ้าหน้าที่เตรียมน้ำทัน จึงไม่น่าเกิดปัญหาขึ้น สำหรับเรื่องน้ำไม่พอ ไม่ได้ยินเสียงบ่นเลยแม้แต่เสียงเดียว แสดงว่า แนวหน้า แนวกลาง แนวหลัง ได้รับน้ำครบถ้วน
จุดที่สอง ถ้าจำไม่ผิด อยู่ที่ 5.3 กม กว่าๆ จุดที่สาม 7 โลกว่าๆ
เมื่อกลับเข้ามาสู่บริเวณจัดงานก็ต้องวิ่งขึ้นตึก จำนวนสองตึก ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของงานเลย ใครถนัดทางเรียบ มาเจอทางขึ้นเนินแบบนี้ ก็มีการขับเคี่ยวกันบนเส้นทางบนตึกอย่างเมามันส์ ทั้งสองตึก
เมื่อวิ่งลงตึกมา ก็วิ่งอีกประมาณ 600 เมตร ก็ถึงเส้นชัย
เมื่อถึงก็มีเจ้าหน้าที่แจกเหรียญ และสลากรางวัล เพื่อไปลุ้นรางวัลในบริเวณจัดงาน
เท่าที่ ข้าพเจ้า จำได้ เบอร์ 1 ได้ รถเข็นกระเป๋า เบอร์ 2 ได้เก้าอี้ไม้เท้า เบอร์ 3 ได้หม้อหุงข้าว เบอร์ 6 ได้ของชำร่วย
บรรยากาศหลังเส้นชัย เต็มไปด้วยมิตรภาพในหมู่นักวิ่ง ยิ้มแย้ม สนุกสนานมาก บรรดาเหล่าแฟนซี ที่เป็นสีสรรของงาน มีมากมายจริงๆ
อาหารที่ทางเจ้าภาพนำมาจัด ที่เป็นไฮไลท์ คือ ข้าวกล้องไข่เจียว อร่อยสมชื่อ นอกจากนี้ยังมี บากูเต ของจิมรันนิ่ง ถั่วเขียวต้ม จากสวนพฤกษ์ 99 ข้าวต้มจากบางขุนเทียน และอื่นๆ อีกเนื่องจากแอดมินมีธุระต่อต้องรีบกลับเลยไม่ได้เดินดูให้ทั่วถึง ขออภัยที่อาจจะกล่าวขาดท่านใดไปบ้าง
ซึ่งปีนี้ ต่างกับปีก่อนนิดนึง คือปีที่แล้วมีให้เลือกอีกระยะคือ ไม่มีขึ้นตึก ซึ่งมุมมองของข้าพเจ้า ว่าถ้าเป็นนัิกวิ่งใหม่ๆ มักจะกลัวการขึ้นเนินสูง น่าจะมีทางเลือกให้สำหรับคนที่ไม่อยากขึ้นตึกด้วยนะครับ (แต่ที่ทางงานตัดไปอาจเกิดจากการจัดการที่อาจยุ่งยากก็เป็นไปได้ ถ้ามีการแบ่งสองประเภทในงาน)
นี่คือสิ่งที่เกิดหลังวิ่ง ที่นี่เรามาดูในระหว่างการแข่งขันกันบ้าง
หลังสิ้นเสียงสตาร์ท จุดกลับที่สอง อยู่ที่ประตูทางเข้า หลังจากไปกลับในจุดแรกเรียบร้อย ซึ่งเป็นทางเช่นเดียวกับปีก่อน ซึ่งเหมือนเช่นเคย บอย สับหนีไปไกล ห่างจากข้าพเจ้าประมาณ 200 เมตร เมื่อข้าพเจ้าถึงจุดกลับตัวแรก ซึ่งในช่วงแรกวิ่งไปกับพี่จุ่ง ซึ่งแกไม่ได้พกเทคโนโลยีใดๆ จึงถามเวลาและระยทางกับข้าพเจ้า ซึ่งพอได้ความ แกจึงเร่งหนีหายไปในกลีบเมฆ เป็นคนแรก ซึ่งวันนี้รู้สึกถึงความฟิตของตัวเองมาก เพราะไม่ว่าจะวิ่งจังหวะไหน ก็รู้สึกว่าตัวเองเหลือ
โจทย์เก่า อยู่ข้างหลัง อิอิ |
ในใจคิดว่าจะต้องฉีกในช่วงทางราบให้ไกลที่สุด เพราะถ้าไปถึงจุดวิ่งบนอาคาร ความแข็งแกร่ง ของเราสู้บอยไม่ได้แน่นอน เพราะปกติ บอยจะใช้ทางจอดรถของโรงพยาบาล วิ่งซ้อมขึ้นลงอยู่เป็นประจำ
จนถึงจังหวะที่ลงสะพานขากลับ ได้รับสัญญาณจากพี่รุจน์ ว่าบอยตามมาข้างหลัง ข้าพเจ้ารู้ดีเลยว่าบอยพยายามตามขึ้นมาให้ทัน ข้าพเจ้าจึงกดเต็มที่ในช่วง กม ที่ 6 ช่วงลงสะพาน เพื่อรักษาระยะห่างให้มากกว่าเดิม
และปล่อยจังหวะไหลไป กระทั่ง กม ที่ 8 รู้ว่าระยะห่างประมาณ 400 เมตร ซึ่งมันคงถูกลดลงเมื่อก้าวเท้าขึ้นตึก ซึ่งระยะทางบนตึกปีนี้ เป็นเส้นทางที่ไม่เท่าเดิม การวิ่งของข้าพเจ้าในการขึ้นและลงตึก งัดเทคนิคทุกอย่างออกมาวิ่งทั้งหมด ในระหว่างที่มัวระวังแต่บอย ในช่วงทางลงจากจุดสูงสุดของตึกที่สอง กับโดยพี่ทศ จากชมรมสยามรันเนอร์ ใส่แล้วเเซงในจังหวะลง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ยอมไม่ได้ จึงเร่งตามไปอย่างกระชั้นชิด แต่ไม่ออกแรงจนเกินไป เพราะตั้งใจจะเอาไว้ใส่คืนช่วงทางราบ เพราะทางลงแบบนี้ มีโอกาสเสี่ยงที่จะบาดเจ็บมาก
ซึ่งเมื่อสิ้นสุดการลงตึก เส้นทางให้หักเลี้ยวขวา บริเวณทางลง สายตาอินทรีย์ ที่จ้องตะครุบเหยื่อที่ห่างออกไป ร่วม 10 เมตร สปิ้นทันที งัด จังหวะวิ่ง 400 ที่เคยซ้อมใช้เวลา 1.20 ออกมา
ถามว่าทำไมต้อง วิ่งจังหวะ 400 หลายคนที่ไม่เคยมีโปรแกรมซ้อม ยังไม่รู้ว่าโปรแกรมนั้นสร้างอะไรให้กับวิ่งบ้าง ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องละเอียดที่ต้องคุยกันอีกที
วิ่ง 400 เมตรนี้ มาจาก การวิ่งมาสำรวจทางก่อนวิ่ง โดยเช็คแล้วจากระยะเส้นชัยกลับมาตรงนี้ อยู่ที่ประมาณ 380 เมตร ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงงัดโปรแกรมนี้ขึ้นมาใส่เพื่อดวลกันแบบให้เห็นดำเห็นแดงไปเลยกับเป้าหมายใหม่ที่ไม่ได้ตั้งใจดวล
ซึ่งหลังจากสปีดขึ้นมา สามารถแซงได้ตั้งแต่ 100 เมตรแรก แต่ข้าพเจ้ายังไม่หยุด ยังคงเร่งๆ ๆๆๆ เพื่อไม่ให้คนที่ตามมาได้ใจว่าไล่ได้ เรียกว่า ถ้าจะฆ่า ต้องฆ่ากันให้ตาย อย่าให้ได้ลุกขึ้นมาสู้อีก
หลังเข้าเส้นชัย ก็ได้รับเหรียญพร้อมกับลุ้นว่า ได้อันดับที่เท่าไหร่ ซึ่งปรากฏว่าทำอันดับได้ดีกว่าปีก่อน ปีนี้ สามารถวิ่งเข้ามาได้อันดับที่ 39 โอ้เยสสสสสสส
ทั้งชนะ ทั้งสะใจ เสียดายที่ระยะทาง GPS งานนี้ไม่แม่นเพราะวิ่งขึ้นตึก ไม่งั้นอาจมีลุ้น New PB ซะด้วย
ต้องขอบคุณพี่ทศ ที่มาวิ่งให้ไล่ ไม่งั้นอาจจะโดนบอยเก็บได้แน่ๆ
10.09 กม.
ไช้ ใช้เวลา 48.12 นาที
บอย ใช้เวลา 49.10 นาที
ไช้ 14 บอย 21
วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Race 101 Olympic Day 2012
Race 101 Olympic Day 2012
งานนี้ไม่มีอะไรจะเอื้อนเอ่ย เพราะพูดไปก็เท่านั้น ไปวิ่งกันเฉยๆ ดีกว่า ท่ามกลางมหาชนที่คับขั่งไปเต็มถนน กับการเริ่มวิ่งที่เวลา 7.20 นาที โอ้ว อยากจะบอกว่าวอร์ม ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง จนหมดก็อก
วันนี้ขออินดี้ สักวัน
ระยะจริง 8.53 กม
ใช้เวลา 46.22 นาที
งานนี้ไม่มีอะไรจะเอื้อนเอ่ย เพราะพูดไปก็เท่านั้น ไปวิ่งกันเฉยๆ ดีกว่า ท่ามกลางมหาชนที่คับขั่งไปเต็มถนน กับการเริ่มวิ่งที่เวลา 7.20 นาที โอ้ว อยากจะบอกว่าวอร์ม ตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง จนหมดก็อก
วันนี้ขออินดี้ สักวัน
ระยะจริง 8.53 กม
ใช้เวลา 46.22 นาที
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555
Race 100 Bangkok post
Race 100 Bangkok post
วันนี้ได้มีโอกาส มาวิ่งที่งาน บางกอกโพสต์ เป็นครั้งแรก ซึ่งปีนี้ได้ อเมซิ่งฟิวด์ มาเป็นผู้ดำเนินการจัดการแข่งขัน โดยระยะที่ทำการแข่งบัน มี 10K 4.5K และ 3K วันนี้มาแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะเมื่อวานเพิ่งไปวิ่งมา ลังเลอยู่หลายเพลา เพราะงานนี้ต้องสมัครล่วงหน้าครั้นจะให้ออกจากบ้านมาใหม่ก็ขี้เกียจออกมา
ได้แต่พร่ำเพ้อพรรณา ถึงความอยากของตัวเอง บนโซเี่ชี่ยลมีเดีย อยู่พักใหญ่ ก็ได้รับอนิสงค์จากพี่ชายใจดี โทรมาหาและแจ้งว่ากำลังจะไปแถวนั้น ถ้าจะไปวิ่งจะสมัครให้ มีหรือที่ข้าพเจ้าจะปฏิเสธน้ำใจดีดีแบบนี้ ขอบคุณพี่กิ๊บมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สำหรับระยะ 10K มีการใช้ชิฟ จับเวลา และต้องการสมัครล่วงหน้า ก่อน หนึ่งวัน สำหรับระยะอื่น สามารถสมัครได้ที่หน้างาน ข้าพเจ้ามาถึงงานเวลา 5:10 ก็เดินเข้าไปที่บริเวณจัดงาน อยู่ตรง โรงแรมเซ็นทารา ซึ่งมีการตั้งซ้มลม ซุ้มปล่อยตัว มากถึง 3 ซุ้ม
วันนี้จากการเดินสังเกต บริเวณงานโดยรอบ เต็มไปด้วยนักวิ่งหน้าใหม่ บางคนก็มากันเป็นทีมบริษัท บางคนก็มาเป็นคู่ มีชาวต่างชาติเยอะพอสมควร รวมถึงนักวิ่งหน้าใหม่ ๆ เท่าที่สังเกตว่ามาวิ่ง 5 KM กันเยอะ วันนี้ ก็ได้พบตากล้องที่มาเก็บภาพในงาน เช่น ดาบทอง จากบางขุนเทียน พีวัฒนาจากรัชมังคลา และพี่กบ พี่น้อง จาก แพทรันนิ่ง งานนี้ไม่มีการถ่ายภาพหน้าเส้นชัย และให้จองรูปในงานดังที่เคยเจอบ่อยๆ
สำหรับห้องน้ำ ไม่แน่ใจว่ามีรถสุขามาหรือป่าว เพราะข้าพเจ้า หนีไปเข้าห้องน้ำในโรงแรมแทน
หลังจากยืนรอพักใหญ่ กับการรับเสื้อกับพี่กิ๊บ ก็เกือบถึงเวลาปล่อยตัวแล้ว เพราะข้าพเ้จ้าสื่อสารสถานที่ไม่ดี ต่างคนต่างรอ ดีนะที่ตัดสินใจเดินเข้างานเพื่อหา ไม่งั้นอาจไม่มีเบอร์วิ่งติดก็เป็นได้ เมื่อติดเบอร์เรียบร้อยแล้ว จึงเดินหาซุ้มสำหรับการฝากของ
งานนี้ มีการแบ่งระยะการรับฝากของตามระยะทางของนักวิ่ง โดยแยก เป็นจุด 10KM 4.5KM และ เดิน 3KM ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทางผู้จัดทำอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการแยกประเภท ทำให้รับของคืนได้เร็วและสะดวกขึ้น บริเวณเวทีจัดงาน เนื่องจากสถานที่คับแคบไปนิด ทำไห้เกิดความไม่สะดวกที่นักวิ่งจะต้องเดินผ่านทางจากจุด รับฝากของไปเข้าที่จุดสตารท์ โดยบริเวณนั้นมีทางเดินอยู่นิดเดียว ทำให้เดินสะดุดกันไปหลายรายเลยทีเดียว แต่ผิดหวัง กับเสื้อ รู้สึกว่าไม่มีคุณภาพเลย เหมือนเผางานออกมา
การปล่อยตัว เป็นไปตามเวลาที่กำหนด ซึ่งออกสตารท์จากข้างโรงแรม แล้วเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่แยกราชประสงค์ และเลี้ยวขวา มุ่งหน้าสู่ถนนสีลม โดยการปิดการจราจรในส่วนนี้ ทำได้ดี ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่านักวิ่ง ยืดเลนถนน ทุกเลนไว้ทั้งหมด โดยปิดการจราจรทั้งถนนไว้ จนถึงแยกบริเวณ สวนลุมตัดกับสีลม จึงมีการคืนช่องจราจรให้ กับรถที่ใช้ถนนกันอย่างปกติ
สำหรับป้ายบอกระยะทางนั้นค่อนข้างวางได้ใกล้เคียง ต่างกันไม่เกิน 50 เมตร ต่อจุด ซึ่งทำให้นักวิ่งสามารถ ประเมินความเร็วของตนเองได้ อย่างแม่นยำมากขึ้น เมื่อวิ่งมาถึงถนนสีลม เส้นทาง ก็ให้วิ่งเลี้ยวซ้ายผ่านถนนคอนแวนต์ ณ จุดนี้ นักวิ่งยังยืดถนนทุกเลน ในการวิ่งอยู่ จนกระทั่งเลี้ยวซ้ายออกสู่ถนนสาทร จึงได้มีการคืนเลนจราจรให้กับรถปกติ
สำหรับเส้นทางวิ่งบนถนนสาทรนี้ นักวิ่ง วิ่งชิดซ้าย ตลอดเส้นทาง 1 ช่องจราจร แต่ไม่มีกรวย หรือเจ้าหน้าที่มากนัก ในการกำกับดูแลเส้นทาง ซึ่งนักวิ่งต้องดูแลและเตือนกันเอง ในเรื่องรถที่ขับเข้ามา มีการกระโดดบังเลน ขวางเลนรถ เพื่อนในนักวิ่งท่านอื่นวิ่งได้ในบางครั้ง
จุดให้น้ำทุกจุดของงานนี้ ต่อหนึ่งจุด มีการจัดโต๊ะ ไว้ 4 โต๊ะเรียงกันไป จะได้ไม่รุม สำหรับให้บริการน้ำวิ่ง ซึ่งในจุดที่ 3 ได้มีเกลือแร่ด้วย เมื่อวิ่งสุดถนนสาทร ก็วิ่งตรงผ่านแยก วิ่งขนานกับสวนลุม โดยใช้เส้นทางถนนวิทยุ วิ่งไปจนสุดที่ถนน และเลี้ยว ซ้าย เพื่อมุ่งหน้าไปที่ถนนเพชรบุรี
ในจุดนี้เอง ถือว่าเป็นจุดที่ด้อยที่สุดในเรื่องการจราจรที่ข้าพเจ้าพบด้วยตัวเอง เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ กั้นรถที่มาจากทางตรงเลย นักวิ่งต้องวิ่งคู่กันไปกับรถ ซึ่งค่อนข้างอันตรายพอสมควร ซึ่งเมื่อวิ่งมาถึง แยก บริเวณธนาคารไทยพาณิชย์ จึงเริ่มจะมีการตั้งกรวย กั้นทาง
ซึ่งจุดนี้น่าจะเป็นจุดร่วมระหว่าง 10KM และ 4.5KM จากนั้นก็วิ่งตรงมาเรื่อยๆ ถึงแยกเพชรบุรีตัดพญาไท จึงเลี้ยวซ้าย และวิ่งข้ามสะพาน และเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เพื่อเข้าสู่ถนนพระราม 1 และวิ่งตามเส้นทางเข้าสู่ บริเวณจัดงาน ซึ่งปัญหาของ ข้าพเจ้าในวันนี้ คือเส้นทางที่วิ่งในวันนี้ นั้นส่วนใหญ่ วิ่งผ่านใต้รางรถไฟฟ้า ประมาณ 30 ของเส้นทางวิ่ง
ซึ่งทำให้ระยะทาง GPS ในแต่ละเครื่องคาดว่าคงจะคลาดเคลื่อนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้โทรศัพท์จับ จะคาดเคลื่อนมาก กว่าปกติ ซึ่งงานนี้ จะบอกว่า ซุ้ม มีเยอะ จน แอดมินมึน ทีแรกว่าจะวิ่งชิว แต่วิ่งไปเกือบถึงเส้นชัย เห็นคุณมอร์ ภรรยาคุณพี่เสี่ยดำ เลยลองไล่เล่นๆ ปรากฏว่าทันเฉยเลย ชนะผู้หญิงอีกแล้วดีใจจุงเบย พอวิ่งผ่านซุ้มแรก เห็นช่างภาพถ่ายภาพอยู่คิดว่าถึงแล้ว กดนาฬิกาหยุดเลย ตอนนั้นได้ที่ระยะ 10.24 กม. ซึ่งมารู้ตัวอีกที ก็ตอนโดนแซว ถึงวิ่งต่อ ซึ่งก็มีระยะทางเพิ่มประมาณ 100 เมตร โดยรวมงานนี้ ระยะน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10.34 กม
ที่เดินไม่ใช่หมด แต่เข้าใจผิด คิดว่าถึงแล้ว จากซุ่มลม |
บรรยากาศหลังเส้นชัย ก็เป็นเหมือนงานทั่วๆ ไป คือมีจุดให้บริการ น้ำดื่ม เกลือแร่ ต่างๆ ที่เข้ามาสนับสนุนงาน โดยผู้จัดการได้จัดอาหารไว้คนละชุดให้กับนักวิ่งทุกท่านที่ติดเบอร์ ภายในถุงก็มี โดนัท เบอร์เกอร์ และน้ำดื่ม
โดยรวมในการจัดงานครั้งนี้ อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ควรปรับปรุง เรื่องการให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยสำหรับนักวิ่ง สำหรับเส้นทางบางจุดเพิ่มขึ้น
สำหรับการวิ่งในเมืองหลวง ที่เราคงไม่สามารถปิดการจราจรได้มากกว่านี้ ถือว่า งานนี้เป็นอีกงานที่หน้ามาเยือน แต่นักวิ่ง อาจจะต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้น แต่ปีหน้าถ้ามีงานอื่น ข้าพเจ้าขอวิ่งที่อื่นดีกว่า 5555+
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)