Race 79 UN2011
ช่วงสิ้นปีแบบนี้ อาชีพนักบัญชีมักจะไม่ได้หยุดพัก หรือสามารถลาพักร้อนได้ เหมือนอาชีพอื่นๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วัฏจักรชีวิตวนเวียนแบบนี้มาตลอด ปีนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากปีก่อนๆ แถมยังมีโปรโมชั่นแถมมากมาย งานประดังเข้ามาอย่างกระหน่ำ โดยไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อย
ทั้งงานใหม่ ที่ยังไม่คุ้นเคย และงานเก่าที่ยังต้องรับผิดชอบ โดยมีเวลาเป็นตัวบีบคั้น
31 ธันวาคม ในขณะที่ชาวบ้าน เค้าเริ่มกลับบ้านต่างจังหวัด บางคนก็ออกทางไปพักผ่อนหย่อนใจทั้งเป็นคู่ หรือว่าทั้งครอบครัว ข้าพเจ้ากลับต้องนั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม และเหล่ากองเอกสาร สารพัด ทั้งใบซ่อมงานของช่างที่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทั้ง Monthly Schedule for Closing ที่แปะอยู่ข้างฉากกั้นที่ยิ่งดู ยิ่งบีบคั้นตัวเอง เพราะทำเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ยิ่งทำยิ่งหดหู่ จนบางครั้ง ต้องมองออกไปนอกกระจกจากชั้น 30 ใจกลางกรุงเทพฯ อยากจะลาออกไปไกลๆ จากที่นี่ซะที แต่ตราบใดที่ภาระกิจยังไม่จบ ข้าพเจ้าก็คงยังไปไหนไม่ได้ เพราะคำว่า "เพื่อน" คำเดียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น โดยสายปลายทาง มีเจตจำนงค์ที่จะให้ข้าพเจ้าไปร่วม พบปะสังสรรค์ ประจำปีกัน กับ สหายกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่คบกันมา มากกว่า 20 ปี แล้ว เรียกว่ายิ่งกว่าญาติ กิน นอน เที่ยว ด้วยกันมาตลอด มีเพียงแต่ตัวข้าพเจ้านี่แหละที่อยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้น น้อยกว่าชาวบ้าน จากภาระการงานที่รุมเร้า
เสียงตอบจากฝั่งนี้ ทำได้เพียง กล่าว "ไม่แน่ใจ ถ้าเสร็จแล้วจะรีบไป แต่ไม่รับปาก" ข้าพเจ้ากล่าวได้เพียงเท่านี้จริงๆ
หลังจากวางสาย ก็พยายามเร่งงานให้เร็วที่สุด แต่จนแล้วจนรอด พิจารณาแล้วยังไงก็ไม่เสร็จ จึงตัดสินใจ ปิดเครื่อง แล้วเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง จากเสียงโทรศัพท์ดังกล่าว
ความทุกข์ หมดไปเมื่อได้พบกับกัลยาณมิตร ต่อจากนั้นก็คือ เวลา กิน กิน และ ก็ กิน เนื่องจากข้าพเจ้าไปเป็นคนสุดท้าย และ คนอื่นก็เริ่มกินกันไปหมดแล้ว ทั้งเสียงเพลง ทั้งบรรยากาศ ทำให้ชีวิตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สองทุ่มเป็นเวลาที่ต่างคน ต่างแยกย้ายกลับบ้่านหลังจากงานเลี้ยงเลิกลา ระหว่างเส้นทางกลับบ้าน ก็นึกถึงงาน UN ที่สนามหลวง ที่กำลังจะจัดในคืนนี้ ที่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ไปวิ่ง ได้แวบเข้ามาในหัวสมอง เบอร์วิ่งที่ซื้อไว้ล่วงหน้า 4 เบอร์ ก่อนงานจะเลื่อน ที่คิดว่าจะไม่ได้ใช้ ก็กลับมามีประโยชน์อีกครั้ง เมื่อคิดได้ดังนั้น จุดมุ่งหมายคือการกลับบ้านไปเปลี่ยนชุด และ พาคนที่บ้านไปงานวิ่งนี้
แน่นอน ย่อมไม่พลาดที่จะโทรหาคู่ปรับ เพื่อชักชวน ให้ออกมาเช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เป็นตัวเราที่ปฏิเสธงานนี้ไป เสียงคู่สนทนาปลายสาย แจ้งว่าไม่สามารถออกมาได้ เพราะเดี่ยวคนที่บ้านจะเคืองเอา ก็เป็นอันว่าเข้าใจ ว่าต้อง ลุยเอง
เมื่อถึงบ้าน เวลา เกือบ 3 ทุ่ม เช็คสมาชิกแล้ว ปรากฏว่า เหลือเพียงคนเดียวที่ยอมไปกับข้าพเจ้า คือ มิงค์ ไม่มีเวลาแล้ว ขึ้นไปหยิบกางเกง รองเท้าใส่หลังรถ ออกเดินทางทันที
ไม่เคยคิดเลยว่าการเดินทางในช่วงวันสิ้นปี รถมันจะติดขนาดนี้ รถติดตั้งแต่ แยกมไหสวรรค์ ยาว ไปถึงราชดำเนิน ซึ่งมาคิดได้ ว่า วันนี้เค้ามีสวดมนต์ข้ามปีกัน คนและรถเลยเยอะมากเป็นพิเศษ ใกล้ 5 ทุ่มแล้ว ข้าพเจ้ายังอยู่บนถนนราชดำเนิน ซึ่งใกล้เวลาในการปล่อยตัวเต็มที่แล้ว
ทางบางเส้นถูกปิดเป็นวันเวย์ บร่ะเจ้า ขับไปขับมาจนมาถึง ม.ศิลปากร เหลือ อีก 20 นาที จะเที่ยงคืน
จอดมันตรงสี่แยกนี่แหละ สุดท้ายข้าพเจ้าจำเป็นต้องปักหัวรถ ไว้เลยสี่แยกไฟแดงไปนิดหน่อย หวังว่าคงไม่โดนจับ
หวังว่าจะรีบจ้ำมาที่งาน หลังเปลี่ยนกางเกงในรถเรียบร้อย เอาอีกแล้ว ไม่หลง ก็ลืม คราวนี้ก็เช่นกันลืมเสื้อวิ่งมา จึงจำเป็นต้องใส่เสื้อแขนยาววิ่งจนได้
เมื่อมาถึงในงาน คนน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะ การเปลี่ยนเวลามาจัดในช่วงนี้ นักวิ่งหนีไปเที่ยวต่างจังหวัดหมด ผู้คนที่ดูเหมือนเยอะ เพราะส่วนใหญ่มาสวดมนต์กัน
ตามกำหนดการเหมือนกับว่าจะปล่อยตัวเที่ยงคืน แต่จนแล้วจนรอด กว่าจะสวดมนต์เรียบร้อย ก็ได้ย้ายฤกษ์ในการปล่อยตัวมาที่ เที่ยงคืนครึ่ง โดยอัตโนมัติ
ก่อนมาวิ่งงานนี้ใฝ่ฝันกับงานวิ่งตอนเที่ยงคืนมาแล้ว อย่างปีก่อนโน้นมีงานที่พระสมุทรเจดีย์ วิ่งตอนเที่ยงคืน ที่อยากจะไปลองวิ่งดู แต่ด้วยพรรษาที่ยังอ่อน และ ต้องทำงานข้ามปี เลยทำให้แห้ววิ่งงานนั้นไป มาปีนี้ กำลังจะได้สัมผัสกับสิ่งที่คาใจมานานกับงานวิ่งกลางคืนก็เกิดขึ้น
เมื่อปล่อยตัว เหล่านักวิ่งเริ่มทยอยออกเดินอย่างช้าๆ พระภิกษุสงฆ์ นั่งตระง่านอยู่บนอาสนะ เพื่อชโลมน้ำมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่นักวิ่งที่มาร่วมกันทำกุศลกันในวันนี้
หลังรับน้ำทิพย์ชโลมใจแล้ว การออกสเต็ปวิ่งก็ได้เกิดขึ้น แต่เป็นไปได้อย่างช้า เพราะด้วยพุทธศาสนิกชน ที่มาร่วมสวดมนต์ กำลังทยอยเดินตัดข้ามถนนกันอยู่เนืองๆ เจ้าหน้าที่ ก็อำนวยความสะดวกไม่ได้เต็มที่เพราะปริมาณคนต่างกันเยอะ
อาจเป็นสิ่งที่แปลกตาแปลกใจสำหรับคนมาสวดมนต์หรือป่าวไม่รู้ เพราะระหว่างทาง ได้รับเสียงเชียร์จากพวกท่านเหล่านั้นอย่างมากมาย จนได้ความรู้สึกเหมือนว่ามาวิ่งแข่งท่ามกลางกองเชียร์เหมือนเป็นแนวหน้าอย่างไรอย่างนั้น
จากสนามหลวง ตัดข้ามมายังถนนราชดำเนิน จุดหมายในการไปกลับตัวอยู่ที่ ลานพระบรมรูปทรงม้า ร. 5 วันนี้ตั้งใจมาจ็อคเล่น พอระบายอาหารที่ทานไปช่วงเย็น แต่ยิ่งจ็อคยิ่งมันส์ แซงนักวิ่งหลายคนที่ไม่เคยแซงได้ ยิ่งคึก (ความจริงเค้ามาจ็อคกันจริงๆ ผมเลยแซงได้) จุดกลับตัวที่ กม ที่ 3 ทำไมรู้สึกเหนื่อย ร้อนมากมาย การวิ่งในช่วงเที่ยงคืน เป็นอย่างนี้เองหรือ
นี่คือสิ่งที่เรารอคอยมา 2 ปี จริงๆ หรือนี่ อากาศมันร้อน ทั้งจากคนที่มากมาย ที่แย่งกันหายใจ จากเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ และจากอากาศในวันนี้ที่ร้อนจริงๆ มันทำให้อยากถอดเสื้อเขวี้ยงทิ้ง แต่ก็กลัวอุจจาด เลยต้องฝืนความรู้สึกพอสมควร พยายามประคอง pace ที่ระดับ 5 นาทีนิดๆ เพราะว่าทราบว่าระยะวันนี้เป็นระยะสั้นๆ จึงสามารถใส่หมดไว้ได้ วิ่งมาจนถึงปลายถนนราชดำเนิน ซึ่งใกล้จะถึงจุดปล่อยตัวแล้ว จึงเร่ง
สปีดขึ้นไปอีก โดยหวังเวลาที่ดี ประเดิมในรอบปี ซึ่งมาเจอพี่รุจน์ตรงนี้ ซึ่งเป็นระยะประชิดตัว ทำให้ไม่สามารถถ่ายรูปด้านหน้าให้ได้ พยายามเร่ง จนเข้าเส้นชัยจนได้ สรุปวันนี้สามารถวิ่งได้ที่ pace 5 กม ต่อ ชั่วโมงได้พอดี
หลังจากวิ่งเสร็จ เข้าเส้นมา เมื่อทานน้ำเรียบร้อยจึงรีบกลับบ้าน เพราะรู้สึกถึงอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัว ระหว่างเดินกลับมาที่รถ เห็นผู้คนมากมายพยายามหารถกลับบ้านกันซึ่ง กลายเป็นตอนนี้ คนต้องการขึ้นรถ มากกว่ารถที่มี การแย่งชิง ก็เกิดขึ้น บางคนทนไม่ไหว ถึงกับเดินกลับบ้านก็ยังมี
ระหว่างขับรถจะกลับบ้าน วนไปวนมา จนงง เพราะถนนปิดเป็นช่วงๆ ตอนแรกว่าจะกลับทางที่มาคือ สะพานพระปกเกล้า สุดท้าย ต้องหนีขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าจนได้ แล้วก็ได้ไปเยี่ยมการสร้างถนนในช่วงดึกๆ อีกแล้ว
อยู่บนรถทบทวน ว่า คงไม่เอาอีกแล้ว กับงานเที่ยงคืน มันไม่ใช่เวลาวิ่งจริงๆ
ภาพจากพี่กบ ภาพเดียวในงาน |
ไช้
ปีใหม่ 2012
ฑฟแำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น