อารัมบท
ความตั้งใจแรก ในการลงวิ่งมาราธอนในครั้งนี้ จะเป็นการทดสอบจริง หลังจากได้ลองประเดิมงานกรุงเทพฯ มาราธอน ตอนปลายปี แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร ไปหมด สืบเนื่องจาก สภาวะการณ์อุทกภัยในเขตกรุงเทพมหานคร ในช่วงนั้น และ ชีวิตในการทำงานที่เปลี่ยนแปลง จากการถูกโยกย้ายหน้าที่และความรับผิดชอบ
หลังจากส่งเสียงโวยวาย ก็จะเข้าเส้นชัยแล้ว |
ซึ่งทำให้การซ้อมยาว ตามตารางที่ อ. สถาวร จัดให้ ถูกยุติการซ้อมยาว อยู่ที่ 32 กม ณ ต้นเดือน ตุลาคม 54 ที่ผ่านมา และในช่วงสภาวะอุทกภัยนั้น สภาวะจิตใจ ที่มุ่งมั่นในการซ้อมมาตลอด 3 เดือน กับงานประจำที่ยุ่งเหยิ งกลับเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย จนกระทั่งเลิกซ้อมในที่สุด
ซึ่งจากเหตุนี้ จึงเกิดเหตุของการทิ้งช่วงของการซ้อมที่มีระยะเวลายาวนาน สิ่งที่ได้เรียนรู้และสะสมมา เหมือนกับว่าจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ แต่ในระหว่างที่ผมเกิดสภาวะถดถอยทางด้านความคิด ก็มีอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เราเกิดแรงที่จะฮึดกลับมาซ้อม ก็คือ พี่ย้ง และ ป้อม ซึ่ง ไม่ว่าสถานการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น ความมุ่งมั่นของทั้งสอง ที่มี ธงปัก ไว้ ถึงแม้ว่าสุดท้าย ธงที่ปักไว้ จะเหลือ พี่ย้ง เพียงคนเดียว ในภายหลัง
ซึ่งสิ่งนี้ เอง ทำให้ผมเริ่มกลับมาซ้อม ถึงแม้จะซ้อมบ้างไม่ซ้อมบ้าง ตามเวลาที่เอื้ออำนวย แต่ก็มีความรู้สึกที่กระหายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่กว่าจะได้สิ่งนี้คืนกลับมา ก็ต้องบิ้วท์ กันหลายรอบ ไปลงสนามแข่ง ทุกอาทิตย์ ตั้งแต่น้ำลด ซึ่งทำให้รู้เลยว่า เวลาที่หยุดไป เป็นการเสียโอกาส โดยแท้ เพราะสภาพความฟิต ความสมบูรณ์ ความรู้สึกในการจับจังหวะหายไปเกือบหมดเกลี้ยง
ตารางการซ้อม ก็ ไม่กล้าโทรไปขอที่อาจารย์ เนื่องจากรู้ตัวดีว่า ยังไม่สามารถเข้าโปรแกรมได้ ถ้าหากยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจขึ้นมาใหม่ให้ได้ ก็เลยตั้งใจใช้สนามแข่งมินิ และ ฮาลฟ์เป็นสนามซ้อมให้เกิดความกระหายที่จะลงมาราธอน พร้อม ปักธง จอมบึง เป็นสนามมาราธอน จริงอีกครั้ง
โดยระหว่างที่เริ่มกลับมาซ้อม เดือนธันวาคม ก็มีแผนการซ้อมยาว โน้นนี่ ที่วางไว้ ตามโครงสร้างเดิมที่อาจารย์ให้ไว้ แต่สุดท้าย ไม่ได้วิ่งสักวัน 5555 เพราะว่าจะต้องตื่นมาซ้อมตอนเช้า ซึ่งพับผ่าซิ เดือนนี้ อากาศหนาวเฉยเลย ทำให้เกิดอาการไม่อยากตื่นซะงั้น สุดท้ายก็มาได้รายการที่ คลองสูบน้ำ ชลหารพิจิตร มาเป็นรายการซ้อมยาวที่สุดก่อนลงมาราธอน คือ 21.59 กม แล้วได้ New PB ด้วย 555
จากนั้นก็ซ้อม กระเตาะกระแตะ มาตลอด 10 โล บ้าง 15 โลบ้าง จนโค๊ช ส่งโปรแกรมมาให้ซ้อมในช่วงสิ้นปี ซึ่งก็ไม่ได้บอกโค๊ชไปว่าจะลงจอมบึง มาราธอน ซึ่งปรากฏว่า ซ้อมตามตารางได้แค่ 1 วัน วันอื่นก็ไม่สามารถซ้อมได้ เพราะติดเรื่องงานที่สิ้นปีจะต้องปิดบัญชี ทำให้ไม่เกิดการซ้อมตามตาราง แต่สิ้นปีก็ยังเสร่อไปวิ่งงาน ยูเอ็นที่สนามหลวงจนได้ รู้ถึงสภาพการหายใจ จังหวะตัวเองที่ยังไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย เลยตั้งใจว่าในช่วงวันหยุดยาวนี้ จะต้องซ้อมให้ต่อเนื่องให้ได้ ไม่งั้น ไปจอมบึง งวดนี้ กลายเป็นหมูถูกเชือดแน่นอน
ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่สามารถ ซ้อมติดต่อกันได้ถึง 4 วันติด คือ วันที่ 1-4 จากนั้นก็ติดเรื่องงานไม่ได้ซ้อมอีกจนได้ จนมาถึงวันที่ 7/1/12 ซึ่งเป็นวันแรกที่กลับไปซ้อมกับโค๊ช เลยบอกว่าจะไปลงมาราธอนที่จอมบึง แกขยับแว่น แล้วเงยหน้ามองผมครั้งนึงแบบอื้งๆ ผมเดาว่า อาจารย์คงคิดในใจ ว่า ไอ้นี่ ไม่รู้คำว่านรกมีจริง ซ้อมก็ไม่ซ้อม ดันอยากจัดหนัก
จากนั้นก็นั่งดูคนอื่นซ้อมกัน ตัวเองก็เขินๆ เดินไปถามอาจารย์ ว่า วันนี้ให้ผมซ้อมอะไรดีครับ (ในใจคิดว่า 200 jog 100 แน่ๆ หวานหมู 555) ปรากฏว่า ความจริง กับความฝัน ห่างกันแค่เส้นยาแดง เพราะว่า โปรแกรมที่ได้คือ 400 jog 200 ซึ่งยังไม่เคยได้รับ อาจารย์บอกว่าถ้าจะไป ลงมาราธอนจริงๆ ก็ให้ซ้อมโปรแกรมนี้ เพราะระยะเวลามันเหลือน้อย ให้ซ้อมยาวหน่อย จะได้......... (จำไม่ได้) สรุปวันนั้นก็ซ้อมตามตารางที่ได้รับ
ขอบอกว่า ถ้าซ้อมเองนะ ผมเลิกไปนานแล้ว เพราะอากาศ ตอน 8-9 โมง มันร้อนมาก แทบจะสุก ซึ่งจากโปรแกรมนี้ ทำให้ผมจับจังหวะตัวเองได้มากขึ้น จังหวะหายใจดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่เป็นเด็กเกเร โดดซ้อม กลับถึงบ้านแทบสลบ เพราะแดดและคอรท์ นึกขึ้นได้ว่าวันรุ่งขึ้นรับปากเพื่อนๆ ว่าจะไปวิ่งที่พันท้าย ด้วยกัน บร่ะแล้ว ผมรู้ได้ในทันทีว่า วิ่งไม่ไหวแน่นอน เพราะความล้าในวันนี้ จึงตั้งใจว่าจะไปเดินพอ จะได้ไม่เสียคำพูดที่รับปากเพื่อนๆไว้
ตอนที่ 2
อาหารเสริมพลัง
พอหลังจากจบงานนี้ ก็เลยตั้งใจว่าจะหยุดซ้อม เพื่อให้ร่างกายสดที่สุด ตามประสาคนซ้อมน้อย ก็เลยหยุดซ้อม (เรื่องจริง งานเยอะ จนไม่มีเวลาซ้อมด้วย) จนแล้วจนรอดไม่แน่ใจตัวเอง กับแนวคิดการวางแผนแบบนี้ เช้าวันศุกร์ก็เลยไปวิ่งจ็อคๆ คลายเส้นสักหน่อย เส้นจะได้ไม่ยืด (เคยได้ยินอาจารย์บอกนักวิ่งแนวหน้า ว่า ก่อนวันวิ่งจริง ให้ไปซ้อม 200 จ็อก 100 ให้กล้ามเนื้อตื่นตัว..... แต่ไม่รู้ว่าจำผิดหรือหูฝาด) ก็เลยลักจำมาใช้ ระหว่างออกไปซ้อมวิ่งรู้สึกติดๆ ขัดๆ ยังไงชอบกล เสียงเพลงที่เปิดขับกล่อมระหว่างวิ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดความสุนทรีย์เลย ระหว่างวิ่งก็คิดอยู่ในใจว่า อาทิตย์นี้ตูจะรอดไม๊เนี้ย แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ในช่วงที่กำลังสับสนอยู่ ฝนจากทวีปไหนก็ไม่รู้ ก็ได้พร่างพรูลงมาฉโลมกาย
ลืมอาการตะคริวกินโดยสิ้นเชิง เมื่อเจอกระบอกข้าวหลาม |
ซึ่งทำให้ต้องเกิดอาการวิ่งหนีฝน เพราะมือถือไม่มีอะไรกัน ซึ่งระหว่างวิ่งหนีนั้นก็ได้เกิดความรู้สึก แปล๊บแปล๊บขึ้นมาที่หัวเข่าขวา ร้านประจำ รู้สึกมันแปล๊บ มันขัด เลยต้องเบาความเร็วลงในที่สุด และเมื่อถึงที่ที่พัก มันก็หยุดตกตาม เอากับมันสิ หลังจากวันนั้น ก็เริ่มหลอน เลยต้องถามหาบทสวด เพื่อให้มีร่างกายรอดปลอดภัย จากการวิ่งครั้งนี้ โวทาเร็นอีมัลเจลเจนขนาดใหญ่ สเปรย์ น้ำแข็ง ถูกขนมา เพื่อใช้ในการนี้ เพื่อให้ร่างกายพร้อมที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็ไม่อยากใส่ที่รัดเข่าวิ่งด้วย เพราะว่ามันเสียลุคส์
เช้าวันที่ 14 ก็ได้เดินทาง ออกจาก กทม ณ เวลา 9.09 น อ่ะไม่ใช่ล้อเล่น 9 โมงกว่าๆ นี่แหละ โดยจุดมุ่งหมายในการเดินทางวันนี้ หาใช่การวิ่งไม่ เพราะตลอดทางคิดไว้ว่า เราจะไปเที่ยวที่ไหนดี ใส่เสื้อหงส์ด้วยวันนี้ สีแดงแปร๊ด (ขืนรอพรุ่งนี้หมดสิทธิไปไหนทั้งนั้น555) สุดท้ายก็ได้ไปเลี้ยงแกะที่สวนผึ้ง จากคำแนะนำของเพื่อนบอย อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อน เหมาะกับการอบซาวน่า เป็นอย่างยิ่ง ก็เป็นบรรยากาศที่สนุกดี มีสาวๆน่ารักหลายคนเดินผ่านไปผ่านมาในงาน จนต้องเหลียวมองตลอดทาง จนลืมเรื่องวิ่งวันพรุ่งนี้ไปเลย ไปเสียตังค์นิดหน่อยกับกิจกรรมงานวัดในนั้น ไม่ว่าจะยิงปืน หรือ ปาลูกเทนนิสพูดถึงปาลูกเทนนิส ถ้าผมเอาลูกเทนนิส ไปเองรับรอง ผมปากระจายแน่ เพราะลูกเทนนิสในงาน มันเบี้ยว ไม่ได้ศูนย์ หลังจากออกจากสวนผึ้งก็เดินทางต่อไปที่ถ้ำจอมพล ซึ่งปรากฏว่าคำนวณเวลาแล้วไม่น่าจะขึ้นลงได้ทัน เพราะปิด 4.30 น แต่เวลา ณ ขณะนั้น มัน 4 โมงตรง แล้วอีกอย่างกลัวเสียของด้วย ความรู้สึกว่าจะต้องวิ่งพรุ่งนี้กลับมาทำทันทีทันใด มองหน้า กับบอย แล้วบอกว่าใครอยากขึ้นมาพรุ่งนี้ล่ะกันนะ วันนี้ไม่ทันจริงๆ (สุดท้ายวันรุ่งขึ้นก็ไม่ได้มาที่ถ้ำนี้)
จากนั้นก็ไปที่สถานที่จัดงาน เพื่อไปรับเบอร์ รับชิพ ก็เกิดภาวะวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย เมื่อเพื่อนหลายคน ชื่อหาย ชื่อตกหล่น สมัครอย่างได้อีกอย่าง ก็เลยเสียเวลายกใหญ่ในการเข้าไปดำเนินการแก้ไข แต่ก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี มาเรื่องอาหารการกินตอนเย็นที่เจ้าภาพจัดให้ ปีนี้ผมว่าเค้าทำกับข้าวเผ็ดมาก ซึ่งทำให้กินไม่ได้ ผ่านไปเรื่องนี้ ไปหาของอย่างอื่นแก้ขัดแทน ซึ่งทุกครั้งที่ผมจะวิ่งมาราธอน ผมจะซัดข้าวเหนียวตลอด ซึ่งไม่รู้อุปทานไปเองหรือป่าว เพราะทำให้ ผมรู้สึกอึดขึ้น
ซึ่งก็ได้นำมาประยุกต์ใช้ในการวิ่งฮาลฟ์ที่เขื่อนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เวลาดีขึ้น มาคราวนี้ เย็นวันศุกร์ผม ก็อัดข้าวเหนียวไปแล้ว 1 ชุด กลางวัน วันเสาร์ ก็อัดไปอีก 1 ชุด เพื่อความมั่นใจ ตอนเย็นวันเสาร์ ผมเลยอัด ข้าวหลามไปอีก 1 กระบอก เพื่อความอึดในวันพรุ่งนี้ (แต่ผมไม่รู้ว่าสูตรนี้จะเอาไปประยุกต์ใช้กับอย่างอื่นได้หรือป่าว 555) จากนั้นก็เข้านอนเพื่อเตรียมตัว ผจญกับสิ่งที่ท้าท้ายอีกครั้ง ในเวลาต่ำกว่า 5 ชมที่ตั้งใจไว้ สถิติครั้งก่อนที่วิ่งมาราธอนครั้งแรกที่นี่ คือ 5:25:23
ตอนที่ 3
วางแผนเฉพาะกิจ
นอนไม่หลับเว้ยเฮ้ย เข้านอนตอน 3 ทุ่มกะว่าวันนี้เพลียจัด หัวถึงหมอนคงหลับเลย แต่ปรากฏว่า วิ้ง ครับ อะไรไม่รู้วิ่งเข้ามาในหัวสมองเต็มไปหมด ข่มตาเท่าไหร่ ก็เอาไม่ลง เอาว่ะ ระหว่างนอนไม่ได้ ขอวางแผนการณ์พิฆาต ขั้นสุดท้าย พรุ่งนี้ดีกว่า นึกถึงพี่ย้งเป็นคนแรก เลย เป้าหมาแก 4:20 ที่จะวิ่งฉลองอายุครบรอบแซยิด ของแก นั่งคำนวณ ต้องวิ่งเท่าไหร่ / กม หว่า ถึงจะโป๊ะเชะ ก็สรุปว่า 6 นาที ต่อ กม ยังไงก็เข้า 4:15 แน่นอน
คู่ปรับตลอดกาล |
แต่ทว่า มาราธอน ไม่ใช่สูตรคูณมาตรฐาน ที่คิดจะขีดเขียน เท่าไหร่ แล้วผลลัพธ์จะออกมาตามที่เราปรารถนา โดยปราศจากการฝึกซ้อมที่ดี ที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ ก็เลยกลับมานอนก่ายหน้าผากตัวเอง ทบทวนอีกครั้ง ว่าจะวิ่งยังไงดี วิ่งตามที่เคยซ้อม หรือว่าใช้เวลาที่ดีที่สุดของมินิ เราวิ่งได้ 4:45 ที่งาน กฟภ ถ้าเราจะวิ่งมาราธอนให้จบ ควรวิ่งให้ช้ากว่ามินิ 1 นาทีดีไม๊ เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนซ้อมยาวทุกครั้งเราพยายามก็ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 6 นาที ต่อ กม. มาตลอด ทั้งที่จริงๆ แล้วเราวิ่งได้เร็วกว่านั้น
สรุปสุดท้าย ก็เลยหยิบเลขาส่วนตัวในการวิ่ง เรียกเจ้าหล่อน Garmin เข้ามาบรรจุ คำสั่ง Virtual Partner ที่ Pace 5:47 ทบทวนแผนครั้งสุดท้ายเว้ยเฮ้ยยย จะได้หลับตาลงเสียที
10 กม แรก วิ่งที่ pace 5:47 +- ไม่เกิน 0:05 ด้วยท่าวิ่งปกติ
10 กม ถัดมา วิ่งที่ pace 5:47 + เวลาห้ามเกิน 6:10 ลองเอนตัววิ่งไปข้างหน้า
10 กม ถัดมา วิ่งที่ pace 5:45 ด้วยท่าที่คิดว่าสบายที่สุด หลังจากลอง 2 ท่าแรก และทำยังไงก็ได้ให้ได้ New PB ที่ 30 กม.
5 กม ถัดมา ปรับลด ลงมาวิ่งที่ 6:15 เพื่อให้ยืนระยะให้ได้นานที่สุด
7 กม สุดท้าย ตัวใคร ตัวมัน แล้วแต่ดวง
แค่นี้ ก็น่าจะเพียงพอ กับ 4:20 ของพี่ย้งแน่ เอาว่ะ! เสียงอุทานในใจ ยังไง ก็ต้องลองดู ถ้าทำไม่ได้ ก็มีกรุงเทพ มาราธอน รออยู่ จะเป็นไรไป แล้วก็หยิบนาฬิการขึ้นมาดูเวลา บร่ะแล้วตู ถ้า 4 ทุ่ม ไม่หลับนี่งานเข้าเลยนะ ก็เลยข่มตา จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีก็ ตี 2:30 แล้ว ก็เลยรีบขึ้นมาทำธุระส่วนตัว ให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ซ้ำรอย ริเวอร์แคว์ ที่วิ่งไปจับก้นไปตั้งแต่ กม แรก ยัน กม.15 ขอข้ามขั้นตอนในส่วนนี้ไปครับ
ลืมบอกไป คืนนี้ เราพักกันที่ ค่ายทหาร ที่บูรฉัตร ซึ่งเงียบสงบดี ถึงแม้จะไกลจากงานถึง 20 กม ก็ตาม แต่ว่าระดับฝีเท้าอย่างเรา เนี้ย เหยียบแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็ถึง ดีกว่าอยู่ใกล้ แต่ทำตัวเหมือนอยู่ไกล จิตใจไม่ได้พักผ่อน ล้อไม่ได้เริ่มหมุนที่ 3:00 นาฬิกา ตามที่ได้ตกหล่นกันไว้ เพราะกะทาชาย นามว่าหนุ่ย มัวแต่ปล่อยทุ่นอยู่ ทำให้เวลาฤกษ์ในการ เคลื่อนทัพ ได้เลื่อนออกไป ที่เวลา 3:03 ซึ่งก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่ แต่ นายบอย ลงไปรอที่รถ ตั้งแต่ 2:45 ดีนะอากาศไม่หนาว ไม่งั้นเพื่อนโกรธแน่เลย
และเมื่อไปถึงที่งานหลังจากที่จัดแจงหาที่จอดรถ ก็ได้รีบมุ่งหน้าเข้าสู่งาน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับงานในวันนี้ แต่ก็ไม่วายระแวงเข่าตัวเอง เลยต้องยืม เรียกว่าขอดีกว่า ขอสเปรย์ จากบอย มาพ่นที่เข่า เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บเข่า สูตรนี้เคยใช้ได้ผลมาแล้ว เมื่อครั้งที่ริเวอร์แควร์ ไม่มีอาการเจ็บมาเยือนเลย
พอจะเริ่มวอร์ม คุณพี่โฆษก ก็เรียกรวมตัวเข้าคอกอยู่ตลอดเวลา เราก็ทำเป็นหูทวนลม จ็อค เบาๆ อยู่กับที่ สักพัก ก็เริ่มจะยืดเหยียด สงสัยเค้าจะรำคาญ เลยเดินมาต้อน ให้ กลุ่มมาราธอน ไปอยู่ที่โซนเช็คพอยต์ ซึ่งก็จำเป็น ต้องเดินตามคนอื่นไป อย่างเสียไม่ได้ ก็ไปปักหลักอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ เริ่มหมุนแขน ยืดเหยียดเท่าที่พอจะทำได้กับสถานที่ตรงนั้น (มันเป็นดิน นั่งยืดเหยียดไม่ได้เดี๋ยวกางเกงเลอะ) ผมมัวแต่ห่วงเรื่องลุคส์มากไปหน่อย เลยทำให้การยืดเหยียด ในท่าที่จำเป็น ไม่ได้ทำ
ป
เพราะการยืดเหยียดที่ดีและเพียงพอ จะช่วยทำให้การวิ่งวันนั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นก็ได้ไปยืดพื้นที่ด้านกลางออกไปแนวหลังฝั่งซ้าย เป็นจุดปล่อยตัว และแล้ว เวลาที่รอคอย มา 1 ปี ก็มาถึง ความหวังที่จะลบสถิติของการวิ่งครั้งแรกที่อ่อนประสบการณ์ ได้ดังขึ้น ความท้าท้ายครั้งใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว วู้นนนนนนนนส์ เมื่อสิ้นเสียงดังลง บรรจง ออกตัว พร้อมกด Garmin คู่กาย และออกทยานไปข้างหน้าทันที
ตอนที่ 4
เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เมื่อออกตัว พอเริ่มเลี้ยวซ้ายออกจาก บริเวณจุดปล่อยตัว ก็เริ่มใช้ความเร็วตามแผน ซึ่งการวิ่งในตอนเริ่มต้นนี้ ไม่สามารถดำเนินการ เป็นเส้นตรงได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ นักวิ่งจะออกตัวช้ากันเป็นส่วนใหญ่ วิ่งไปทักทายกันไป เป็นที่สนุกสนานเฮฮา บรรยากาศบริเวณ โดยรอบ สว่าง เพราะเป็นการวิ่งผ่านเมืองในช่วง 2 กมแรก ส่วนผมเพื่อรักษาระยะความเร็วจึงต้องซิกแซกเพื่อให้ความเร็วไม่ตกไปกว่าที่ตั้งใจไว้
ระหว่างวิ่ง ก็เจอ เพื่อนๆ ที่รู้จักกันใน Facebook บ้าง รู้จักตามสนามวิ่งบ้าง ตลอดทาง ชวนให้วิ่งด้วยกันหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่ๆ ที่ชมรมเอง พี่หนิด กับพี่ปุ๊ก ที่วิ่งด้วยกัน หรือพี่อู๊ด สวนพฤกษ์ เอ้ย บางขุนเทียน พี่อู๊ด ก็ชวนวิ่งด้วย ก็วิ่งไปแค่ระยะสั้นๆ รู้ว่าพี่เค้าวิ่งเร็วกว่าที่เราตั้งใจไว้ เลยบอกพี่เค้าว่าให้ไปก่อนเลย ผมวิ่งช้า ซึ่งก็แยกย้ายกันไป หลังจากที่ผ่านความสว่างมาที่ตัวเมืองก็เริ่มเข้าสู่บรรยากาศแบบเก่าๆ คือ ความมืด
มาด้วยใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องซ้อมด้วยครับ |
ผมว่ามันคือเสน่ห์เลยอ่ะ เพราะผมสายตาไม่ดี จะใส่แว่นวิ่งก็เกะกะ เลยจำเป็นต้องวิ่งตามตูด หรือรองเท้านักวิ่ง ที่จะพอจะมองเห็น ในความมืดระดับนั้น สิ่งที่แตกต่างจากปีก่อนก็คือ ภาพบรรยากาศที่เด็กๆ ที่ออกมาเป็นกำลังใจ ส่งน้ำ ส่งเสียงเชียร์ เสียงดัง ปีนี้ ไม่มีภาพกองเชียร์ นั่งผิงไฟ ให้เห็นแม่แต่จุดเดียว เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ซึ่งผมคิดในใจเลยว่า วันนี้ มีคนยางแตกเยอะแน่ๆ
สิ่งที่แตกต่างจากงานวิ่งในระดับชาติ ของงานวิ่งที่จอมบึง ก็คือ จุดให้น้ำที่ไม่มีมาตรฐาน ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนี้ จะไม่ให้พูดได้อย่างไร ในเมื่อชาวบ้านแถวนี้ มีส่วนร่วมในการจัดงานครั้งนี้ หรือ ทุกๆ ครั้งมาก เพราะน้ำที่ตั้งโต๊ะ เรียกได้ว่า มีทุก 1 กม นี่ยังไม่รวม หน้าบ้านใครอีกหลายต่อหลายหลัง คิดแล้วก็คิดถึงเต้าฮวย นมสด ที่ได้รับการหยิบยื่นให้จาก ชาวบ้าน แถวนั้นในช่วงสภาวะร่างกายถดถอยถึงขีดสุด เต้าฮวย ถ้วยนั้น ยังจดจำบุญคุณได้ถึงวันนี้
ผมบอกเพื่อนหลายคนว่า ถ้าจะลองมาราธอนแรก ให้มาลองที่นี่
เพราะ ที่นี่มันมีอะไรมากกว่าที่ ที่อื่นมี เผลอแป๊ปเดียว วิ่งมาครบ 10 โลล่ะ อากาศก็เริ่มเย็นลง เพราะเข้ามาที่ถนนในหมู่บ้านแล้ว รู้สึกขามันหน่วงๆ หนักๆ เลยทดสอบลองเปลี่ยนวิธีการวิ่ง มาเป็นการโน้มตัว ไปข้างหน้า เพื่อที่จะลดการใช้แรงที่ขา ซึ่งก็โอเค ความเร็วเท่าๆ เดิม ไม่ต้องออกแรง แต่ท่าวิ่ง ไม่รู้ว่าจะใช้ท่าที่พี่ย้งกับป้อม กล่าวขานกันหรือไป
แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมวิ่งสบาย ระหว่างวิ่งก็จินตนาการท่าวิ่งในคลิป ตลอดทาง ถูกหรือป่าวก็ไม่รู้ ก็วิ่งไปเรื่อยๆ แต่เอ๊ะ ทำไม เราไม่เจอเพื่อนบอยเลย เราแซงไปตอนไหนหรือป่าวหว่า เพราะเพื่อนบอกจะวิ่งที่ race 7:00 ต่อ กม. ซึ่งมันก็มืดๆ ก็ชักไม่แน่ใจ แต่ไม่เป็นไร วิ่งไปเรื่อยๆ เล่นกับเด็กที่มาเชียร์ข้างทางบ้าง โบกไม้โบกมือ กับชาวบ้านบ้าง
โอ้ว มันช่างเป็นกันเอง น่าซาบซึ่งใจมาก จะไปหางานไหนที่เป็นแบบนี้บ้างหน้า วิ่งในกรุงเทพฯ เจอแต่คนอวยพร ให้ตลอดทาง มาเจอแบบนี้ยิ่งหลงรักที่นี่ไปมากกว่าเดิม
การวิ่งในครั้งนี้ เนื่องจากร่างกายไม่พร้อม เลยต้องติดอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม เพื่อเช็คสภาพตัวเองตลอด ก็คือ Heart Rate ที่มาพร้อมกับน้อง Garmin ซึ่งระหว่างการวิ่งก็ดูหน้าปัดแทบจะทุกจุดก่อนให้น้ำ หรือเมื่อรู้สึกสภาวะร่างกายเปลี่ยนไป ที่ทำเช่นนี้ เพื่อประคองไม่ให้หัวใจทำงานหนักเกินไป
จนกระทั่งวิ่งมาถึง กม.ที่ 20 มองไปข้างหน้าเห็นเค้าลาง มนุษย์ร่างกำยำ + กับท่าวิ่งอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่ใครที่ไหน เพื่อนผมเองครับ เพื่อนบอย ผมก็วิ่งตามไปข้างหลังเรื่อยๆ ไม่ให้เค้ารู้ตัว แต่ดูจากอาการวิ่ง ดูแล้วเหมือนส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง เพราะเป็นมาราธอนแรกของเพื่อนเหมือนกัน (ผมเดาว่า เค้าวิ่งเร็วเกินไปใน race ของมาราธอน) ผมก็เลยวิ่งตามไปเรื่อยๆ จึงสังเกตุ พบว่า ความเร็วของเค้าเริ่มตกลงเรื่อยๆ ผมก็เลยต้องแซงเพราะว่าผมวิ่งตามแผน ก่อนแซงผมก็วิ่ง เข้าไปใกล้ๆ กระเซ้าสักหน่อย โดยการวิ่งแบบหอบหายใจแรงๆ ใกล้ๆ จนเค้ามามอง แล้วก็ไล่ผม ไปก่อนเลยนะ เอ๊ะ คำพูดนี้ เหมือนที่ผมบอกคนอื่นเลยนิหว่า
เรียนตามตรงเมื่อปีก่อน สำหรับเส้นทางวิ่ง เป็นอย่างไร ผมจำได้ แต่ผมจำไม่ได้ว่ากลับตัวที่ กม. ที่เท่าไหรเฉยเลย แต่รู้ว่าต้องได้พบพระ เพื่อรดน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล แต่เอ๊ย 21 โล แล้ว ทำไมยังไม่พบพระ อยากได้น้ำมนต์มาเสริมแรงหน่อย ทำไม่ยังไม่มีจุดกลับตัว พอถึงจุดให้น้ำก็เลยถามกองเชียร์ ก็บอกว่าอีก โล สองโล เอง แล้วกลับมาเจอกันใหม่ วิ่งไป ถึงโลที่ 22 อ้าวทำไม ยังไม่กลับตัว
สงสัยจะกลับตัว โล 23 แน่ๆ เพราะเค้าบอกว่า โล 2 โล ก็วิ่งไปเรื่อยๆ วิ่งไปคำนวณเวลาไป เอ๊ะ เรากำไร อยู่เท่าไหร่หนอ ท้ายๆ จะได้ชิวๆ วิ่งเล่น ตอนนี้ ต่ำกว่า 5 ชม ที่คิดไว้เมื่อวันศุกร์ ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะทำได้แน่นอน ถ้าไม่กลิ้งคาสนามสักก่อน 4:20 ของที่จะนำไปฝากพี่ย้ง เพื่อเป็นเคส Scenario นั้น น่าจะทำได้ไม่ยาก หรือว่าจะทำให้ดีกว่า กดดันพี่ย้ง เล่นๆ ดีหนอ
ใจคิดไปต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่ลืม เรื่อง 10 โล สุดท้าย ของตัวเองที่ยังควบคุมไม่ได้อยู่ 24 กม คือจุดกลับตัว แล้วทำไม เค้าบอก โล สองโล มานั่งนึกที่หลัง โล สองโล ก็ 3 โล นิหว่า 555 โดนเลย
เมื่อเริ่มกลับตัว ผ่านจุดเช็คชิพ ก็เริ่มเห็นแสงสว่าง อันนี้ไม่ใช่ความสำเร็จนะครับ หมายถึงแสงอาทิตย์จริงๆ ก็เริ่มจะเห็นหน้านักวิ่งที่วิ่งมากลับตัวเป็นระยะ ทั้งรู้จักและไม่รู้จัก มีแซวมีทักทายกันตลอดทาง มาเจอพี่ๆ ที่ชมรมเดียวกันหลายคน ทำไมเรานำห่างจัง ยังคิดในใจ หรือว่าเราเร็วเกินไปอ่ะ ไม่เป็นไร เราวิ่งไปตามแผน แต่ตอนนี้ หน้าอาจารย์ ขึ้นมาเต็มสมองเลย
"อย่าทำอะไรที่ไม่เคยทำ ระหว่างซ้อม" บร่ะแล้ว ทำไปตั้งหลายๆ อย่างแนะ ใจก็คิดว่า ไม่เป็นไรมั้ง มันก็วิ่งได้ เปลี่ยนท่าไป เปลี่ยนท่ามา วิ่งไม่เหนื่อยด้วย ชิวๆ
กลับมาสู่เส้นทางวิ่งต่อ ระหว่างทางก็นึกหน้าโค๊ชไปบ้าง ตอนตะโกน "จ็อคๆๆๆๆ" ก็บิ้วท์อารมณ์ให้วิ่งเพิ่มขึ้น จนเผลอแป๊ปเดียว มาถึงที่กม ที่ 27 วิญญาณนักคณิตศาสตร์ เข้าสิง อีกครั้ง +- เรียบร้อย ถ้าเร่งอีกหน่อย สถิติ 30K ของพี่ย้ง ต้องโดนเราบี้แน่นอน คิดเสร็จไม่พูดพร่ำทำเพลง บรรจงหยิบแตงโมขึ้นมาหนึ่งกำมือ ปรับองศาการวิ่ง เอ็นไปข้างหน้าปรับความเร็วขึ้นอีก 20 วิ เพื่อ ทำ New PB ที่ 30 กม. ซึ่งเป็นความเหนื่อยที่เราทนได้อยู่แล้ว เพราะ เจอ 400 Jog 200 วันก่อน เหนื่อยกว่าเยอะ ลองมองย้อนกลับไป
ก็เห็นว่าคอร์ททุกคอร์ท ที่โค๊ชมอบให้ มันมีความหมายในตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองเห็นหรือค้นพบมันหรือไม่ ศรัทธาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เรา Can Do. ใช้ระยะเวลาไม่นานในการทำลายสถิติ 30 KM ของตัวเองและของพี่ย้งลงได้ อย่างสบายๆ รู้สึกว่าทำไมตัวเอง วิ่งมาตั้ง 30 โล แรงยังเหลืออีกเยอะ ไม่เห็นเหมือนงาน มิซูโน่ แม่น้ำแคว ที่ครบ 30 โล ของเก่า แทบจะออกมาหมด ทั้งนี้ทั้งนั้น น่าจะมาจากผลการซ้อมที่มีการปูพื้นฐานที่ดี ถึงแม้ว่า ตัวคนฝึกจะกะโหลกกะลา เกเรตลอด สรุป New PB ที่ 30 กม อยู่ที่ 2:53:28
ปรากฏการณ์ที่คาดถึง และคาดไม่ถึง
สิ่งที่แปลกของงานนี้ ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่จะแบ่งแยก ก็คือเรื่องของเช็คพอยต์ เนื่องจากระยะฮาลฟ์กับมาราธอน มีชิฟ เป็นหลักฐานอยู่แล้ว ก็เลยงงมากว่าจะมีทำไม ซึ่งถ้าคิดในแง่ดี ก็คือ เส้นทางมินิ เป็นเส้นทางเดียวกัน ถ้าไม่ให้พอยต์ หรือมาให้น้องที่แจกเลือกว่าจะแจกให้ใครดีหนอ ก็อาจจะให้ทำงานยากขึ้น
เห็นหลังก็รู้แล้วว่าใคร |
และอีกอย่าง นิสัย คนไทย ไม่แจก ก็จะเอา อาจมีเยอะ เลยตัดปัญหาไปไอ้เรื่องหนังยาง เช็คพอยต์ เนี้ย ผมรู้สึกไม่ชอบเลยสักงาน คนจัดจะรู้ไม๊ว่ามันรัดทำให้เจ็บมาก แล้วก็ไม่ค่อยสะดวก ต้องมาพะวังกับมันตลอด ถ้าจะมีเป็นที่ยางรัดผมของผู้หญิงก็ยังดี เพราะมันนุ่มกว่ากัน พูดถึงเรื่องหนังยางเช็คพอยต์ แล้วคิดถึงงาน มาราธอนที่ 2 ของผม ที่สวนลุม ที่แจกเป็นยางผูกด้วยริบบิ้น งานนั้นกำ กันมือเหนียวเลย ทั้งเยอะ ทั้งใหญ่ คิดดู 17 รอบ 17 เส้น วันหลังถ้ายังไม่ปรับปรุงและยังกล้าที่จะไปวิ่งที่นั้นอีก อาจจะต้องยืดอก พกถุง ไปใส่หนังยางด้วย
ผมเห็นบางคนเอามารัดแขน ริ้บบิ้นพริ้วเลย ทำให้นึกถึงหนังเรื่องไอ้มดเอ็กซ์ วี 6 อเมซอน ไปซะงั้น กลับมาถึงเรื่องยางเช็คพอยต์ของจอมบึง ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ น้อย แต่ผมเรียนตามตรงว่าไม่แน่ใจว่าเป็นสาเหตุ ของสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้หรือป่าว
เนื่องจากพอเข้าระยะที่ กมที่ 31 นั้นผมรู้สึกชาที่แขนขวาอย่างมาก มันชาแบบไม่รู้สึก ไม่รู้ว่าเกิดจากท่าการแกว่งแขนที่มันเกร็ง (หรือป่าวไม่รู้) หรือว่าเกิดจากหนังยางเช็คพอยต์ เพราะว่าผมเอาหนังยางมารัดนิ้วไว้เลยไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกันหรือป่าว กลายเป็นตอนนี้วิ่งไป ต้องคอยบริหารแขนขวาไป หมุนไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกชา เจอน้ำก็เอาน้ำราด นี่คือปรากฏการณ์ที่คาดไม่ถึง และอยากค้นหาคำตอบ ว่ามันเกิดจากอะไรจริงๆ
เมื่อวิ่งมาถึง ระยะทางที่ กม. 32 แสงสว่างเริ่มขึ้นเต็มท้องฟ้า แต่ยังไม่มีแดดลงมาเท่าไหร่ ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้ว คิดว่า อีกไม่เกิน 20 นาที ต่อนาที ต่อจากนี้ คงต้องเจอ แดดเต็มๆ แน่ ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลย ทำให้ย้อนกลับไป คิดถึงการซ้อมกลางแดดที่ผ่านมา คิดแล้วพาลจะเป็นลม เพราะ แดดแรงๆ มันทำให้ร่างกายเราอ่อนล้า ลงไปทันตา แล้ว ไม่มี อ. มาตะโกน จ็อคๆๆๆ ด้วย
แต่ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป เพราะเรามีกำแพงที่ต้องผ่านให้ได้ 3 ชั้น
ชั้นแรก 30 กม ผ่านไปได้แล้ว ด่าน 4:30 ก็น่าจะทำได้
กำแพงด่านสุดท้ายที่ตั้งไว้ คือ ต่ำกว่า 4 ชม อันนี้ คิดเรื่อยเปื่อยไป ในขณะวิ่งอยู่อย่างลำพอง 5555 ระหว่างระยะทางวิ่ง กม ที่ 32 มาก็เริ่มเจอนักวิ่งระยะฮาลฟ์ บางปะปราย ซึ่งทำให้นักวิ่งเพิ่มขึ้นในสนามขึ้นมาอีกหน่อย มาถึงตอนนี้ ก็เปลี่ยนท่าวิ่ง ไปท่าวิ่งมา เพื่อไม่ให้จำเจ บวกกับต้องลดความเร็ว เพื่อหมุนแขน ให้หายชา
และแล้วการนัดหมายของผมก็มาถึง เมื่อมาถึงระยะที่ 35 กม. ตะคริว กระตุกขึ้นมาที่น่องขาซ้าย ทำให้ผมต้องชะลอความเร็วลงทันที และหยุดวิ่งเพื่อทำการยืดเหยียด ให้คลายความตึงตัวไป ใช้เวลาไม่นานประมาณ 1 นาที จึงออกวิ่งต่อ ซึ่งรู้เลยว่า กำลังไม่ได้ตก แต่ไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ เพราะเมื่อจะกลับไปใช้ความเร็วเดิม ก้อนตะคริวก็จะขึ้นมาตลอด
ทำให้ กม.ที่ 35-37 ต้องปรับความเร็วลงมา ในระดับที่ร่างกายเรารับได้ และก็คิดในใจ ไม่เป็นไร วันนี้กำไร มาเยอะแล้ว จ่ายคืนบ้างนิดหน่อย ก็คงไม่เป็นไร ถ้าแบบนี้ ตีประคองไป เวลาก็ยังโอเคอยู่ แต่สุดท้ายความอดทนของกล้ามเนื้อ ก็สิ้นสุดจอดไม่รอดที่ กมที่ 37
ซึ่งเป็นระยะที่เกินกว่ากล้ามเนื้อของเราเคยรับได้ ซึ่งพอย้อนกลับมานั่งนึกถึง การซ้อมของตัวเองที่แช่เย็น การซ้อมระยะมาราธอน ที่ 30 กม. ไม่กี่ครั้ง ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อยังไม่ได้ถูกพัฒนา ไปสู่ระดับที่จะต้องแบกรับภาระมากกว่านั้น ประกอบการซ้อมที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงเท่าที่ควร การโหนระดับ ขึ้นมาทนได้ ถึงระดับ 37 กม นี่ก็ถือว่า สร้างความพึงพอใจให้กับตัวเองในระดับหนึ่ง ที่คิดว่า 35 มาแน่ แต่ก็ยัง "เอาอยู่" ถึง 37 กม
ตอนที่ 6 ตอนจบ
5 กม. ที่ไกลที่สุดในโลก
เมื่อลองมาทบทวน คำนวณตัวเลขเล่นๆ ไม่น่าเชื่อว่า 37 โล แรก ค่าเฉลี่ย เราสามารถที่จะวิ่งได้ต่ำกว่า 6 นาที ต่อ กม. แต่ความผิดพลาด ก็คือความผิดพลาด ซึ่งจะต้องถือเป็นบทเรียน เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น มิใช่มามัวแต่พร่ำพรรณนา โดยมิได้คิดจะปรับปรุง
42 -37 คือ 5 โล ที่จะพิสูจน์ สติ สมาธิ และสภาพจิตใจ หลังจากคิดแล้วถ้าฝืนวิ่งอีกต่อไปจบไม่สวยแน่ ณ ตอนนั้น สติ เป็นสิ่ง ที่เราเรียกกลับมา ในตอนนั้น เพื่อให้กับสู่โลกปัจจุบัน มิใช่โลกแห่งการจินตนาการ การปรับจากการวิ่งมาเดินเพื่อประคองอาการตะคริวกิน เกิดขึ้นทันที พร้อมกับสมองที่ต้องเริ่มสั่งการ ว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ว่าในโลกของสติ ก็มักมีมาร มาผจญเสมอ เพราะหลังจากเริ่มเดิน และเริ่มจะคิดวางแผน คำนวณเวลาใหม่ ว่าจะเอาอย่างไร ก็มีความคิดในด้านลบแว๊บเข้ามาในสมองทันที
"จะบ้าหรือป่าว มีสติหรือป่าว อยู่ดีดี มาตากแดด มาทรมาน"
"เลิกเหอะ เดี๋ยวรถมาก็ขึ้นรถกลับไปเลยดีกว่า"
"เอ็งไม่เห็นเหรอ ตอน 35 โล นักวิ่งกองกันเพียบ อยากเป็นแบบนั้นเหรอ เลิกหารถนั่งกลับเหอะ"
แต่แล้วความคิดอีกด้าน ก็เข้ามาแทนที่ "อย่าฟุ้งซ่าน"
"ตั้งใจฝึกมาตั้งนาน จะมาทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ"
พีเวช ผู้อินดี้ ที่สมัยก่อนผมเข้าใจผิดว่ามีฝาแฝด |
สุดท้ายก็ยินเสียงแว่วในโสตประสาท มาแต่ไกล "จ็อคๆๆๆๆ ๆๆๆๆ"
ไม่น่าเชื่อว่าเสียงนี้จะเรียกสติผมกลับมา จากจิตใจที่ฟุ้งซ่าน เริ่มกลับมาตั้งสติ คิดวางแผนใหม่ ทำยังไงก็ได้ให้วิ่งให้ถึง โดยบรรลุเป้าหมาย และไม่เสียลุคส์ แผนการถูกนำมาขยายผลทันที 3 ชั่วโมง 37 นาที คือเวลา ณ ขณะนั้น คงต้องเดิน สัก 30 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว ขอที่ระยะ สัก 3 กม. แล้วที่เหลือค่อยจ็อค ต่อให้เข้าเส้นชัย
จึงเริ่มปฏิบัติการกู้วิกฤต โดยเริ่มเดิน ให้คล้ายวิธีเดินทน เดินเร็ว ซึ่งดูนาฬิกาคร่าวๆ แล้ว ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 นาที ต่อ กม. แต่ความเป็นจริงรู้เลยว่าเป็นการเดินที่ค่อนข้างทรมานมาก เพราะกล้ามเนื้อมันระบมไปหมด ตอนแรกๆ แม้แต่การวางเท้า ยังสะท้านขึ้นมารู้สึกเจ็บปวดมาก จึงต้องค่อยๆ เดิน เพื่อปรับจังหวะ คิดดู ยังช้า กว่าเฮียฮ้อ ของฟอร์รันเนอร์ เขยกเลย
บรรยากาศรอบข้าง ช่างไม่สวยหรู เหมือนในตอนแรกที่วิ่งเลย ความรู้สึกว่า ทำไม 5 โล นี่มันช่างยาวไกล กว่าจะเจอจุดให้น้ำแต่ละ กิโล มันช่างยาวไกลเสียนี่กระไร เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที ระหว่างทางรถ Ambulance ก็ไล่เก็บนักวิ่งขึ้นรถไปทีละคนสองคน จนมาจอดที่ข้างๆผม เพราะด้านหน้าผม มีนักวิ่งตะคริวกินและล้มลงไปกองอยู่กับพื้นทันที ซึ่งเพื่อนๆ กำลังประคองอยู่ ซึ่งถือเป็นโชคดีที่รถมาอยู่ใกล้ ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดอันตรายต่อนักวิ่งท่านนั้น เพราะลำพังนักวิ่งด้วยกัน ผมคิดว่าในสภาพที่ทุกคนสะบักสะบอม กันทั้งนั้นการก้มลงไปช่วยประคองใครในเวลานั้น คงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ซึ่งหลังจากนักวิ่งท่านนั้นขึ้นรถไปรวมกับหลายๆ ท่านที่พักอยู่บนรถ ผมก็เริ่มเดินให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้ผิดแผนที่คิดขึ้นมาแทนที่มาถึงตอนนี้ นักวิ่งที่ผมแซงมาตั้งแต่แรก ๆ ก็เริ่มทยอย หันมาส่งยิ้มให้ ผมก็ยิ้มตอบแบบเฟื่อนๆ มากันหมด ไม่ว่าจะเป็น พี่กบดาบจั้มป์ พี่ไก่ พี่สมาน พี่หนา เซ็นทรัลพระราม2 คนแล้วคนเล่าแซงกลับไปหมด ซึ่งมีอีกหลายท่านที่รู้จักหน้า ทักทายกัน แต่ไม่รู้จักชื่อ ใจก็คิดไปพลางว่า อารมณ์ ตอนแซงคนอื่นตอนท้ายๆ ก็ได้มาเยอะแล้ว มาลองสัมผัสความรู้สึกที่โดนแซง และได้รับรอยยิ้มที่เพื่อนๆ มอบให้ว่าจะรู้สึกอย่างไร ใครไม่เคยเจอ ต้องมาเจอเองครับ
บอกได้เลยครับว่ามันจี๊ด 55555
จะไม่ให้จิ๊ดได้ยังไง เพราะวันนี้ ผมวิ่งแซงพี่ที่เซ็นทรัลมาหมด กะว่าวันนี้ ขอได้ที่ 1 ของชมรม สักหน่อย เพราะวิ่งทีไร ถ้าไม่กลางก็บ๊วยมาตลอด พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็เซ็งไปชั่วขณะ
ก้าวแล้วก้าวเล่า ทำไมมันช่างยาวไกล อะไรจะขนาดนั้น เดินเท่าไหร่ ก็เหมือนระยะทางมันเพิ่มช้า กว่าเวลาที่เดินไปช่างไม่มีสัมพันธภาพเลย ชีวิตในช่วงเวลานี้ แสงแดด ก็ช่างเป็นใจ เสียนี่กระไร ส่องแสงจ้า รับอรุณอย่างเบิกบานซึ่งต่างจากมนุษย์คนนี้ ที่ไม่มีความต้องการแสงแดดเลยในช่วงนั้น
ในที่สุดเราก็เดินมาได้ 3 โล จนได้ จนมาเริ่มเลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งตัดถนนข้ามไปอีกฝั่ง ซึ่งเราจำได้ดี เมื่อปีที่แล้ว ที่เราได้รับน้ำใจเป็นน้ำเต้าฮวยนมสด ที่ช่วยประคอง ให้วิ่งถึงเส้นชัยเมื่อปีก่อน
แต่ปีนี้ กลับไม่พบ โต๊ะที่มาตั้งเพื่อแจกนักวิ่ง ก็ผิดหวังเล็กน้อย แต่ย้อนคิดคำพูดของป้าเมื่อปีก่อนจำได้ดีว่า วันนี้ป้าไม่มีเวลาเข้าไปช่วยงาน เลยมาแจกช่วงนี้ที่หน้าบ้านตัวเอง ซึ่งปีก่อนผมวิ่งอยู่ที่ 5 ชม. กว่า ๆ ซึ่งยังไม่ใช่เวลาที่ป้าจะมาแจก คิดไปนั่น ที่เสียดายไม่ใช่ตะกละ หรืออะไรหรอก เพียงแต่อยากคุยกับป้า เพื่อขอบคุณน้ำใจเมื่อปีก่อนที่ทำให้ผมมีแรงวิ่งต่อไปจนถึงจุดหมาย
กม ที่ 40 ผ่านไป กำลังย่างก้าน สู่ระยะ 41 กม เลยทดสอบจ็อก ดูปรากฏว่า วิ่งไปได้สักระยะเริ่มมีอาการ ก็เลยเบาลงอีกเพื่อให้ร่างกายกระตุ้นให้พร้อมสำหรับการทำงานหนักครั้งสุดท้าย ซึ่งปรากฏว่า ยังไม่ทันที่จะเริ่มเบาลงที่สุด เหลือบไปเห็น พี่รุจน์ กำลังบรรจงถ่ายรูปนักวิ่งก่อนหน้า อยู่หลายท่าน นาทีนี้ เสียลุคส์ ไม่ได้ ก็เลยลองทดสอบวิ่งดูปรากฏว่า วิ่งได้เหมือนมีปาฏิหารย์ กล้องมีผลต่อชีวิตผมซะงั้น 5555 พี่รุจน์ ก็ส่งสัญญาณ ให้ออกมา ให้โฟกัส กับกล้อง แน่นอน ผมไม่รอช้า จัดไปเต็ม ๆ จนมือไม้พันกันมั่วไปหมดไม่รู้ท่าไหนต่อท่าไหน (ตะคริวที่แขน หายไปตอนไหนหว่า นึกขึ้นได้ ขำขึ้นมาซะงั้น)
หลังจากนั้น ก็เริ่มเร่งสปีด เพราะเริ่มวิ่งได้แล้ว ก็มาเจอ กับพี่ตุ้มที่กำลังเก็บภาพอยู่ พี่เค้าแซวอะไรประมาณเหลืออีก 2 กม ประมาณนี้ ให้วิ่งให้เร็วหน่อย ผมร้องจ๊ากทันที เพราะผมไม่รู้ระยะจริงของงานว่าเท่าไหร่ เพราะจากจุดตรงนั้นถ้าให้เป็นมาตรฐานก็ควรเหลือแค่ กิโลเดียว ซึ่งถ้ามากกว่านี้ ผมคิดว่า แป๊กแน่ ซึ่งมาถึงตอนนี้ เด็กๆ ที่มาเดินก็เยอะมาก จะให้ผมวิ่งหลบก็คงไม่สามารถจะทำได้แน่นอน
การเรียกพลังเสียง จึงต้องนำออกมาใช้ใน กิโลเมตรสุดท้าย ผมตะโกนโหวกเหวก อย่างบ้าคลั่ง โอ้ววๆๆๆๆ ผมส่งเสียงให้น้องๆ ที่เดินทอดน่องหน้ากระดานเรียงเดียวอย่างสบายใจ ให้รู้ว่ารถถังมาแล้วจะได้หลบหลีกให้ จ็อคๆๆๆๆๆ ส่งเสียงเอง เพื่อบิ้วท์ อารมณ์ งานนี้ขนออกมาหมดแม๊กซ์ เพื่อให้ผ่อนคลายให้มากที่สุด
ในที่สุด ก็มาถึงจุดที่สตาร์ท จนได้ ก็มาเข้าหลักการที่คุณลุงสับปะรด กล่าวไว้ ว่า มันจะให้ตูเข้า พรมสีไหนว่ะ ขึ้นมาจนได้ไม่เห็นหรอกว่าเค้ามีเขียนระยะไว้ ขอบอกตามตรง ตามันลาย มาเห็นว่าเค้าบอกก็ไอ้ตอนมาดูรูปตอนหลังนี่แหละ ใครพูดอะไรตอนนั้นก็ไม่ได้ยิน หรอกว่าให้เข้าพรมสีอะไร หูมันอื้อ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ เพราะเสียงพิธีกรพูดกลบหมดเลย 555 สุดท้ายก็เห็นที่นาฬิกา ที่เป็นเวลาของมาราธอน ซึ่งในที่สุดก็เลือก เข้าพรมสีแดง ตามเบอร์ที่หน้าอกด้วยเวลา 4:23:30 ซึ่งเป็นระยะที่จับได้จากนาฬิกาตัวเองและตรวจสอบกับ Chip แล้ว เป็นเวลาที่ตรงกันเป๊ะ
สุดท้าย มาราธอนแรกของปีนี้ ก็จบลงไปได้ด้วยดี ด้วยการทุบสถิติของตัวเอง ทั้ง 30k และ มาราธอน
ผมบอกแล้วไง ว่า นักกีฬา "ชอบทำลายสถิติ"
มาราธอนที่ดีที่สุด |
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ อ.สถาวร ที่เป็นครูในเรื่องวิ่งคนแรก ที่ถ่ายทอดสิ่งดีๆ และความห่วงใย ให้เสมอมา
ขอบคุณสมาชิกเซ็นทรัลพระราม 2 และ SathavornRunningClub
ขอบคุณเพื่อนๆ นักวิ่งที่วิ่งด้วยกัน
ขอบคุณสองขา ที่พาไปให้พบสิ่งที่ยัง Unseen อีกหลายอย่าง
ขอบคุณช่างภาพทุกท่าน จากทุกสำนัก ที่ช่วยบันทึกประสบการณ์และความทรงจำให้กับชีวิตผม
แล้วพบกันใหม่ จอมบึงมาราธอน
เขียนบันทึก ณ วันครู ปี 2555
ไช้
15 มกราคม 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น